บทที่ 198 หรือว่าเรามาระลึกถึงความหลังกันหน่อยไหม
หลินเวยมี่กลับมายืนหน้าประตูห้อง 301 อีกครั้ง สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด จากนั้นก็กดกริ่ง ทั้งๆที่มีความอัดอั้นอยู่ในใจ แต่ก็สามารถแสดงความรู้สึกที่มีอยู่ในออกมาให้เห็นได้
ยามเมื่อประตูถูกเปิด ฉู่เฉินซีก็จ้องมองเธออย่างสนใจ
“อืม ถือว่าเร็วมากทีเดียว”
หลินเวยมี่ส่งถุงเสื้อผ้าที่อยู่ในมือให้ “คุณชายฉู่ นี่กางเกงของคุณค่ะ”
ฉู่เฉินซียิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ยอมรับมันมา แต่กลับเลิกคิ้วใส่หล่อนแทน “เอาเข้าไปวาง”
“แล้วทำไมคุณไม่รับมันไว้เองล่ะ?”
“หืม?” ฉู่เฉินซีค่อยๆขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางจ้องมองหล่อนอย่างเย็นชา ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้ก็ตาม แต่หล่อนก็รับรู้ได้ทันทีว่าสายตาของเขากำลังคุกคามหล่อนอยู่
หล่อนไม่ควรที่จะไปซื้อกางเกงให้เขาเลย น่าจะให้เขาใส่กางเกงที่มีรูเดินไปเดินมาสมน้ำหน้าก็ดีแล้ว!
หล่อนขมวดคิ้วอย่างเหลือทน พร้อมกับเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในห้อง แล้วก็วางถุงเสื้อผ้าลงบนเตียง จากนั้นก็หันหลังกลับ แต่กลับเดินชนร่างกายของฉู่เฉินซีที่ประกบชิดอยู่ด้านหลังของเธอเองอย่างทันทีทันใด
“ถึงกลับอดใจรอไม่ไหวจนถึงขนาดถลาเข้าสู่อ้อมกอดเลยหรอ?”
เสียงหัวเราะเบาๆอย่างไร้สาระดังขึ้นเหนือศีรษะกลางกระหม่อมเธอ ส่วนมือกลับเกี่ยวกระหวัดเอวหล่อนเข้าหาตัวอย่างตามความเคยชิน ลักษณะของทั้งคู่ดูอบอุ่น ต่างตกอยู่ในภวังค์
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ โพรงจมูกยังได้กลิ่นกายบนตัวเขา
“ฉู่เฉินซี!”หล่อนตะคอกใส่เรียกชื่อของเขา อีกใช้แรงต่อต้าน ราวกับเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตเลยถอยหลังไปหลายก้าว แล้วจ้องมองเขาด้วยอาการตกใจ
ส่วนฉู่เฉินซีสีหน้าดูปกติ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปสักนิด มีเพียงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“เธอจะตื่นเต้นทำไม? กลัวว่าฉันจะเข้าใกล้เธองั้นหรอ?”
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามบังคับอารมณ์ที่ไม่ปกติของตนเองที่อยู่ในใจเอาไว้ พร้อมทั้งเอ่ยปากพูดอย่างสุขุม “คุณฉู่ล้อเล่นอีกแล้ว ฉันก็แค่หัวหน้ากระจอกๆของโรงแรมนี้เท่านั้นเอง คุณเป็นถึงแขกของโรงแรม ถ้าคุณบอกว่าตรงไหนทำให้คุณไม่พอใจฉันจะรับฟังความคิดเห็นของคุณค่ะ”
“แต่ว่าฉันคิดว่า คุณฉู่เป็นบุคคลชนชั้นสูงคงไม่คิดคาดโทษหัวหน้ากระจอกอย่างดินฉันใช่ไหมคะ?”
“หือ? ดังนั้น” เขายิ้มแล้วสบตากับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ในดวงตาของหล่อนแอบซ่อนความรู้สึกที่ไม่เป็นสุข แต่กลับไม่ระเบิดมันออกมา เวลาที่ล่วงเลยมาหลายปีนี้ ความคิดเธอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ไม่น้อยทีเดียว
“เพราะงั้นรบกวนคุณฉู่ช่วยลืมเรื่องราวที่ไม่มีความสุขก่อนหน้านี้ทุกอย่างซะ ระหว่างเราสองคนในตอนนี้ก็แค่แขกและพนักงานเท่านั้น รบกวนคุณไม่ต้องจงใจที่จะสร้างความลำบากให้ฉันอีก” หลินเวยมี่เน้นทีละคำๆ นัยน์ตาดำทอประกายความมั่นใจออกมาด้วย
ฉู่เฉินซีกลับไม่ได้ตอบ ทำได้แค่หัวเราะออกมาเล็กน้อยเท่านั้น เสียงหัวเราะที่ดังออกมาช่างเย็นยะเยือก
แค่คำพูดประโยคสั้นๆประโยคเดียวสามารถคิดบัญชีเรื่องนี้ได้ทั้งหมดเลยหรอ? ผู้หญิงคนนี้ทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละ!
“หลินเวยมี่ งั้นการที่เรามาเจอกันอย่างบังเอิญแบบนี้ ไม่คิดจะระลึกถึงความหลังอันอบอุ่นครั้งเก่าหน่อยหรอ?”น้ำเสียงของเขาแสดงถึงอาการเยาะเย้ยออกมาอย่างชัดเจน ที่มันมากกว่าก็คือการถากถาง กับเรื่องราวความรักในอดีต
หลินเวยมี่รู้ว่าฉู่เฉินซีกำลังทำให้เธอไม่มีความสุข ทั้งๆที่ผ่านมาห้าปีแล้ว ความโกรธยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนั้นใครกันที่เป็นคนทำร้ายอีกฝ่ายมากกว่ากัน?ความรักจอมปลอมของเขาแถมยังใช้มันมาทำร้ายเธออีก แล้วทำไมถึงได้มาปรากฏต่อหน้าเธอได้ในตอนนี้ แล้วยังมาทำท่าโกรธเคืองหล่อนได้ขนาดนี้?
เธอมั่นใจว่าตอนที่เจอกันเป็นครั้งสุดท้ายนั้นไม่ว่าจะเป็นที่คำพูดหรือการกระทำก็ตามหล่อนตัดสินใจเป็นอย่างดี แต่ว่าถ้าเอามาเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดที่อยู่ในใจ มันแค่99 เปอร์เซ็นต์เอง คนที่ควรจะน้อยใจควรจะเป็นเธอไม่ใช่หรอ?
หล่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงเย็นชาแสดงความเจ็บปวดออกมา “คุณฉู่ ระหว่างเราเคยมีความอบอุ่นด้วยหรอ?”
“ไม่มีหรอ?” สายตาของเขาจ้องมองร่างกายของหล่อน ริมฝีปากแสยะยิ้มเล็กน้อย ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะสุขุม แต่ว่าก็ไม่สามารถปกปิดอาการดูถูกที่แสดงออกอย่างชัดเจนได้
หลินเวยมี่หัวเราะเล็กน้อย รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ช่างทำให้ใบหน้างดงามมากขึ้น ใบหน้าเล็กเท่ากับฝ่ามือเมื่อก่อนนี้ตอนนี้ผอมซูบลงไปเป็นกอง แต่ว่าดูไม่ขัดตา ยิ่งทำให้หน้าตาสะสวยโดดเด่น ยิ่งโหนกแก้มที่เห็นได้ชัดยิ่งทำให้โดดเด่นจนน่าหลงใหล
“ฉันทำอะไร ทำให้คุณฉู่เข้าใจอะไรผิดไปหรือป่าว? เมื่อก่อนนี้ฉันแทบไม่รู้สึกถึงความสุขเลยสักสักนิด” พอพูดจบก็ทำสีหน้าเศร้าสลด น้ำเสียงสุขุมขึ้น “เรื่องราวในอดีตฉันไม่อยากพูดถึง และไม่มีความจำเป็นอีกด้วย ทำไมคุณถึงได้พูดเรื่องนั้นไม่จบไม่สิ้นสักที?”
หลินเวยมี่พูดตามหลักความเป็นจริง ดั่งก้อนเมฆที่ลอยผ่าน เรื่องราวที่ผ่านไปมันก็เหมือนกลุ่มควัน มันเลือนหายไปหมดสิ้นแล้ว
แต่ว่าในใจฉู่เฉินซีกลับเต็มไปด้วยความโกรธที่อัดอั้นอยู่เต็มอก ทำไมหล่อนถึงได้ปล่อยวางแล้วเอาอะไรมาชี้ชัดถึงเรื่องเมื่อก่อนนี้ได้ทั้งหมด?
ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะจงเกลียดจงชังหล่อนก็ตาม แต่ว่าในเวลานี้เขากลับไม่สารถปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้า เขาหรี่ตาลง เขายิ้มกรุ้มกริ่มและเราพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง “เรื่องต่อจากนี้สนุกพอตัวเลย ไม่เชื่อลองดูไหม”
ใบหน้าหลินเวยมี่ซีดเผือด หัวคิ้วขมวดกันเป็นโบ คำพูดของเขาประโยคนี้หมายความว่ายังไง? หรือว่ายังอยากจะสานสัมพันธ์กับหล่อนหรอ?
“ฉันไม่สนใจ!”
พอพูดจบก็หันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องชุดทันที ช่วงที่ปิดประตูในเวลานั้น หล่อนถึงกลับถอนหายใจเบาๆ สิ่งที่ต้องเผชิญหน้าเมื่อครู่นั้นราวกับกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงคำพูดที่พูดโต้ตอบที่พูดออกมาง่ายดายนั่นด้วย
หล่อนรู้สึกได้ว่า ฉู่เฉินซีคงไม่ปล่อยหล่อนไปง่ายๆแน่
ในใจกลับมีความรู้สึกอารมณ์มากมายเกิดขึ้นมา ทั้งเกรงกลัว หวาดกลัว แต่ยังมีความหวังเล็กๆน้อยๆซ่อนอยู่ในนั้นด้วย
เดี๋ยวนะ หล่อนยังจะต้องรอคอยอะไรด้วยหรอ? ฉู่เฉินซีไม่ใช่คนดีอะไรสำหรับเธอเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างชีวิตความเป็นอยู่ในตอนนี้ก็สงบสุขดี ไม่อยากให้เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาอีก? ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่อยากให้ฉู่เฉินซีรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเสี่ยวหลง
ไม่งั้น เขาต้องพรากเสี่ยวหลงไปจากเธอแน่ๆ
ปวดหัวเหมือนมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เลยขอลาหยุดหลายวัน เพื่อต้องการที่จะหลบหน้าฉู่เฉินซี การที่ไปรับไปส่งเสี่ยวหลงไปโรงเรียนก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
“หม่ามี้กินสิ”
น้ำเสียงเด็กน้อยดังมาแต่ไกล หลินเวยมี่หันกลับไปมอง ก็เห็นช้อนที่ตักไอศกรีมเต็มปูดยืนมาให้อยู่ที่ปากของหล่อน
เสี่ยวหลงพยายามทำตัวให้สูงขึ้น ดวงตากลมโตทอประกายความสุขใจเต็มเปี่ยมออกมา
หลินเวยมี่เอาช้อนที่ตักไอศกรีมเข้าปาก จากนั้นก็พูดคาดโทษเอาไว้ “ครั้งสุดท้ายแล้วนะ ถ้าลูกกินอีกแม่จะตีก้นแล้วนะ”
เธอมองกล่องไอศกรีมกล่องเปล่าสามกล่องอย่างเหลืออด น้ำเสียงขู่เต็มที่
เสี่ยวหลงพยักหน้าตกลง “หม่ามี้เคยบอกว่า กินไอศกรีมเยอะไปแล้วจะท้องเสีย”
“จำคำพูดของแม่ได้ แล้วทำไมถึงกินเยอะขนาดนี้?”
“แต่ว่าวันนี้หม่ามี้ลืมบอกกับเสี่ยวหลงนี่” เสี่ยวหลงทำปากยื่นปากยาว แล้วทำหน้าโกรธเคืองใส่แทน
หลินเวยมี่ถึงกลับอึ้งไปสักพัก ได้แต่โทษตัวเองอยู่ในใจ หลายวันที่ผ่านมาหล่อนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตั้งแต่หลังจากเจอฉู่เฉินซีที่โรงแรม ร่างกายของเธออยู่ในสถานะเครียดมาตลอด กลัวเหลือเกินว่าจะพบเขาอีกในวินาทีถัดไป
ตัวเองท่าทางคิดหนักอยู่แบบนั้น มิน่าล่ะเลยพลอยทำให้เสี่ยวหลงไม่มีความสุขไปด้วย
“Ok ครั้งหน้าแม่จะเตือนแล้วกันนะ”
เสี่ยวหลงมองหล่อนแวบหนึ่ง จากนั้นก็ทำปากยื่น ดวงตาทอประกายหัวเราะขึ้นมาแทน “เสี่ยวหลงไม่เอาหรอก ถ้าเสี่ยวหลงไม่เตือนก็จะได้กินไอศกรีมเพิ่มอีกสองอัน”
หลินเวยมี่ได้แต่ส่ายศีรษะไปมาพลางจ้องมองเสี่ยวหลงที่กำลังดีอกดีใจอย่างมีความสุข ดวงตาเปล่งประกายความหลงรักเจ้าเด็กน้อยคนนี้อย่างเต็มเปี่ยม
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา หล่อนถึงกลับเครียดทันที เพราะว่าคนที่โทรศัพท์มาหาหล่อนนอกจากเดวิดแล้วก็เป็นคนที่โรงแรม แต่ว่าไม่ว่าใครก็ตามที่โทรศัพท์มาในตอนนั้น หล่อนก็ขี้เกียจรับ
“ว้าย เวยมี่ของฉัน เธอรีบมาที่โรงแรมโดยด่วน มีเรื่องสำคัญ”
หลังจากรับสายแล้ว เป็นเสียงของผู้จัดการที่โทรศัพท์เขามาน้ำเสียงดูร้อนรน
ใบหน้าของหลินเวยมี่ถึงกับแข็งทื่ออยู่สักพัก หล่อนเงยหน้าสบตากับเสี่ยวหลง ส่วนเสี่ยวหลงเองก็เอนหูมาฟังที่หล่อนกำลังพูดอยู่ สีหน้าดูไม่ดี ราวกับว่ารับรู้ความรู้สึกอะไรขึ้นมาได้
“ฉันลางาน 5 วันไม่ใช่หรอ? ตอนนี้เพิ่งจะสองวันนิดๆเอง แล้วคุณจะเรียกตัวฉันกลับเนี่ยนะ?”
“มีเรื่องด่วนขึ้นมาจริงๆ ยังไงเธอก็รีบมาก็แล้วกัน”
ฝั่งนั้นไม่รอให้หลินเวยมี่ตอบอะไรอีก ก็ตัดสายทิ้งทันที หล่อนก็โยนโทรศัพท์ไปอีกทาง แล้วมองหน้าสบตาอ้อยอิ่งอยู่ที่ใบหน้าเล็กๆของเสี่ยวหลงแทน
“หม่ามี้ไม่ใช่บอกว่าตอนบ่ายจะพาเสี่ยวหลงไปเที่ยวสวนสนุกไม่ใช่หรอ?”
คำถามของเสี่ยวหลงทำให้หัวใจของหลินเวยมี่กระตุกขึ้นมาทันที ซึ่งหล่อนวางแผนเอาไว้ว่าหลายวันนี้ตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวหลง แต่กลับไม่คิดว่าแค่ผ่านไปแค่สองวันเองจะถูกเรียกตัวกลับซะแล้ว
ใบหน้าที่ทำหน้ารอคอยของเสี่ยวหลงสีหน้าเปลี่ยนเป็นหมดหวังทันที
“ครั้งหน้าหม่ามี้จะควรมาอยู่เป็นเพื่อนดีไหม?”
เสี่ยวหลงพยักหน้าตกลงอย่างไม่พอใจ ถือว่าผ่านไปได้ แต่ใบหน้าเล็กกลับไม่มีความสุขแสดงให้เห็นเลยสักนิด
หลินเวยมี่อุ้มเข้าขึ้นมา จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก ด้านนอกแสงแดดส่องแรงมาก หล่อนหยิบหมวกสีน้ำตาลขึ้นมาแล้วสวมหมวกบริเวณศีรษะให้เสี่ยวหลง
เสี่ยวหลงกอดคอหลินเวยมี่เอาไว้แน่น ศีรษะซบบริเวณหัวไหล่ของหล่อน
“หม่ามี้บอกว่าครั้งหน้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวหลง อย่าหลอกเสี่ยวหลงอีกนะ”
หลินเวยมี่กลับไม่มีความรู้สึกใดๆอยู่ในใจ รีบตอบกลับทันที “อืม ครั้งหน้าแม่จะมาอยู่เป็นเพื่อนลูกแน่ๆ”
ไม่ไกลจากสี่แยกไฟจราจรบนท้องถนน ก็มีรถสปอร์ตคันหนึ่งจอดรอสัญญาณไฟอยู่
ฐาลี่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยมองออกไปด้านนอก พอดีกับที่เห็นด้านหลังใครบางคนที่คุ้นเคยอยู่ สีหน้าของหล่อนเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับเบิกตามองอย่างพินิจพิจารณา
ทว่าด้านหลังของคนนั้นก็เข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนจนมองไม่เห็น
“ดูอะไรอยู่?” ฉู่เฉินซีที่กำลังสวมแว่นกันแดดสีดำ เอ่ยปากถาม สีหน้าท่าทางดูเบื่อหน่ายมากในการแสดงออกออกมา
ฐาลี่รีบส่ายศีรษะปฏิเสธ แล้วหัวเราะให้ “ไม่มีอะไร น่าจะมองผิดคน”
“อืม งั้นฉันส่งเธอกลับบ้าน น้าหรานบอกว่าคิดถึงเธออยู่” ฉู่เฉินซีเอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา พอไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถก็ทะยานออกไปทันที
รอยยิ้มที่มุมปากของฐาลี่กลับดูขมขื่นเล็กน้อย หล่อนรับรู้ความรู้สึกของฉู่เฉินซีที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในงานประมูลในครั้งนั้น เขาเปลี่ยนไปจนแปลกไปเลย
อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนน้อยครั้งนักที่จะได้พบหน้ากัน ผู้หญิงมีพรสวรรค์ในการเป็นนักสืบ ยิ่งรับรู้ได้ว่าเขาไม่เหมือนเดิม ในใจของหล่อนยิ่งส่งสัญญาณออกมา
“คุณไม่อยู่กับฉันหรอ?” ฐาลี่เอนพิงเบาะที่นั่ง ดวงตาจ้องมองเขา
สีหน้าของฉู่เฉินซีช่างนิ่งมาก จากนั้นก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันมีธุระต้องเข้าไปจัดการ”
“ช่วงนี้รู้สึกว่าคุณจะยุ่งมาก ฉันพอจะอยากรู้ได้ไหมว่าตอนนี้คุณยุ่งเรื่องอะไร?” ฐาลี่ถามด้วยคำถามบังคับให้ตอบ จนทำให้เห็นถึงความหงุดหงิดบนตัวหล่อน
ใบหน้าฉู่เฉินซีนิ่งทันที จากนั้นก็ทำสีหน้าเคร่งเครียด
ฐาลี่รู้ทันทีว่าตนเองกำลังล้ำเส้นเขาให้แล้ว แต่ความรู้สึกแบบนี้ทำให้หล่อนอยู่ไม่เป็นสุขเลย ทำได้แค่นั่งต่อไปด้วยความอึดอัด และก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรขึ้นมาอีกเลย
หลังจากส่งฐาลี่กลับไปแล้ว รถของฉู่เฉินซีก็สตาร์ทอีกครั้ง ดวงตาภายใต้แว่นตาดำนั้นทอประกายสัตว์ร้ายที่พร้อมล่าเหยื่อออกมา
ทั้งเครียด ทั้งตื่นเต้น แถมยังมีความรู้สึกในการเล่นสนุกกับการล่าเหยื่อให้ถึงมืออย่างน่ามหัศจรรย์
มุมปากฉีกยิ้มขึ้นมา นิ้วมือเคาะลงบนพวงมาลัยรถยนต์ ดวงตาทอประกายหมาป่าออกมาทันที
ห้าปีที่ผ่านมา เขาอยากจะเห็นเหลือเกินว่าหลินเวยมี่เปลี่ยนไปขนาดไหน จะเหมือนเมื่อก่อนหรือป่าว ที่ยอมให้เขากลืนกินทั้งตัว
ได้แต่คาดหวังอยู่ในใจ