รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน – ตอนที่ 204

ตอนที่ 204

บทที่ 204 ความเชื่อใจของฉู่เฉินซี

หลินเวยมี่ไปอยู่ข้างๆเดวิดอย่างลนลาน ความตื่นตระหนกบนใบหน้าก็ยังไม่จางหายไป พร้อมกับจับแขนของเดวิดอย่างระมัดระวัง ก้มหน้าลงเล็กน้อย รอยจูบที่คอของเธอสามารถเห็นได้อย่างง่ายดาย

อย่างกับจะย้ำเตือนว่าเมื่อกี้นี้เธอได้ทำอะไรไป จู่ๆก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา

เดวิดเหมือนจะสังเกตอะไรได้บางอย่าง จ้องมองไปที่เธอแล้วค่อยๆปัดผมเธอออก“ฉันชอบเธอแบบผมยุ่งๆมากกว่า”

ผมยาวๆก็ปิดลงมายังรอยที่คอของเธอ หลินเวยมี่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังเดวิด สายตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ

เดวิดยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วกอดเธอแน่นโดยไม่แคร์สายตาของคนรอบข้าง แล้วพูดข้างหูเธอเบาๆว่า“ครั้งหน้าอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกล่ะ”

หลินเวยมี่รู้ว่าเขากำลังช่วยแก้ต่างให้เธอ ไม่งั้นใครๆก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงคอเธอคืออะไร

“ขอบคุณ”หลินเวยมี่มองไปยังเขา สายตาเต็มไปด้วยความขอบคุณ

อีกด้านหนึ่ง ฉู่เฉินซีก็เห็นภาพทั้งหมดนี้ เขากำมือแน่นสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ใช่ว่าเขาจะไม่เห็นถึงสายตาที่ซ่อนอยู่ของเธอ เธอรักเดวิดขนาดนั้นเลยเหรอ?

เขาดื่มแชมเปญที่อยู่ในมือจนหมด สายตาไม่พอใจ

“เฉิน ทำไมดื่มขนาดนั้น?”ฐาลี่ถามด้วยความเป็นห่วง

ฉู่เฉินซีโบกมือไปมา แล้วดันมือเธอออกไปอีกด้าน“ไม่มีอะไร”

ฐาลี่มองตามไปยังสายตาของเขา หลินเวยมี่อยู่ในอ้อมกอดของชายคนอื่น และยิ้มอย่างอบอุ่น

“เธอแต่งงานแล้วนะ คุณยังไม่ตัดใจอีกเหรอ?”ฐาลี่ถามขึ้นด้วยความไม่พอใจ เธอดิ้นรนมาตลอดในระยะเวลา5ปีมานี้ อยากจะไม่สนใจฉู่เฉินซี แต่กลับพบว่า เธอไม่อาจไปจากเขาได้เลย

อาจเป็นเพราะเธอไม่หยิ่งในศักดิ์ศรีพอ เธออยากมีผู้ชายที่แข็งแรงมาดูแลเธอ

ฉู่เฉินซีมองไปที่เธออย่างเย็นชา ด้วยสายตาที่เฉียบคม แล้วพูดเตือนออกไปอย่างชัดเจนว่า“ฐาลี่อย่าลืมสิว่าเรายังไม่ได้แต่งงานกัน”

แววตาของฐาลี่เต็มไปด้วยความผิดหวัง พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ ปีนั้นฉู่เฉินซีมาสายทำให้พวกเครือญาติไม่พอใจอย่างมาก แล้วยังออกไปจากพิธีแต่งงานอีก และบอกห้ามเธอไม่ให้คบกับเขา

แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้

“แต่ทางเลือกของคุณไม่ใช่ฉันหรอกเหรอ?”ฐาลี่ฝืนยิ้มอย่างสบายใจ แต่ภายใต้รอยยิ้มนั่นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ฉู่เฉินซีแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น สายตาเหล่มองไปยังผู้หญิงที่ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป

หลินเวยมี่รู้สึกได้ถึงสายตาของเขา เธอก็ชะงักไป แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมองเขาแม้แต่น้อย เขาราวกับงูที่มีพิษตัวหนึ่ง ซึ่งเธอไม่กล้าแตะต้อง

จนกระทั่งกลับบ้าน เธอก็ไม่มองเขาแม้แต่น้อย

“อารมณ์ไม่ดีเหรอ?”เดวิดมองไปยังหญิงสาวที่พิงกระจกรถอย่างเหนื่อยล้าด้วยรอยยิ้ม

หลินเวยมี่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา มองไปยังเดวิดด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย“เดวิดอย่าคบค้ากับฉู่เฉินซีได้ไหม?”

“บอกเหตุผลมาหน่อยสิ?”เขายิ้มพร้อมจุดบุหรี่ สีหน้าขี้เล่น

หลินเวยมี่เม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ถ้าดูจากอำนาจของเดวิดนั้น เขาก็คงจะรู้ตั้งนานแล้วว่าเธอกับฉู่เฉินซีเคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แต่เขากลับไม่พูดออกมา

ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำนี้ตกลงมันหมายความว่ายังไง เธองงไปหมดจนไม่อยากจะคาดเดาต่อ

“ฉันกับฉู่เฉินซีเคยรู้จักกัน ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก เพราะฉะนั้นไม่ร่วมมือกับเขาได้ไหม?”น้ำเสียงของหลินเวยมี่นั้นแข็งกร้าว พร้อมกับเสียงที่เย็นชา

“ไม่ได้”เดวิดตอบกลับเธอมาทันที

“แค่เคยรู้จักกัน แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะ?ฉันสนใจในตัวฉู่เฉินซีมาก”เดวิดพูดจบแล้วยิ้มเบาๆ สายตาก็มองทอดออกไป แล้วก็ไม่อยากจะพูดอะไรอีก

หลินเวยมี่คงไม่โง่พอทีจะไปกระตุกหนวดเขา เธอถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ในใจเธอยุ่งเหยิงไปหมด มันไม่ง่ายเลยที่จะอยู่เงียบๆแบบนี้มาได้ตั้ง5ปี เธอไม่อยากกลับไปคิดถึงความเจ็บปวดนั่นอีก และความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง2คนก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ต่อไป

เมื่อถึงบ้านมันก็ดึกมากแล้ว เสี่ยวหลงกลับยังไม่นอน ดวงตากลมโตมองไปยังหลินเวยมี่ที่ประตู

มีความประหลาดใจในสายตานั่น เขารีบดึงผ้าห่มออกอย่างเร็วเพื่อจะได้รีบไปกอดหลินเวยมี่

หลินเวยมี่จ้องเขม็งไปที่เขาเพื่อเป็นการตักเตือน แล้วก็ห่มผ้าห่มให้เรียบร้อย

“ทำไมยังไม่นอนอีก?”

เสี่ยวหลงรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่ผิดปกติของหลินเวยมี่ ใบหน้าเล็กๆก็มีสีหน้าสงสารขึ้นมาทันที พร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่น“ผมรอแม่ไงครับ”

“จะรอแม่ทำไมกัน?”หลินเวยมี่เมื่อเห็นท่าทีของเสี่ยวหลงก็ไม่มีภูมิคุ้มกันใดๆ เธอก้มลงไปจูบเบาๆที่หน้าผากของเขา

“พรุ่งนี้พวกเรามีการแสดง คุณครูให้พ่อกับแม่ไปด้วย”เสี่ยวหลงพูดพลางมุดหน้าเล็กๆลงไป“เสี่ยวหลงรู้ว่าพ่อยุ่งมากไม่มีเวลาที่จะไปร่วมด้วย แม่ไปได้ไหมครับ?”

ใจของหลินเวยมี่เจ็บปวดเล็กน้อย“ได้สิ พรุ่งนี้แม่ไปได้”

เสี่ยวหลงจึงสบายใจแล้วพยักหน้าไป จากนั้นหลับตาลงแล้วนอนลงไป

หลินเวยมี่ลูบไปยังผมม้วนลอนเล็กๆนั่น เธอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ฉู่เฉินซีรู้ว่ามีเสี่ยวหลง แต่เขากลับไม่เคยตรวจสอบ คงจะไม่เคยคิดถึงด้านนั้น แต่ถ้าหลังจากเขารู้ความจริงเรื่องเสี่ยวหลงควรจะทำยังไงดี?

เธอไม่สบายใจเลย จากนิสัยของฉู่เฉินซีแล้วนั้น เขาคงไม่ลังเลที่จะแย่งเสี่ยวหลงไปจากเธอแน่ๆ!

ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงเธอก็จะไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ไม่ให้ฉู่เฉินซีเจอเสี่ยวหลงเด็ดขาด

ค่ำคืนที่เงียบเหงา ฉู่เฉินซียืนอยู่ตรงหน้าต่างแล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเงียบๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า

แล้วก็มีสายเรียกเข้าที่เข้ามาทำลายความเงียบนี้

ณ โรงพยาบาล ฉู่เฉินซีเดินตามทางเดินด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ด้านนอกห้องผู้ป่วยมีคนชุดดำยืนเฝ้าอยู่

คุณท่านแก่ฉู่นั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกและก้มหน้าลงเล็กน้อย ในมือก็ถือบุหรี่ที่จุดไว้แล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เห็นเป็นเช่นนั้นยิ่งทำให้ดูแก่ลงไปหลายปี

“ฉู่หรานเป็นไงบ้าง?”ฉู่เฉินซีถามออกไปอย่างกังวลใจ

พ่อบ้านหลี่ถอนหายใจเล็กน้อย แล้วตอบออกไปอย่างช้าๆ“คุณรั่วหรานอาการไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว บวกกับช่วงนี้จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว”

“หมายความว่าไง?”ฉู่เฉินซีมองไปยังพ่อบ้านหลี่ด้วยความประหลาดใจ สายตาเต็มไปด้วยความกังวล

“เพราะเรื่องนั้นกดดันคุณรั่วหรานมานานมากแล้ว ทำให้เจ็บปวดอยู่ภายในใจ ดังนั้นโรคประสาทอ่อนจึงทำให้ตื่นมากลางดึกบ่อยๆ”พ่อบ้านหลี่พูดขึ้น

ฉู่เฉินซีมองไปยังคุณท่านแก่ฉู่โดยที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ฉู่หรานมีความเจ็บปวดภายในใจมาตลอด ตั้งแต่ที่เรื่องนั้นเกิดขึ้นเธอก็เก็บไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ให้ใครได้เห็นมัน

และต่อหน้าคุณท่านแก่ฉู่ยิ่งแกล้งทำเป็นคนที่ไม่สนใจอะไร ดังนั้นตอนนี้จึงระเบิดออกมาแล้ว?

“มีวิธีไหนช่วยได้บ้าง?”ฉู่เฉินซีถามด้วยความกังวล

“ตอนนี้ยังไม่มี เรื่องนั้นทำให้คุณรั่วหรานเจ็บปวดมาก บวกกับความเจ็บปวดภายในใจตั้งหลายปี ไม่ใช่ว่าจะหายไปง่ายๆ”พ่อบ้านหลี่อธิบายต่อ

ฉู่เฉินซีมองไปยังรั่วหรานที่นอนหลับสนิทอยู่ในห้องผู้ป่วย สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ใครจะไปรู้ว่ารั่วหรานที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่ภายในใจนั้นเก็บเรื่องราวต่างๆไว้มากมาย?

“เจ็บปวดภายในใจ ก็ต้องรักษาด้วยยาเจ็บปวดภายในใจ ต้องการไหมว่า……”(สำนวนจีน หมายถึงในใจเราเจ็บป่วยเพาระสิ่งใด ต้องแก้ไขสิ่งนั้นถึงจะหายดี)

“ไม่ต้อง!”ไม่รอให้ฉู่เฉินซีพูดจบคุณท่านแก่ฉู่ก็พูดตัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก พร้อมกับสายตาที่เหมือนจะเตือนเป็นในๆ“เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เธอเจ็บปวดที่สุดในชีวิต ใครหน้าไหนก็ห้ามพูดออกมาแม้แต่คำเดียว!”

ฉู่เฉินซีเม้มปากแน่น สายตาก็ยิ่งกังวลมากเข้าไปอีก

หลินเวยมี่รีบไปลางานที่โรงแรม แล้วก็รีบจะไปโรงเรียน บังเอิญเย่หนิงขับรถมาพอดี เธอจึงขึ้นรถเย่หนิง พอนั่งปุ๊บก็ได้ยินเสียงเธอบ่นทันที

“เวยมี่!สามีเธอบ้าไปแล้วเหรอ?”

หลินเวยมี่เม้มปากแน่น แล้วมองไปยังเย่หนิง“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ?”

“เธอยังไม่รู้เรื่องงั้นเหรอ?”เย่หนิงมองไปที่เธออย่างประหลาดใจ แล้วก็พูดเสียงเบาลง“อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก”

“ตกลงเธอจะบอกอะไรกันแน่?เดวิดมาหาเธอทำไมอีก?”หลินเวยมี่รู้ว่าเธออยากจะพูดอะไร แต่ก็รู้ว่าเธอเป็นคนใจร้อน ยังไงก็คงเป็นคนพูดออกมาเอง ก็เลยไม่รีบอธิบายอะไรไป

เย่หนิงมองหลินเวยมี่ด้วยความกังวลพร้อมกับถอนหายใจออกมา แล้วก็สตาร์ทรถ สายตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ

“เวยมี่ ถ้าฉันบอกไปแล้วเธอห้ามร้องไห้นะ”

“วางใจเถอะเพื่อนสาว ฉันหน่ะมีความอดทนสูงนะ”หลินเวยมี่ยิ้มแล้วตีไปยังหน้าอกของตัวเอง

เย่หนิงก็ยังคงเป็นกังวล เพราะไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี ท่าทางลังเลๆ

“เวยมี่ สามีเธอชอบผู้ชายงั้นเหรอ?วันนั้นฉันเห็นแฟนของเขาด้วย”เย่หนิงพูดอย่างระมัดระวัง แล้วลอบมองไปยังหลินเวยมี่ กลัวว่าเธอจะรู้สึกไม่ดี

หลินเวยมี่ยิ้มยกมองไปยังเธอ ใบหน้าไม่มีความรู้สึกอะไรเลย

“ฉันรู้แล้วหน่ะ”

“เธอรู้แล้วงั้นเหรอ?ที่แท้เธอก็รู้แล้ว!งั้นเธอยังแต่งงานกับเขา?”เย่หนิงถามออกไปเสียงดังด้วยความตกใจ

หลินเวยมี่เม้มริมฝีปากแน่น สายตาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเย่หนิงยังไง

จู่ๆเย่หนิงก็หยุดแผดเสียง มองไปยังเธอเงียบๆ แล้วถามออกไปเสียงเบา“เวยมี่ ที่เธอเลือกแต่งงานแบบนี้เป็นเพราะเธอยังรู้สึกต่อฉู่เฉินซีใช่หรือเปล่า?”

“ไม่เกี่ยวกับเขา นี่มันเป็นเรื่องของฉัน”หลินเวยมี่ยิ้มเจื่อนๆ เธอเลือกเองมาตั้งแต่แรก มันเกี่ยวกับใครซะที่ไหนกันละ?

จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว แล้วหยิบโทรศัพท์มาดูที่หน้าจอถึงแม้ไม่ได้บันทึกชื่อไว้ แต่ก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี

เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็รับสาย

“มานี่”น้ำเสียงของคำสั่งดังมาจากไมโครโฟน

หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว แล้วพูดออกไปอย่างไม่เต็มใจ“ทำไมคุณบอกให้ฉันไปฉันต้องไปด้วยล่ะ?คุณคิดว่าคุณเป็นจักรพรรดิงั้นเหรอ?”

“อย่าลืมสิว่าสถานะของเธอตอนนี้คืออะไร ภายในครึ่งชั่วโมงฉันต้องได้เจอเธอ”

ใบหน้าของหลินเวยมี่ซีดเผือด เธอมองไปยังโทรศัพท์ที่พึ่งวางสายไปแล้วก็รู้สึกงุนงง

“ฉู่เฉินซี?พวกเธอญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”เย่หนิงจำได้ว่าเป็นเสียงของเขาจึงถามออกไปอย่างประหลาดใจ

“จอดที่ถนนด้านหน้านะ บอกเสี่ยวหลงด้วยว่าฉันจะไปถึงทีหลัง”

“เธอจะไปเจอเขา?”เย่หนิงจอดข้างทางอย่างลังเล

หลินเวยมี่ก้มหน้าลงไม่ตอบอะไรไป แล้วรีบลงจากรถ

ณ ห้องของโรงแรมหรู เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็สามารถได้กลิ่นของแอลกอฮอล์ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอมาที่นี่ เธอได้ยินน้ำเสียงของฉู่เฉินซีนั้นแปลกๆ จึงมา

ฉู่เฉินซีนั่งอยู่บนพรม รอบๆรายล้อมไปด้วยขวดไวน์ที่ดื่มจนหมด เมื่อเขาเห็นเธอก็ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แล้วเดินไปหาเธอ

“เธอมาแล้ว”

ราวกับโล่งใจมากๆ ฉู่เฉินซีเอนหัวลงไปซบที่ไหล่ของเธอแล้วกระซิบเบาๆ เรี่ยวแรงทั้งหมดของเขากดทับไปที่ร่างกายของเธอ นี่เป็นการแสดงออกถึงความไว้วางใจ

รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน

รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน

Status: Ongoing

หลินเวยมี่ดื่มไปหนึ่งแก้วแล้วก็เมามาย เธอผลักประตูเดินเข้าไปในห้องของโรงแรม เมื่อสบตากับดวงตาสีน้ำตาลที่เข้มลึกนั้น ฉู่เฉินซีรู้สึกถึงความผิดปกติของเธอ ก้มหน้าลงแล้วจูบเธอเบาๆ ตั้งแต่นั้นมาเธอกับเขาก็เริ่มเกี่ยวพันกัน……….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท