บทที่ 212 จบกัน?อย่าแม้แต่จะคิด
เรื่องราวทั้งหมดราวกับจางหายไปตั้งแต่คืนนั้น ครึ่งเดือนผ่านไป โลกของเธอไม่มีผู้ชายที่ชื่อว่าฉู่เฉินซีปรากฏตัวออกมาอีกเลย
เธอเช็ดโต๊ะน้ำชาอย่างใจลอย ราวกับโดนพรากความมีชีวิตชีวาไปหมด ไม่พูดไม่จา
ดังนั้น แม้แต่เสียงเปิดประตูก็ไม่ได้ยิน
“เวยมี่”เดวิดถอดเสื้อคลุมไว้อีกด้าน แล้วตะโกนเรียกชื่อเธอ
หลินเวยมี่ไม่ตอบกลับ ยังคมจมอยู่ในโลกของตัวเอง เช็ดโต๊ะน้ำชาอยู่เงียบๆ
เดวิดขมวดคิ้วไปมา แล้วเดินไปตบไหล่เธอเบาๆ หลินเวยมี่จึงได้สติ มองผู้ชายตรงหน้าอย่างประหลาดใจ“มีอะไรเหรอ?”
“เมื่อกี้ฉันพูดกับเธอ เธอไม่ได้ยินเหรอ”สายตาของเดวิดเต็มไปด้วยความห่วงใย แล้วนั่งไปอีกด้านอย่างไม่ใส่ใจอะไร“เดี๋ยวเตรียมตัวให้พร้อมนะ ไปตีกอล์ฟกัน”
หลินเวยมี่ไม่ได้สนใจ แต่ก็เชื่อฟังแล้วไปเปลี่ยนเป็นชุดลำลองสีชมพู เดินข้างๆเดวิด จนมาถึงสนามกอล์ฟ
เดวิดใส่ชุดลำลองสีฟ้า เมื่อนั่งด้วยกันกับเธอก็ราวกับใส่ชุดคู่กันมา
แต่ท่าทางของทั้งคู่คนนึงก็เย็นชา อีกคนก็ไม่สนใจอะไร มันดูเด่นไปหน่อย ไม่มีความอบอุ่นหวานชื่น
ไม่ไกลนัก มีคนใส่หมวกเบสบอล1คน ผู้ชายที่ใส่ชุดลำลองสีขาวนั่นดึงดูดสายตาของเธอ ร่างกายสูงและกำยำ มันคุ้นเคยมาก
หลินเวยมี่กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว สายตาจ้องมองไปยังคนๆนั้น เวลาผ่านไปนานราวนับศตวรรษ ใจราวกับถูกบีบไว้แน่น ทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
ฉู่เฉินซี?เขาไม่เป็นไรแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้กลับไป
ผู้หญิงมัดผมหางม้าเดินมาหาเขา ส่งน้ำให้ไป1ขวด เขาเปิดฝาแล้วกระดกเข้าไป แล้วหันมามองพวกเขา
เดวิดดึงมือเธอ แล้วรีบเดินไป
“เฉิน นอนโรงพยาบาลมาตั้งอาทิตย์กว่าๆ เพิ่งฟื้นก็มาที่นี่?คิดว่าตัวเองเป็นคนเหล็กรึไง?”เดวิดพูดพลางตบไหล่เขาเบาๆ
ฉู่เฉินซียิ้มบางๆ หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ สีหน้ายิ่งซีดเซียวลง ซีดอย่างผิดธรรมชาติ
“นอนมานานแน่นอนว่าต้องเบื่อ”
หลินเวยมี่ไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปได้ยังไง รู้แค่ว่าใจนั้นเต้นไม่หยุด ควบคุมไม่อยู่
“แล้วแขนคุณเป็นไงบ้าง?”เดวิดมองไปที่แขนขวาของเขา
ฉู่เฉินซียกแขนขึ้นอย่างไม่อะไร“ไม่เป็นไรมาก”
“ดีแล้ว ผมว่าคุณไปพักสักหน่อยเถอะ เหงื่ออกเยอะขนาดนี้”ฐาลี่หยิบทิชชู่ออกมา ยืนไปตรงหน้าเขาแล้วเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก
ภาพความคลุมเครือปรากฏขึ้น แต่ทั้งคู่กลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกปกติมากๆ
ทว่าหลินเวยมี่ เป็นคนที่พวกเขาลืมไป เธอเดินตามหลังเดวิดอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา แต่สายตายังคงมองไปยังฉู่เฉินซี
แค่เขาไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เธอคิดเช่นนั้น สายตาเธอไปสบกับสายตาเขาเข้า แค่แวบเดียวก็หลบไป ราวกับไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน
หลินเวยมี่หายใจไม่ทั่วท้อง ความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้าแบบนี้ ราวกับพวกเขาไม่เคยรู้จักกัน
เดิมทีเธอเองไม่ใช่ต้องการแบบนี้หรอกเหรอ?ตอนนี้ฉู่เฉินซีไม่มาก่อกวนเธอแล้ว เธอควรดีใจสิถึงจะถูก แต่ทำไมในใจถึงรู้สึกหดหู่?
“เวยมี่ เธอเล่นไม่เป็นหนิใช่ไหม?มา ฉันสอนเธอเอง”เดวิดพูดพลางยิ้มยก
หลินเวยมี่นิ่งไป ราวกับไม่ได้คิดอะไร แล้วก็เดินไป
เดวิดพาเธอมาไว้ในอ้อมแขน จับมือที่เธอถือแก้วอยู่ แล้วพึมพำเบาๆ“อืม ต้องออกแรงให้พอดี ฉันตีพร้อมเธอไปก่อน จากนั้นค่อยให้เธอลองตีด้วยตัวเอง”
พูดจบเดวิดจับมือเธอแล้วตีลูกออกไป ลูกลอยออกไปไกล แต่ใจของเธอกลับไม่ได้อยู่ตรงนี้
“ฉันไม่ลองแล้ว ฉันไม่เก่ง ฉันดูคุณเล่นดีกว่า”หลินเวยมี่ยิ้มอย่างอึดอัด แล้วออกจากอ้อมแขนของเดวิดสายตาสบกับสายตาของฉู่เฉินซีพอดี
เขายิ้มเจื่อนๆมองเธอ สายตาของเขาเธอไม่เข้าใจ
หลินเวยมี่รู้สึกไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าท่าทางแบบนี้ของเขาหมายความว่าอะไร เธอถอนหายใจ เธอยืนห่างจากเขา
ทันใดนั้นขวดน้ำก็มาอยู่ตรงหน้าเธอ เธอชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วมองไปยังหน้าที่ไร้ความรู้สึกของฐาลี่
“ฐาลี่……”
“หืม?คุณหลิน?มีอะไรเหรอ?”ฐาลี่ยิ้มบางๆ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เขาไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?”หลินเวยมี่หลบสายตาจากเธอแล้วมองไปยังฉู่เฉินซี สายตาเต็มไปด้วยความกังวล
“เขาเป็นยังไงเธอก็ไม่ควรจะยุ่ง ยุ่งแต่เรื่องของตัวเองก็พอ”ฐาลี่พูดอย่างโมโห สายตาตักเตือน
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรมาก เลยนั่งอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ฉู่เฉินซีไม่มองเธอแม้แต่น้อย ดูเหมือนเธอจะโดนทิ้งไว้ตรงนี้ ไม่มีใครพูดกับเธอซักคำ
แต่สายตาของเธอกลับจ้องมองแต่ฉู่เฉินซี เขายิ้มอย่างสดใส จับมือฐาลี่เพื่อสอนเธอ และภาพที่ปล่อยให้ฐาลี่จูบ
เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้สึกเจ็บปวด กอดตัวเองแน่น ก้มหน้ามองระหว่างเท้า
“ฮะแฮ่ม……”
เสียงกระแอมทำให้หลินเวยมี่ชะงักไป เธอรีบเงยหน้าขึ้นมา ก็เจอกับสายตาของฉู่เฉินซี
สายตาของเขาฉายความประหลาดใจมาแวบหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นนิ่งสนิท ไม่มีความรู้สึกอะไรออกมา
ห่างออกไป ไม่รู้ว่าเดวิดกับฐาลี่กำลังคุยอะไรกัน ท่าทางสนุกสนาน ไม่ทันสังเกตเห็นพวกเขา
“ฉันคิดว่าคุณไปแล้วซะอีก”
หลินเวยมี่พูดออกมา น้ำเสียงปกติ เหมือนกับว่ากำลังคุยกันเรื่องธรรมดาทั่วไป
ฉู่เฉินซีเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ ราวกับได้ยินเรื่องที่น่าขันที่สุด
“ทำไมฉันต้องไปด้วยล่ะ?”
หลินเวยมี่ได้ยินที่เขาพูดก็ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นไปโกรธมาจากไหน คำถามง่ายๆแค่นี้ก็ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความโกรธของฉู่เฉินซี
“เธอคิดว่านี่มันจบแล้วงั้นเหรอ?งั้นเธอคิดผิดแล้วล่ะ นี่มันแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”ฉู่เฉินซีกำขวดในมือแน่นสีหน้าซีดเผือดผิดธรรมชาติ
เมื่อหลินเวยมี่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าไม่สู่ดีนัก แต่เมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของเขา ก็นึกถึงเรื่องที่เดวิดถามเขาเมื่อสักครู่ได้ แขนเขาบาดเจ็บ
“คุณเป็นไงบ้าง?”เธอมองไปยังแขนของเขา
“อย่าแกล้งทำเป็นเป็นห่วงฉัน มันตลก!”เขาพูดอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรังเกียจ
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าที่เขาพูดนั้นมันหมายถึงอะไร
คางโดนจับไว้ ฉู่เฉินซีจะยิ้มก็ไม่ยิ้มแล้วมองเธอ“ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะเชื่อท่าทางงุนงงแบบนี้ของเธอ แต่ตอนนี้ ฉันรู้สึกว่ามันน่าขำสิ้นดี”
หลินเวยมี่นิ่งอึ้งไป มองเขาด้วยใบหน้าขาวซีด“ฉู่เฉินซี ที่คุณพูดมันหมายความว่ายังไง?”
แววตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แล้วปล่อยมือที่บีบคางเธออยู่“เธอไม่รู้เหรอ?ทำไมวันนั้นเธอถึงไม่รับโทรศัพท์?”
“เฉิน เจ็บแขนอีกแล้วเหรอ?ฉันบอกแล้วว่าอย่าออกมา”ฐาลี่ถามด้วยความตื่นตระหนก พูดแทรกสิ่งที่พวกเขากำลังคุยกัน
“ไม่เป็นไร”ฉู่เฉินซีเม้มริมฝีปากเบาๆ แล้วมองเธอด้วยสายตาเย็นชาอีกรอบ
หลินเวยมี่มองทั้งคู่ที่เดินไกลออกไป ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความงุนงง เธอไม่รับสายอะไรกัน?หรือว่าฉู่เฉินซีจะโทรหาเธอ?
แต่ทำไมเขาถึงโกรธอะไรขนาดนั้น?หรือเขาจะโกรธที่เธอพูดว่าจบกันในวันนั้น?
เมื่อมาถึงร้านอาหารใกล้ๆ ทั้ง4คนก็จองห้องใหญ่ไว้1ห้อง หลินเวยมี่นั่งข้างเดวิดอย่างเงียบๆ มองคนที่อยู่ตรงข้ามเป็นระยะ แต่ก็ปิดบังความรู้สึกว่างเปล่าไม่ได้
ฐาลี่ถอดเสื้อคลุมเขาออกอย่างระมัดระวัง ฉู่เฉินซีสวมแค่เสื้อกล้ามสีขาว แขนข้างขวายังคงพันผ้าก๊อตไว้ หน้าอกเต็มไปด้วยรอยแผล ถึงจะเป็นแค่แผลเล็กๆ แต่ก็ยังทำให้ตกใจได้เล็กน้อย
หลินเวยมี่มองรอยแผลของเขาด้วยความตะลึง สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“รอยแผลบนตัวฉันทำให้คุณหลินตกใจงั้นเหรอ?”ฉู่เฉินซีพูดออกมาอย่างหยอกล้อ ทุกคนจึงต่างมองไปยังหลินเวยมี่
หลินเวยมี่มองบาดแผลอย่างงุนงง แล้วพูดขึ้น“มันเจ็บมากใช่ไหม?”
น้ำเสียงเธอแฝงไปด้วยความสั่นเครือ สามารถเห็นได้ถึงน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่เนืองๆ
ฉู่เฉินซีมองเธออย่างเงียบด้วยสีหน้าสมเพช อดไม่ได้ที่จะอยากกดร่างเธอลงไป แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดเท่านั้น เขาก้มลงไปแล้วหยิบเบียร์ที่อยู่ในมือกระดกเข้าไป เขาจะลืมความใจร้ายของผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไรกัน?
โดนเธอทำให้ชามาตลอด อันที่จริงเธอเป็นผู้หญิงที่ใจอำมหิตที่สุด
วันที่เกิดอุบัติเหตุุวันนั้น สิ่งที่เขานึกได้เป็นอย่างแรกคือโทรหาเธอ เขาพยายามอย่างมากเพื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาเธอ แต่เธอกลับตัดสายไปครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ปิดเครื่องไป
ความรู้สึกสิ้นหวังนั้น จนตอนนี้เขายังคงจำได้ ผู้หญิงตรงหน้าเขาคนนี้ไม่มีหัวใจ แม้กระทั่งเลือดของเธอยังเย็นชา
ที่บอกว่าจบกันนั้น จะจบตามที่ต้องการได้งั้นเหรอ?ถ้าเขาไม่อนุญาต จะเป็นไปได้ยังไง?
เขายิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย จบกัน?อย่าแม้แต่จะคิดเลย!เขาอยากก่อกวนเธอ กวนจนทำให้เหนื่อยทั้งกายและใจ ให้ใจอันอำมหิตของเธอนั้นชดใช้
ฐาลี่กระแอมออกมา แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง“เจ็บ?ยิ่งกว่าตายซะอีก ฉันคิดว่าทำไมคุณหลินเวยมี่ถึงไม่รู้ความรู้สึกเจ็บปวดของเขาต้องนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์กันนะ?”
ฐาลี่ไม่ได้หมายความอะไรมากไปกว่าการตำหนิเธอที่ไม่รู้ถึงช่วงเวลาที่ตื่นตระหนกที่สุดของฉู่เฉินซี 1อาทิตย์ มันน่ากลัวมากๆ เขาต้องอยู่ในอาการโคม่าตั้ง1อาทิตย์
ทันใดนั้นเธอก็โดนจับมือจากมือที่มองไม่เห็น บีบมือแน่นแล้วแน่นอีก
“ดีที่ผมสบายดีมาตลอด ไม่งั้นเวยมี่จะทนต่อความตื่นตระหนกได้อย่างไร”เดวิดยิ้มพลางพูดแก้ต่างแทนเธอ
หลินเวยมี่สูดหายใจเข้าลึกๆ เธอรู้สึกไม่ดีเอามากๆ เธอไม่สามารถคิดถึงสิ่งที่ฉู่เฉินซีต้องเจอมาทั้งหมดได้เลย แล้วก็คิดไม่ออกว่าถ้าบนโลกใบนี้ไม่มีฉู่เฉินซี เธอจะเป็นยังไง
ฉู่เฉินซียิ้มออกมาบางๆ สีหน้าสบายๆ มองเธอด้วยสายตาราวกับหมาป่า แล้วก็รีบละสายตาไป กำแก้วในมือแน่น
จู่ๆก็มีมือข้างหนึ่งมากุมหลังมือของเขา เขาหรี่ตามองฐาลี่ที่อยู่ข้างๆ สายตายากจะคาดเดา ดูไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน