บทที่ 200 ฉันไม่อยากเจอคุณอีก
บรรยากาศด้านนอกฝนตกหนักมาก หลินเวยมี่ได้แต่ขมวดคิ้วพลางยืนบริเวณประตูมองดูสายฝนที่กระหน่ำลงมา อากาศช่างเปลี่ยนไปรวดเร็วจริงๆ ตอนที่หล่อนมานั้นอากาศแจ่มใส แล้วตอนนี้อยากจะตกก็ตกงั้น?
เลยหันกลับไปหาที่นั่ง เพื่อฟังชายชราอธิบายเรื่องการบ่มไวน์
บรรยากาศด้านนอกยิ่งครึ้มหนักเข้าไปทุกที ส่วนหลินเวยมี่อาการก็อึดอัดหนักกว่าเดิม ฝนทำท่าเหมือนจะตกไม่หยุด
“น่ากลัวว่าคืนนี้ต้องนอนที่นี่แล้วแหละ” ฉู่เฉินซีที่มือกำลังถือแก้วไวน์อยู่ สีหน้าเรียบเฉย ไม่มีทีท่ากังวลใดๆเลย
หลินเวยมี่ถลึงตาจ้องมองเขา ในใจยิ่งวิตกกังวลหนักกว่าเดิม
เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นมา หลินเวยมี่รีบควานหาโทรศัพท์ เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา สีหน้าหล่อนนิ่งไปชั่วครู่
“เดวิดคุณโทรหาฉันหรอ?” หลินเวยมี่ตั้งใจเดินไปทางประตู เพื่อลดความตึงเครียดลง
“อืม ตอนนี้ฉันอยู่ในฟาร์ม คุณจะมารับฉันใช่ไหม?”
“ได้สิ”
หลินเวยมี่ถอนหายใจ นานมากแล้วแทบไม่เคยคิดเลยว่าที่เดวิดยอมมารับหล่อนนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ สำหรับหล่อนถือว่าตกใจไม่น้อย
“สามีของเธอหรอ?” ฉู่เฉินซีเริ่มซักไซ้ขึ้นมา
หลินเวยมี่เงยหน้าแล้วสบตาจ้องมองและค้นหาสีหน้าบนใบหน้าของเขา แถมพยักหน้าตอบรับแล้วคลี่ยิ้มอยู่เล็กน้อย “ใช่ เขาจะมารับฉันกลับบ้าน”
หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน คำว่าบ้าน คำๆนี้เมื่อก่อนเธอชอบใช้คำนี้อยู่บ่อยครั้ง เพื่อเอาไว้เรียกห้องที่พวกเขาอาศัยอยู่ว่าบ้าน แต่ว่าตอนนี้เธอกลับไปมีบ้านอยู่กับผู้ชายอีกคนแทน
มุมปากแสยะยิ้มเพื่อหัวเราะเยาะเย้ยให้ตัวเอง จากนั้นก็กระดกไวน์ในแก้วจนหมดเกลี้ยง
เขายอมรับว่า ตนเองไม่ใช่ผู้ชายที่มีความสุขสักเท่าไหร่ ไม่งั้นจะมาคอยข้องแวะเธอทำไมกัน?
ค่อยๆลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปข้างตัวหลินเวยมี่อย่างช้าๆ จากนั้นก็ดึงหล่อนเข้าสู่อ้อมอกอย่างไม่ลังเล
“คุณทำอะไร?” หลินเวยมี่ตกใจทันที พร้อมใช้มือผลักไสไล่ส่งเขา
ฉู่เฉินซีก้มหน้า จากนั้นก็จูบเธอ กลิ่นไวน์อ่อนๆอยู่ท่ามกลางของทั้งสองคน อบอวลไปทั่ว
ก้าวไม่เพียงกี่ก้าว ก็สามารถตรึงหล่อนไว้ที่มุมกำแพงได้ จากนั้นก็รุกล้ำริมฝีปาก เพื่อชิมรสชาติของหล่อน รสชาตินี้ราวกับดอกฝิ่นอันชวนหลงใหล วินาทีนั้นอารมณ์ที่อยู่ในใจถูกปลุกให้ตื่นจากความหลับใหลขึ้นมา ความคิดของเขาถูกมันควบคุมไว้ทั้งหมด
เธอเองก็พยายามผลักตัวเขาออก แต่ก็สู้แรงเขาไม่ไหว เธอเริ่มแสดงอาการกระวนกระวายใจ ในใจเริ่มคิดเรื่องร้ายขึ้นมา เลยกัดลิ้นเขาไป
กลิ่นคาวเลือดในปากทั้งสองคนนั้น แต่เขากลับไม่หยุดเรียกร้องจากเธอ ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีความเจ็บปวดใดๆเลย
หลินเวยมี่รู้สึกถึงอาการชา ตัวเริ่มลอย สิ่งที่รับรู้ได้จากเขาก็คือเขากำลังใช้ความรุนแรงกับเธออยู่ พยายามทำให้เธอเลื่อนลอย พาเธอดื่มด่ำเข้าสู่ห้วงเหวที่ลึกลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ปี๊น——”
เสียงแตรรถดัง ร่างกายหลินเวยมี่สั่นสะท้าน พยายามใช้แรงทั้งหมดของตัวเองตบหน้าเขาฉาดใหญ่
เสียงตบดังสนั่น มือของหล่อนชาและสั่นตามไปด้วย
“ฉู่เฉินซี ฉันหวังว่าคงไม่ต้องเจอหน้าคุณอีก!”
พูดจบ ก็รีบวิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ
ฉู่เฉินซีค่อยๆได้สติ สายตาเห็นว่าเธอวิ่งหนีไปขึ้นรถคันนั้น จากนั้นก็ยกมือขึ้นมา ปาดเลือดที่ไหลอยู่ที่มุมปาก
หลังจากที่นั่งอยู่บนรถ ผมที่เปียกจนน้ำหยดเป็นหยดจากเส้นผม ใบหน้าซีดเผือด ราวกับว่าอาการยังไม่สามารถดีขึ้นมาดั่งเดิม สภาพดูย่ำแย่มาก
หัวใจเต้นแรง ทำยังไงก็ไม่สามารถทำให้มันสงบลงได้
“เช็ดซะ” เดวิดยืนทิชชู่ให้หล่อน แต่ใบหน้าเขาแทบไม่ได้มองเธอเลยด้วยซ้ำ
หลินเวยมี่ตกตะลึงไปชั่วขณะ จนใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา พร้อมทั้งพูดออกมาอย่างแผ่วเบา “ขอบคุณค่ะ”
หลังจากรับกระดาษทิชชูมาเช็ดบริเวณมุมปาก มันมีรอยเลือดติดอยู่ เธอหลับตาลง ในใจรู้สึกเหนื่อยล้า
“เดวิด คุณกับฉู่เฉินซีมีโครงการร่วมมือการทำธุรกิจหรอ?” หลินเวยมี่ถามกลับอย่างระมัดระวัง ระหว่างทั้งสองคนความสัมพันธ์คือการแต่งงานเป็นคู่ชีวิตกันก็เท่านั้น นอกจากนั้นไม่มีอะไรเลย เรื่องของเธอเองเขาก็ไม่เคยซักถาม ส่วนเรื่องของเขาเธอก็ไม่เคยสนใจเช่นกัน
ทั้งสองคนทำราวกับว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างใช้ชีวิตในแบบของตนเอง
เดวิดต้องการที่จะแต่งงาน ฉะนั้นเธอเองถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเหมาะสมสำหรับเขาแล้ว
“ฉันสนใจในตัวเขามาก” เดวิดตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ สายตากวาดตามองริมฝีปากของเธอที่บวมเจ่อขึ้นมาเล็กน้อย “แต่ดูจากลักษณะท่าทางแล้วเขาสนใจในตัวเธอเข้าให้แล้ว”
“ฉันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา” หลินเวยมี่รีบพูดอย่างเร่งรีบ เพื่อบอกปัดไปว่าเธอไม่ได้มีอะไรยุ่งเกี่ยวกับฉู่เฉินซีเลยสักนิด ถ้าไม่ใช่ว่าได้เจอกันอีกครั้ง บางทีเขาก็แค่เป็นความทรงจำที่ฝังลึกในหัวใจแค่นั้นเอง
“ความหมายของเธอก็คือจะยกเขาให้ฉันงั้นหรอ?” เดวิดยิ้มเล็กน้อย สีหน้าที่เย็นชากลับดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
“วันนี้ต้องขอบคุณที่คุณยอมมารับฉัน” หลินเวยมี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขอบคุณจากใจ
“ลูกชายคิดถึงเธอแล้วแหละ” เดวิดใช้มือข้างหน้าปัดผมบริเวณหน้าผาก “พอดีวันนี้ฉันกลับไปที่บ้านแล้วพี่เลี้ยงเป็นคนบอกฉัน”
หลินเวยมี่เองพอคิดถึงเสี่ยวหลงความคิดทุกอย่างที่อยู่ใจก็มลายหายไป มีแค่ความคิดที่อยู่ในสมองว่าต้องการกลับบ้านอย่างเดียว
“อีกอย่าง มะรืนนี้มีงานเลี้ยง” เดวิดเริ่มพูดเตือนให้หล่อนทราบ “ฉู่เฉินซีน่าจะไปปรากฏตัวที่งานด้วย”
“ฉันไม่ไปได้ไหม?” หลินเวยมี่เงยหน้าจ้องมองเขาอย่างเว้าวอน ดวงตาส่องประกายอาการขอร้องออกมา
เดวิดส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ได้ เพราะว่าเธอคือภรรยาของฉัน”
หลินเวยมี่คอตก เธอรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วสำหรับเหตุผลในข้อนี้ เดวิดเลือกเธอก็เพราะเรื่องที่ให้เธอเป็นภรรยาของเขาหรอกหรือ? เพื่อป้องกันสำหรับคนภายนอก แล้วให้เห็นความอบอุ่นของเขาทั้งสองคน
“รู้แล้วค่ะ” หล่อนตอบอย่างอึดอัด สายตาช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ฉู่เฉินซีแสดงอาการป่าเถื่อนออกมาหล่อนยิ่งหวาดกลัว คนอย่างฉู่เฉินซีสามารถที่ปล่อยหล่อนให้หลุดมือไปได้หรอ?
ตอนที่กลับมาถึงบ้านนั้น เสี่ยวหลงก็หลับสนิทไปแล้ว หลินเวยมี่เอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของเขา จากนั้นก็เดินออกจากห้อง
“เฮ้อ ฝนตกหนักมาก” เย่หนิงผลักประตูเข้ามา แล้วถอนหายใจ
เธอเปียกปอนไปทั้งตัวจนมองเห็นทะลุปรุโปร่ง เธอพยายามดึงเสื้อผ้าที่แนบเนื้อขึ้นมา จากนั้นกูมุ่งหน้าไปทางหลินเวยมี่พร้อมกับพูดขึ้นมาทันที “ขอใช้ห้องน้ำหน่อยสิ”
พูดจบก็เดินปรี่เข้าห้องน้ำ พร้อมทั้งถลกเสื้อที่เปียกบนร่างกายตัวเองออกมา แล้วก้มหน้าก้มตาเดินเข้าห้องน้ำ แต่กลับเดินชนจนถลาเข้าไปสู่อ้อมอกของใครคนใดคนหนึ่ง
เย่หนิงเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ เธอสบตาเดวิดที่สีหน้าเย็นชาอยู่แล้ว แล้วก็กรี๊ดดังลั่นบ้าน
“โรคจิต!”
มีเสียงทะเลาะกันอยู่ในห้องน้ำ ณ เวลานั้น
ความจริงแล้วหลินเวยมี่ก็ลืมไปซะสนิทว่าเดวิดยังคงอยู่ที่บ้านด้วย น้อยครั้งนักที่เขาจะมาที่นี่ วันนี้เขากลับมาด้วย จนหล่อนลืมไปซะสนิท
ตอนที่เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำ ก็เห็นภาพที่ผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงที่ร่างกายเปียกปอนจนเห็นทุกสัดส่วนบนร่างกายกำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่
แต่ภาพที่เห็นก็คือเย่หนิงกำลังผลักเขา ส่วนเดวิดก็เอาหลบหลีก
“คุณมันโรคจิต! ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” เย่หนิงเกาะแขนเดวิดเอาไว้แน่น แล้วถามซักไซ้ทันที
หลินเวยมี่ยืนอยู่ด้านข้างประตู แล้วรีบอธิบายทันที “เขาไม่ใช่โรคจิต เขาคือเดวิด”
เย่หนิงอึ้งไปสักพัก พร้อมมองเขาอย่างพินิจพิจารณา นี่ใช่สามีของเพื่อสนิทหรือนี่ จนใบหน้าเธอร้อนผ่าวจนแดงแจ๋ตั้งแต่ใบหน้าลามไปถึงลำคอ นี่เธอทำอะไรลงไป?
แถมยังอัดสามีของเพื่อนอีก? หล่อนทำปากยื่นปากยาว แล้วค่อยๆก้มหน้าลงอย่างช้าๆ สีหน้าดูย่ำแย่
ไม่เพียงแค่นั้น ที่ต่อยไปนั่นอ่ะเป็นผู้ชายที่กำลังโป๊อยู่ด้วย
“ทำไม? ไม่เคยเห็นหรอ?” เดวิดผู้เย็นชากลับมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แทบไม่ความเขินอายที่ร่างกายตนเองกำลังยืนตระหง่านท่ามกล่างผู้หญิงสองคน
“จิตวิปริต!” เย่หนิงตะคอกใส่ พร้อมกับต่อยเข้าอย่างแรง หมัดหนักกระทบบริเวณแผ่นอกของเดวิด จากนั้นก็คว้าหลินเวยมี่แล้ววิ่งพรวดออกไปที่ห้องรับแขก
“เย่หนิง…” หลินเวยมี่สะบัดมือเย่หนิงออก จากนั้นก็กดตัวหล่อนให้นั่งอยู่บนโซฟา
เย่หนิงยังมีไม่สามารถเรียกสติกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ หล่อนสูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรงสลับกัน แต่หลังจากนั้นหล่อนก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมา
“เวยมี่ ฉันไม่รู้จริงๆว่าสามีของเธอก็อยู่ที่บ้านด้วย”
“ไม่เป็นไร ฉันเองก็ลืมเหมือนกัน” หลินเวยมี่ก็แทบไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำแล้วรินน้ำอุ่นส่งให้หล่อน พร้อมกับหาผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวหล่อนเอาไว้
“แต่ฉันต่อยเขานะสิ แถมยังเห็นไอ้นั่นของเขาด้วย ความสัมพันธ์ของเราจะแตกหักจากเรื่องนี้ไหม?” เย่หนิงถามไถ่อย่างกังวล พร้อมทั้งจับมือของหลินเวยมี่เอาไว้แน่น
หลินเวยมี่คลี่ยิ้ม พร้อมทั้งปลอบใจหล่อน “ไม่หรอกน่า ไม่มีทาง”
จนเย่หนิงสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ จากนั้นก็เริ่มโกรธขึ้นมาแทน “ช่างน่าจริงๆ! ปกติก็ไม่เคยสนใจพวกเธอแม่ลูกเลย แล้วนี่เกิดผีบ้าผีบออะไร ตกใจชะมัดเลยเนี่ย?”
“ฉันเสียเปรียบ อับอายขายหน้าเขาไปทั่วบ้านทั่วเมืองแถมยังว่าบอกว่าตัวเองเสียเปรียบอยู่อีก” เสียงงึมงำดังขึ้นมา นุ่งผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำ รอยข่วนของเย่หนิงเมื่อครู่ก็ยังเห็นอย่างชัดเจน
คนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์แน่นอนว่าต้องคิดจินตนาการต่างๆขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ
“คำพูดของคุณมันหมายความว่ายังไง?” เย่หนิงที่ไม่ได้รู้สึกดีกับเขาเท่าไหร่ ยิ่งได้ยินที่เขาพูดขึ้นมา ถึงกลับโกรธขึ้นมาทีเดียว
“ฉันนี่ถูกเธอเห็นทุกซอกทุกมุม เธอยังมีกล่าวหาฉันอีกหรอ?” เดวิดเหล่ตามองหล่อนด้วยอารมณ์ดูแคลน
“งั้นฉันคงต้องแอบตั้งหน้าตั้งตายิ้มไปอีกหลายวันว่างั้นสิ? นี่คิดว่าตัวเองเป็นทาเกชิ คาเนชิโระ(Takeshi Kaneshiro)ไปแล้วงั้นสิ?” เย่หนิงโต้ตอบอย่างไม่เกรงใจ แทบไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด
“เย่หนิง พอสักทีเถอะ” หลินเวยมี่ส่งสายตาห้ามปรามให้หล่อน
เย่หนิงถึงได้ยอมอ่อนข้อให้ จะพูดยังไงเขาก็เป็นสามีของเพื่อนสนิท ขืนหล่อนก๋ากั่นที่จะทะเลาะกับเดวิด แต่จะสร้างความลำบากใจให้กับหลินเวยมี่อยู่ดี
“เวยมี่ ฉันคิดว่าวันนี้เธอจะเข้าเวรกะดึก เลยคิดจะมาหาเสี่ยวหลงที่นี่ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกับเรื่องบาดตาที่นี่” เย่หนิงเอ่ยขึ้นมาด้วยความรู้สึกน้อยใจ
หลินเวยมี่ตบมือหล่อนเบาๆ ความหมายก็คือไม่เป็นไร จากนั้นก็ลากหล่อนเข้าห้องแทน
“เรื่องในวันนี้ถือว่าเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น ฉันก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะกลับมาด้วย” หลินเวยมี่ยักไหล่ขึ้น อธิบายไปตามความคิดของตนเอง
“เป็นผู้ชายที่ทุเรศคนหนึ่งก็ว่าได้ เวยมี่ ฉันแนะนำให้เธอเลิกกับเขาเถอะ” เย่หนิงดึงมือหล่อนเอาไว้พร้อมกับพูดให้คำแนะนำ
หลินเวยมี่ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกเคร่งเครียด พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นมาว่า “เย่หนิง ฉันจะทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถทำได้”
“ฉู่เฉินซีกลับมาหาเธอใช่ไหม?” เย่หนิงขมวดคิ้วถามขึ้นมาทันที
หล่อนถอนหายใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด “ทำยังไงดี?”
“งั้นต้องถามหัวใจของเธอแล้วแหละ ในใจเธอยังมีฉู่เฉินซีอยู่ไหม?” เย่หนิงชี้มาที่ตำแหน่งหัวใจของหล่อน
หัวใจของหล่อนเต้นรุนแรง แล้วรีบส่ายหน้าไปมา ไม่พูดก็ต้องพูดออกมา ตอนบ่ายตอนที่ฉู่เฉินซีจูบหล่อนนั้น หล่อนกลับมีความรู้สึกตอบสนองกลับ
มุมปากคลี่ยิ้ม ไม่ว่าจะยังไงก็ตามหล่อนไม่กล้าย่างกายเข้าสู่วังวนนั้นอีกแล้ว เพราะว่าหล่อนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองจะมีแรงปีนป่ายออกมาจากวังวนนั้นหรือป่าว
ความเจ็บปวดในครั้งนั้นมันเจ็บพอแล้ว หากยังคงดื้อดึงไว้อยู่ คงไม่ยาอันใดสามารถรักษาหล่อนให้หายขาดได้