บทที่ 188 ถือว่าคุณยังมีมโนธรรม
มือของเขาจับร่างกายของเธอไม่หยุด
หลินเวยมี่รู้สึกแปลกๆทั่วทั้งร่างกายของเธอ เธอกัดฟันแน่น แล้วก็พยายามกดอารมณ์ไว้
ทันใดนั้นหลินเวยมี่ก็ลืมตาขึ้นมา เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็ผลักเขาออกทันที
ฉู่เฉินซีมองหน้าเธออย่างประหลาดใจ สายตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมหรอ?”
ใบหน้าของเธอดูตกใจ ดวงตาดูรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่ค่อยสบาย”
พอพูดจบเธอก็ลงจากเตียงด้วยความรวดเร็ว แล้วก็เดินเข้าห้องอาบน้ำไปทันที
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ตอนที่ออกมานั้นฉู่เฉินซีก็ไม่อยู่แล้ว สายตาของเธอปรากฏความผิดหวัง เอามือจับที่ท้องน้อยของตัวเอง สีหน้าของเธอก็เลยดีขึ้น
ในร้านกาแฟ หลินเวยมี่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไร้สีหน้าใดๆ โจ่วชิงช๋วนพิงโซฟาอย่างขี้เกียจ พร้อมกับเอานิ้วเคาะโต๊ะ
“ระหว่างพวกเธอเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
สีหน้าของหลินเวยมี่ค้างแข็ง แล้วก็รีบส่ายหน้า “มีหลายเรื่อง ฉันไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องไหนก่อน”
โจ่วชิงช๋วนมองหน้าเธอ สายตาเต็มไปด้วยความสับสน “เธออยากให้ฉันพาเธอไปจริงๆหรอ?”
“นายไม่อยากหรอ? ถ้ายังงั้นก็ช่างเถอะ” หลินเวยมี่ถอนหายใจออกมา เธอไม่รู้จริงๆว่าควรจะไปหาใคร เพราะฉะนั้นก็เลยมาหาโจ่วชิงช๋วน ในใจก็รู้ว่านี่มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย แต่ว่าถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะให้เธอไปหาใครได้อีก?
“ฉันดีใจมากที่เธอคิดถึงฉันในเวลาแบบนี้” โจ่วชิงช๋วนยิ้มกว้าง “ครั้งแรกที่ไม่เห็นฉันเป็นแค่ตัวประกอบ”
หลินเวยมี่มองดูใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก็รู้สึกปวดใจ แล้วก็หันไปมองทางอื่นทันที
โจ่วชิงช๋วนเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าหลินเวยมี่จะมาหาเขา แล้วก็ให้เขาพาเธอไปอีก เขาดีใจจนเหมือนจะเป็นบ้า ถ้าพูดแบบนี้ หมายความว่าเธอเต็มใจจะเริ่มต้นใหม่แล้วสินะ?
“โจ่วชิงช๋วน ขอบคุณนะ” น้ำเสียงของเธอแหบพร่า สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ที่จริงฉู่เฉินซีกำลังจะแต่งงานแล้ว ฉันอยากไปตอนงานแต่งของเขานั่นแหละ”
“เธอ…..”จ่วชิงช๋วนไม่คิดว่าเหตุผลจะเป็นเรื่องนี้ ความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทันที “เธอควรจะออกมาตั้งนานแล้ว ทำไมต้องรอจนถึงงานแต่งเขาด้วย?”
“ไม่ ให้เวลาฉันอีกหน่อยเถอะ” เธอก้มหน้าลง สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เวยมี่ เธอนี่ช่าง……”โจ่วชิงช๋วนมองหน้าเธอแล้วถอนหายใจยาวออกมา ไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมเธอยังไง
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นมา มีความเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ เธอหาวนอนออกมา “ฉันต้องกลับไปแล้ว”
“ได้ ถึงตอนนั้นก็โทรหาฉันแล้วกัน”
หลินเวยมี่นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ สายตาที่ว่างเปล่ามองออกไปด้านนอก เธอมีความรู้สึกว่าไม่อยากกลับ ในคฤหาสน์นั้นเต็มไปด้วยความอึดอัด อึดอัดจนเธอรู้สึกหายใจไม่ออก เธอไม่อยากจะกลับไปตอนนี้เลยจริงๆ
“ไปสุสานค่ะ”
ในสุสานนั้น หลินเวยมี่ยืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพของหลินจ่านหง แล้วก็วางดอกไม้ลง
“พ่อคะ หนูจะไปจากที่นี่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่”
“พ่อคะ วางใจเถอะนะคะ ชีวิตในอนาคตของหนูจะเป็นไปได้ดีแน่นอน พวกเราจะมีความสุขค่ะ” หลินเวยมี่วางมือบนท้องน้อยของเธอ น้ำตาคลอเบ้า “ลูกรัก นี่คือคุณตา”
เธอถอนหายใจออกมา เงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วก็ฝืนยิ้มออกมา เธอเชื่อว่าในอนาคตเธอจะต้องเป็นไปได้ดี ในเมื่อไม่มีฉู่เฉินซีแล้วจะยังไงกัน? เธอยังสามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้
“เวยมี่”
พอได้ยินเสียงนั้น หลินเวยมี่ก็นิ่งไป แล้วก็รีบหันหน้าไปทางกู้จุนเฟิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ เสมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
“นายมาได้ยังไง?” หลินเวยมี่ถามออกมาอย่างแปลกใจ ทั้งสองคนรู้สึกไม่สนิทกัน เหมือนเป็นคนแปลกหน้า
กู้จุนเฟิงยิ้มออกมา แล้วก็ยักไหล่อย่างจำใจ “ถ้าวันไหนไม่มีอะไรทำ ฉันก็จะมานั่งคุยกับคุณลุงที่นี่”
หลินเวยมี่มองหน้าเขาอย่างลึกซึ้ง เขายังคงเหมือนกับเมื่อก่อน สายตายังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“ขอบคุณที่นายมาเยี่ยมพ่อฉันตลอด”
“เวยมี่ เราต้องห่างเหินกันขนาดนี้เลยหรอ?” สีหน้าของกู้จุนเฟิงเต็มไปด้วยความจำใจ เขาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวแล้วก็มองตาเธอ แค่รู้สึกได้ว่าเธอในตอนนี้ อยู่ห่างไกลจากเขามาก ไกลจนไม่ว่าจะทำยังไงเขาก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้
“เสี่ยวจื๋อ ที่จริงฉันก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ฉันไม่มีวันลืมลงตลอดชีวิต ที่ฉันกระโดดลงมาจากต้นไม้แล้วนายรับฉันไว้” เธอคลี่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เหมือนกับดอกมะลิ สะอาด กลิ่นหอม
กู้จุนเฟิงรู้สึกเหมือนว่าโดนบีบแน่น มันเจ็บปวดมาก ปวดจนเข้ากระดูก
“เรื่องครั้งนั้น ขอโทษจริงๆนะ”
“มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับนายเลย ฉันเป็นคนบอกนายเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนานด้วยล่ะ?”หลินเวยมี่รู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องทะเลสาบน้ำแข็ง
“ที่เธอทำแบบนี้ ยิ่งทำให้ฉันทุกข์ใจมากกว่าเดิม เหมือนกับว่าฉันไม่มีวันได้เจอเธอคนก่อนอีกแล้ว” กู้จุนเฟิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น สายตาเต็มไปด้วยความเสียใจ ที่จริงแล้ว เขาไม่สามารถมองเห็นเด็กผู้หญิงที่มองมาที่เขาที่สายตาเต็มไปด้วยความรักได้อีกแล้ว
เธอเองก็ไม่มีวันมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว ตอนนี้สายตาของเธอนิ่งเรียบมาก นอกจากครอบครัว เขาก็หาอย่างอื่นไม่เจออีกแล้ว
“พูดอะไรที่มันน่าดีใจหน่อยดีมั้ย เสี่ยวจื๋อ ฉันท้องแล้ว อวยพรฉันหน่อยสิ” เธอยิ้มแล้วพูดออกมา
สีหน้าของกู้จุนเฟิงค้างแข็ง แล้วก็มองไปที่ท้องน้อยของหลินเวยมี่โดยอัตโนมัติ แล้วก็คลี่ยิ้มออกมา “ไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นแม่คนแล้ว”
“ใช่สิ ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน”
“เวยมี่ ฉันขอเตือนอะไรเธอหน่อย อย่าไปเชื่ออะไรหลินซินหยานมากเลยนะ” กู้จุนเฟิงเหมือนกับคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็พูดออกมาอย่างตรึงเครียด
หลินเวยมี่มองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ เธอรู้สึกไม่เข้าใจอย่างมาก “ซินหยานทำไมหรอ? เธอยังเป็นแค่เด็กคนนึงอยู่เลย”
“เด็กงั้นหรอ?” กู้จุนเฟิงยิ้มออกมาอย่างเยาะย้าย “เขาเด็กกว่าเธอแค่ปีเดียวเองนะ อะไรที่เธอทำเหมือนไม่รู้ก็เป็นแค่การแสดงแค่นั้นเอง”
“นายหมายความว่ายังไง?” สีหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน แล้วก็ถามออกมาอย่างตึงเครียด “นายบอกว่าปกติเธอเสแสร้งงั้นหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง? ฉันคือพี่สาวของเธอนะ ทำไมฉันจะไม่รู้?”
“แล้วเธอรู้มั้ยล่ะว่าเขามีนิสัยยังไง?” กู้จุนเฟิงถอนหายใจออกมา แล้วก็พูดออกมาต่ออย่างจำใจ “หลินซินหยานเป็นคนแปลกประหลาดมาก ที่ก่อนหน้านี้ฉันต้องไปเกี่ยวโยงกับตระกูลฉู่ก็เพราะว่าเขาขู่ฉัน แต่ฉันก็ยังไม่รู้ว่าเธอขายชีวิตของตัวเองให้ใครกันแน่”
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สายตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เธอไม่มีทางเชื่อว่าหลินซินหยานจะเป็นแบบที่กู้จุนเฟิงพูดเด็ดขาด
เด็กดีอย่างหลินซินหยาน จะมีด้านมืดแบบนั้นได้ยังไง?
“เวยมี่ ฉันก็แค่เตือนเธอเท่านั้น ว่าอย่าไปเชื่อคำพูดของเธอเด็ดขาด” กู้จุนเฟิงเอามือวางบนไหล่ของเธอ แล้วก็พูดปลอบใจออกมา
หลินเวยมี่กัดริมฝีปากแน่น มีความรู้สึกแยกแยะดำขาวไม่ออก หลินซินหยานที่ทำดีกับเธอมาตลอดจะเป็นเหมือนกับที่กู้จุนเฟิงพูดได้ยังไง? เธอไม่กล้าจะเชื่อเลย
“ตอนนี้นายเป็นยังไงบ้าง? ยังติดต่อกับพวกเขาอยู่มั้ย?”
“แม่ของฉันยังอยู่ในมือของพวกนั้น ฉันอยากช่วยเธอออกมา” กู้จุนเฟิงยิ้มออกมานิ่งๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมา “ที่จริงฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ฉันยังมีชีวิตอยู่รึป่าว”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?” หลินเวยมี่ขมวดคิ้วแน่นแล้วถามออกมา
“เพราะว่าไม่ได้เจอกันมาสามปีแล้ว อีกอย่างพวกเขาก็แค่ส่งรูปถ่ายมาให้ฉันแค่นั้น” สายตาของกู้จุนเฟิงลึกซึ้ง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมา พูดออกมาอย่างหดหู่ “แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นยังไง ฉันก็จะช่วยเธอออกมา”
หลินเวยมี่ถอนหายใจ ก้มหน้าลง เธอรู้สึกหวั่นไหวกับเรื่องที่กู้จุนเฟิงพูดออกมา ทำให้เธอไม่มีสติ
“พอแล้ว ไม่ต้องคิดแล้ว ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ” กู้จุนเฟิงยิ้มแล้วก็เชื้อเชิญ
ตอนนั้นหลินเวยมี่อยากจะปฏิเสธ แต่ว่าหลังจากคิดอยู่ครู่นึง ถ้าเกิดว่ากลับไปก็ไม่รู้ว่าฉู่เฉินซีจะอยู่รึป่าว สู้อยู่คุยกับกู้จุนเฟิงดีกว่า
ในร้านอาหารซ่างผิ่น กู้จุนเฟิงสั่งอาหารที่เธอชอบ “ยังอยากกินอยู่มั้ย?”
“ไม่ค่อยเท่าไหร่ ช่วงนี้ฉันกินไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่” หลินเวยมี่พูดออกมา เด็กในท้องเล่นงานเธอแรงมาก กินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็อาเจียนออกมาแล้ว
“ถึงยังไงก็ควรกินหน่อย” กู้จุนเฟิงยิ้มออกมา “รุนแรงขนาดนั้นเลยหรอ?”
หลินเวยมี่ตอบอย่างกลุ้มใจ การที่ได้คุยกับกู้จุนเฟิงก็รู้สึกสนิทสนม เขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่ใหญ่ของเธอ
“ใช่สิ บอกฉันเรื่องหลินซินหยานอีกหน่อยได้มั้ย?” เธอรีบถามออกมา ในใจรู้สึกสงสัยขึ้น เรื่องที่หลินซินหยานจงใจให้เธอไปดูคอมพ์ของฉู่เฉินซีก็เป็นแผนของเธอรึป่าว? แต่ว่าเป้าหมายของเธอคืออะไรกัน?
“ผู้หญิงคนนี้มีแผนการเยอะมาก ทำเรื่องราวอะไรได้อย่างใจดำอำมหิต ครั้งที่แล้วที่เธอทำกุญแจหายแล้วโดนตี ที่จริงก็เป็นฝีมือของเขา”
สีหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนไปทันที แล้วก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เป็นฝีมือเธองั้นหรอ?”
เธอไม่เคยคิดเลย เธอมีความสัมพันธ์กับเขาดีมาก เขาเหมือนกับกับว่าจะเป็นห่วงเธอมาก แต่ลับหลังก็หักหลังเธองั้นหรอ? เธอเดาไม่ออกว่าหลินซินหยานเป็นคนยังไงกันแน่ ทำไมถึงซ่อนตัวตนที่แท้จริงได้เก่งขนาดนั้น?
“เพราะฉะนั้น เธอไม่ใช่คู่แข่งของเขา” กู้จุนเฟิงดื่มน้ำลงไปอึกนึง สายตาเต็มไปด้วยความกังวล “ฉันก็เลยอยากให้เธอระวังตัวไว้หน่อย”
สีหน้าของหลินเวยมี่ซีดเผือก ในใจรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ หลินซินหยานจะเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง?
ทันใดนั้นก็มีความกลัวปรากฏขึ้นในหัวใจของเธอ ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใคร หรือว่าระวังใครกันแน่
“เวยมี่? เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
มีน้ำเสียงที่ประหลาดใจดังขึ้น ฐาลี่ดึงฉู่เฉินซีแล้วค่อยๆเดินเข้ามา ฐาลี่มองหน้ากู้จุนเฟิงแล้วก็เสแสร้งทำเป็นกระตือรือร้น “เวยมี่ นี่เพื่อนเธอหรอ?”
หลินเวยมี่เงยหน้ามองหน้าฉู่เฉินซี สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขมวดคิ้วแน่น
แต่ว่าในเมื่อเขาสามารถพาฐาลี่ออกมาเดินเล่นได้ แล้วทำไมเธอจะมากินข้าวกับกู้จุนเฟิงไม่ได้ล่ะ?
“ใช่ เพื่อนรักฉันเลย กู้จุนเฟิง”
ฐาลี่ยิ้มให้กู้จุนเฟิง “ฉันกับเฉินมาดูชุดแต่งงาน เดินเลือกทั้งเช้าเลยกว่าจะได้”
พอหลินเวยมี่ได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนทันที ที่แท้พวกเขาก็มาเลือกชุดแต่งงานกันนี่เอง!
“พวกคุณจะแต่งงานกันแล้วหรอครับ?” กู้จุนเฟิงถามออกมาอย่างประหลาดใจ แล้วก็มองหน้าที่ซีดเผือกของหลินเวยมี่แล้วเขาก็เข้าใจทันที แล้วก็หันไปมองหน้าฉู่เฉินซี “คุณชายฉู่ทำเรื่องอะไรที่เหนือความคาดหมายของผมเสมอ แต่ว่าผมก็ขอบคุณคุณนะ ที่สุดท้ายยอมปล่อยเธอไป ถือว่ายังมีมโนธรรมอยู่”