บทที่ 201 ผู้ชายเห็นแก่ตัว
มนต์เสน่ห์ยามค่ำคืน ดวงเดือนครึ่งเสี้ยวส่องแสงไม่เต็มดวง แสดงนวลผ่องตกกระทบกับผ้าม่านทะลุเข้ามาในห้อง
ฉู่เฉินซียืนอยู่ด้านข้างเตียงนอนอย่างเงียบเชียบ สายตาดำมืดไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
อยู่ดีๆ ก็มีเสียงประตูดังขึ้นมา กลับมีแสงสะท้อนสาดส่องเข้ามาในห้อง เรือนร่างงามระหงเดินย่างกายเข้ามา สร้างบรรยากาศที่แสนว้าเหว่ให้กลับมีอบอุ่นอีกครั้ง
ฉู่เฉินซีหรี่ตามองหญิงสาวที่เดินเข้าใกล้เขาเข้ามาทุกที สายตากลับสื่อความหมายเยาะเย้ยขึ้นมาเล็กน้อย
หญิงสาวเดินเท้าเปล่า เท้าขาวเปล่าเปลือยยามกระทบกับแสงยิ่งทำให้เรือนร่างน่าหลงใหล กระโปรงที่แนบเนื้อกับเรือนร่าง ทุกย่างก้าวยิ่งชวนให้น่าหลงใหลเป็นพิเศษ
หญิงสาวเขยิบเข้าหาร่างกายของเขา กายเคลื่อนไหวดูงดงาม ร่างกายทุกสัดส่วนต่างอยู่ในอ้อมอกของเอา
ใบหน้างดงามแต่แต่งหน้าจัด เริ่มสนใจบริเวณลำคอของเขา ดวงตาเรียวยาว
เรียวมือน้อยๆค่อยๆลูบไล้บนตัวเขา สัมผัสแผ่วเบา
ฉู่เฉินซีหลับตาอยู่ตลอดเวลา สีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าไม่มีความรู้สึกว่าในอ้อมกอดมีผู้หญิงอยู่ในนั้น
กลิ่นน้ำหอมที่ปะปรุงบนเรือนกายของหญิงสาวอ่อนละมุน มือเรียวเล็กกำลังลูบไล้บริเวณลำคอ แต่กลับมีเสียงทุ้มแหบดังขึ้นมาแทน
“มีปัญญาทำได้แค่นี้หรอ?”
หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดถึงกลับสั่นสะท้าน แต่ก็ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“คุณขา…” น้ำเสียงออดอ้อน ทำเสียงราวกับถูกกล่าวหาอยู่
ฉู่เฉินซีค่อยๆลืมตา สายตาดั่งพญาเหยี่ยวจ้องมองใบหน้าของผู้หญิงเอาไว้
หญิงสาวตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ จนสั่นขึ้นมาทันที
มุมปากของฉู่เฉินซีแสยะยิ้มขึ้นมา พร้อมทั้งใช้แรงผลักออก แค่ผลักทีเดียวหญิงสาวก็หล่นลงมาทันที
เสียงร้องบ่นกระปอดกระแปดดังขึ้น หญิงสาวถูกเขาผลักจนร่วงลงพื้นใบหน้าเรียวเล็กเริ่มแสดงอาการสับสนออกมา
“ท่านประธานของพวกเธอเชิญคนไร้ค่าแบบนี้อย่างเธอเนี่ยนะหรอ?”
หญิงสาวที่ร่วงหล่นนั่งกองอยู่กับพื้นได้ยินคำพูดถากถางจากเขา ใบหน้าเรียวเล็กถึงกลับเปลี่ยนสีหน้าไปทันที เปลี่ยนจนสภาพดูไม่ได้
สายตาที่สื่อออกมาของฉู่เฉินซีดำมืดไม่สามารถแสดงสิ่งใดได้
“ไสหัวไปซะ!” เสียงพญาเยี่ยวดำทะมึนตะคอกเสียงใส่
หญิงสาวตกใจจนหน้าเสีย แล้วรีบลุกจากพื้นห้องแล้ววิ่งออกไปจากห้องทันที
“เดี๋ยว! เรียกหัวหน้าพวกเธอขึ้นมา”
หญิงสาวที่ตกใจจนสิ้นสติถึงกลับหยุดเท้าทันที ยิ่งได้ยินเสียงคำพูดของเขาที่เพิ่งพูดจบหล่อนยิ่งแสดงสีหน้าดูไม่ได้ออกมาแทน “คืนนี้หัวหน้าไม่ได้เข้าเวร”
“มันเป็นเรื่องของพวกเธอ!”
หญิงสาวทำหน้ากล้ำกลืนฝืนทน แล้วรีบวิ่งออกจากห้องทันที
“ท่านประธาน….”
ท่านประธานจ้องมองหญิงสาวที่เดินเข้าห้องทำงานของเขาอย่างประหลาดใจ เลยรีบถามทันที “ทำไมเร็วจัง?เสร็จไวขนาดนี้เลยหรอ? ”
หญิงสาวยิ่งทำหน้าดูไม่ได้เข้าไปใหญ่ ทั้งรีบมุดหน้าหนี “ไม่ใช่แบบนั้น”
“แล้วมันยังไง?”
“เขาต้องการที่จะเจอกับหัวหน้า”
ดวงตาของท่านประกายส่องประกายขึ้นมาทันที สีหน้าดูเปรมปรี แล้วรีบโบกมือไล่แทน “เธอออกไปได้แล้ว”
หลินเวยมี่ถูกผู้จัดการเรียกตัวมากลางดึก บอกว่ามีเรื่องเร่งด่วน เธอเดาถูกว่าต้องเป็นเรื่องฉู่เฉินซี แต่ว่าตนเองเป็นแค่ลูกน้อง ต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น
“ผู้จัดการ เรื่องนี้ฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้นมาอีก มันสามครั้งแล้วนะ!” หลินเวยมี่พูดหน้าตาย ไม่รู้ว่าฉู่เฉินซีจะเอายังไง หรือว่าเมื่อตอนบ่ายที่หล่อนพูดออกมาเขายังไม่เข้าใจอีก?
ตอนนี้ก็ดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้ว เธอไม่อยากถูกฉู่เฉินซีทรมานอยู่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว จากนั้นเธอก็เดินไปที่ห้องพัก 301 แล้วก็กดกริ่งหน้าห้องพัก
ประตูถูกเปิดออก ฉู่เฉินซีใช้สายตาที่ไม่สามารถคาดเดาได้จ้องมองหล่อน มุมปากกลับยิ้มอย่างดูถูกดูแคลน
“นี่คุณทำบ้าอะไร?” หลินเวยมี่ถามอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
ฉู่เฉินซีราวกับไม่เห็นสีหน้าของหล่อนที่กำลังโมโหจนหน้าดำหน้าแดง เขาฉุดกระชากข้อมือของหล่อนแล้วลากเข้าห้องพัก พร้อมทั้งปิดประตูดังลั่น
“ตอนบ่ายฉันก็พูดออกมาแล้วนี่ทั้งหมดนั่นคุณยังไม่เข้าใจอีกหรอ? ตัวคุณสร้างผลกระทบให้กับชีวิตของฉันมาก!” หลินเวยมี่พูดอย่างบ้าดีเดือด
ส่วนฉู่เฉินซีเทเหล้าใส่แก้วอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ แล้วยื่นให้เธอ
หลินเวยมี่เองก็กระหายน้ำจริงๆ แล้วรับแก้วเหล้านั่นดื่มเข้าไป
“คอแข็งขึ้นนะ” เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อย พร้อมนั่งลงบนเก้าอี้
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ คุณต้องการอะไรกันแน่? พูดออกมา อย่าทำให้ฉันเสียเวลาอีกเลย” หลินเวยมี่พูดด้วยเสียงเคร่งขรึม น้ำเสรียงหงุดหงิดและเบื่อหน่าย
เธอไม่อย่างจะเข้าไปข้องแวะกับฉู่เฉินซีเลยสักนิด แต่ว่าเขาที่เป็นอยู่ในตอนนี้นั้นสร้างผลกระทบให้ชีวิตของเธอเป็นอย่างยิ่ง จนชีวิตความเป็นอยู่ของเธอเองวุ่นวายตีกันอลหม่านไปหมด
“โรงแรมของพวกเธอจัดผู้หญิงให้ฉันหนึ่งคน” เขาเริ่มบรรยายออกมา หัวคิ้วขมวดแน่นพร้อมสายตากระหยิ่มยิ้มย่องมองมาทางหล่อน
ใบหน้าของหลินเวยมี่เองกลับไร้ซึ่งอารมณ์ “งั้นมันไม่ดีหรอกหรอ? จะได้ประหยัดเวลาที่คุณฉู่จะนานตาค้างทั้งคืนไงคะ”
“แต่ฉันรู้สึกว่า เธอเหมาะมากกว่า เพราะฉันเคยคุ้นเคยกับเธอมากกว่า” เขาใช้มือกระหวัด หล่อนเข้าสู่อ้อมอก แล้วให้หล่อนนั่งอยู่บ่นต้นขาของเขา
ใบหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนไปทันที พร้อมทั้งใช้แรงที่มีอยู่ผลักไสไล่ส่งอยู่หลายครั้ง
“ฉู่เฉินซี ให้เกียรติตนเองบ้างก็ดีนะ” เธอพูดอย่างเคร่งเครียด น้ำเสียงแสดงออกถึงอารมณ์รังเกียจที่ชัดเจน
จนใบหน้าของฉู่เฉินซีเปลี่ยนไปทันที ยิ่งใช้มือเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“หืม? ไม่ได้เจอกันมาห้าปี ไม่คิดถึงฉันบ้างหรอ?” เขากระซิบข้างหูหล่อนอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงสื่อความหมายอย่างชัดเจน
“ปล่อยฉันนะ!” หล่อนพูดเสียงแข็ง แล้วพยายามใช้ท่อนแขนตนเองกระทุ้งตัวเขา
แต่ว่าเขาราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดบ้างเลย น้ำหนักแรงที่ลงในมือนั้นกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย
กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง เขาเริ่มขบเม้มติ่งหูเธอเบาๆ จากนั้นก็เลื่อนลงอ้อยอิ่งอยู่บริเวณลำคอขาวนวลผ่อง
“เวยมี่ รังเกียจฉันจริงๆหรอ?”
“ใช่ ไม่ใช่แค่ฉันรังเกียจนะ ฉันยังเกลียดคุณมาก! คุณมันสารเลว ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” หลินเวยมี่ขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียดพร้อมทั้งสบถด่าไปด้วย คืนนี้หล่อนไม่ควรจะเอาตัวเองมาอยู่ที่นี่
“เกลียดฉัน? ทำไมล่ะ?”
หลินเวยมี่พยายามใช้แรงที่มีลุกขึ้นยืน แต่ก็ไม่สามารถสะบัดมือของเขาให้ออกไปได้ แขนของเขาราวกับขนาบอยู่กับตัวเธอเช่นนั้น
“แกมันคนสารเลว ฉันพูดกับคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าเราต่างไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกันอีกแล้ว? แล้วทำไมยังมายุ่งวุ่นวายกับฉันอยู่ได้?” หลินเวยมี่ตะโกนด่าเขาดังลั่น
จนใบหน้าของฉู่เฉินซีชาอยู่สักพัก น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชาดังเดิม “ไม่เป็นไร? หลินเวยมี่ เธอเป็นผู้หญิงเลือดเย็นอยู่แล้วนี่ ฉันเป็นอะไรสำหรับเธอ? ไม่ได้เป็นอะไรเลยใช่ไหม? ไม่งั้นเธอคงไม่เอาตัวเข้าแลกแล้วไปแต่งงานกับคนอื่นหรอก?”
“ความคิดของคุณไม่สามารถนำมาตัดสินได้ ในใจฉันคุณไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น!” หลินเวยมี่ตะโกนใส่หน้าเขา เพื่อวางแผนต้องการจะหลุดจากเขา
ฉู่เฉินซีหัวเราะขึ้นมา พร้อมกลับปล่อยมือ เธอรีบวิ่งหนีออกไปอย่างกระหืดกระหอบ วิ่งไปทางประตู
เพิ่งจะเปิดประตูได้ ร่างกายของเธอชนเข้ากับประตูจนมันถูกปิดลง ประตูกลับปิดสนิทลงอีกครั้ง
ฉู่เฉินซีตรึงเธอไว้ที่บานประตู พร้อมทั้งตรึงมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะของเธอเอง
“หลินเวยมี่ ฉันจะต้องลงโทษเธอให้หลาบจำ”เขาเพ่งเสียงออกมา น้ำเสียงดูเย็นยะเยือก
นัยน์ตาของหลินเวยมี่เริ่มเกิดอาการหวาดหวั่น น้ำเสียงที่แหกปากตะโกนเมื่อครู่เริ่มแหบพร่า “ฉู่เฉินซี นี่ยังเล่นไม่เลิกใช่ไหม? ตอนนั้นเราก็ตกลงกันดีแล้วนี่ ต่อไปถ้าเจอหน้ากันก็ขอให้เป็นคนที่ไม่รู้จักกัน แล้วนี่คุณเป็นอะไรไป? ทนไม่ได้หรอกที่ฉันไม่สนใจในตัวคุณ? เราเป็นแค่คนแปลกหน้า! คำว่าคนแปลกหน้านี่เข้าใจไหม?”
ทุกประโยคคำพูดของเธอ ทุกคำต่างเฉาะเฉือนลงบนหัวใจของเขา ความรู้สึกเจ็บปวดเริ่มก่อนตัวขึ้นในหัวใจอีกครั้ง เขาอยากจะลืมความรู้สึกนี้เสียจริง
“ฉันเคยพูด ว่าฉันจะให้เธอจำฉันได้ไปตลอดทั้งชีวิต จำจนวันตาย ลืมไปแล้วหรือไง?”
“คุณนี่มันจิตวิปลาสไปแล้ว ฉันจะแจ้งความคุณ!” หลินเวยมี่ตะโกนด่าอย่างตกใจ น้ำตาไหลพรั่งพรูอายแก้ม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อย แต่ดวงตากลับไร้ซึ่งความรู้สึก
หลินเวยมี่นิ่งอยู่สักพัก พร้อมทั้งรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ฉู่เฉินซี ปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยฉันไป”
น้ำเสียงของหล่อนแทรกความรู้สึกขอร้องอยู่นัยๆ ใบหน้าเรียวเล็กหวาดกลัวอย่างชัดเจน
เขาถามกลับด้วบน้ำเสียงทุ้ม “ยังพูดว่าเป็นคนแปลกหน้าอีกไหม?”
“คุณต้องการอะไร? ทำไมถึงไม่ปล่อยฉันไปสักที?”
เธอตัวสั่นสะท้าน น้ำเสียงสะอึกสะอื้น
“ฉันต้องการลงโทษเธอ หลินเวยมี่” ความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจของเขาเริ่มปะทุขึ้นมาเรื่อยๆ เขาไม่สามารถหยุดคิดได้เลยว่าทุกอณูบนร่างกายของหลินเวยมี่กลับถูกชายคนอื่นสัมผัสจนทั่ว
เพราะว่าหลินเวยมี่เป็นของเขา เธอไม่ควรจะทำตัวไม่แยแสกับเขา และยิ่งไม่สมควรที่จะลืมเรื่องราวระหว่างเขาทั้งสองคนไปจนหมดสิ้น
เขารับไม่ได้กลับความคิดที่ว่าของของเขากลับถูกผู้ชายคนอื่นแย่งไป แต่มันหยุดคิดจินตนาการไม่ได้เลย
ความรู้สึกอิจฉาพรั่งพรูกับความรู้สึกของเขาอยู่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนทำให้สติที่ไม่อยู่กับล่องกับลอยอยู่แล้วได้ความคิดที่ชัดเจนเป็นอย่างมาก นั่นก็คือการลงโทษผู้หญิงคนนี้
ไม่มีความรู้สึก มีแค่เพียงความต้องการที่จะลงโทษเธอเท่านั้นเอง ลงโทษที่เธอมาทำเย็นชาใส่เขา
“ตลกแล้ว คุณใช้สิทธิ์อะไรมาลงโทษฉันกัน? คุณเป็นอะไรกับฉันงั้นหรอ? ความสัมพันธ์แค่ปลายนิ้วก้อยยังแทบไม่มีเลย!” หลินเวยมี่ตัดสินใจตะโกนใส่เขาอีกรอบ จนเบ้าตาร้องไห้จนตาบวมจนกลายเป็นสีแดง
เขาพลิกหล่อนให้กลับมาอีกทาง เพื่อเผชิญหน้ากับดวงตาเหยี่ยวดำทะมึนนั่น
นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธ ที่เอาแต่จ้องมองหล่อน นัยน์ตานั้นมีแต่ความโกรธแต่กลับไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
หลินเวยมี่ตะลึงอยู่สักพัก จากนั้นก็แสยะยิ้มอย่างดูถูกทันที “ฉู่เฉินซี ปล่อยวางเถอะ มันดีสำหรับฉันและคุณเอง”
คำพูดของเธอทิ่มทะลุเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา ความโกรธนัยน์ดวงตายิ่งทวีคูณหนักกว่าเก่า จากนั้นก็บดจูบบริเวณริมฝีปากของเธอทันที
รู้สึกว่ารสชาติของเธอหวานฉ่ำ ลมหายใจเข้าออกของเธอ ดูคุ้นเคย แล้วเธอใช่สิทธิ์อะไรมาบอกว่าทั้งสองคนเป็นแค่คนแปลกหน้ากัน?
ราวกับทำยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แถมคืนนี้ยังดื่มหนักมาก ทั้งๆที่รู้ตัวว่าตัวเองยังไหวอยู่ แต่พอเจอกับผู้หญิงคนนี้เข้า เขากลับเขาจริงๆ เมาหัวทิ่มหัวตำ
เขาเริ่มระบายความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจ
หลินเวยมี่ถูกเขากกกอดอยู่ในอ้อมกอดของเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนใดๆได้เลย แต่สติกลับถูกทรมานจากอาการร้อนผ่าวจากการจูบ
เธอรู้ตัว เป็นเพราะตนเองทำหมางเมินใส่เขา เขาถึงได้เกิดความรู้สึกย่ำแย่ เพราะฉะนั้นเลยต้องกลับไปกระตุ้นความรู้สึกที่อยากจะเอาชนะของเขาขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อให้ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของเขาเริ่มรู้สึกย่ำแย่
หรือว่าเธอควนจะเก็บความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านี้ไปตลอดทั้งชีวิต? ไม่สามารถไปสร้างครอบครัวที่มีความสุขได้เลยหรอ? เขามีสิทธิ์อะไรที่เห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้?
ทั้งๆที่เขารู้เรื่องหมดทุกอย่างแล้ว แล้วใช่สิทธิ์ข้อไหนทำไมถึงให้ปล่อยให้เธอมีความสุขบ้าง? ผู้ชายที่เห็นแก่ตัวคนนี้