บทที่ 215 ความหลงใหล
ในค่ำคืนที่เงียบสงบ โคมไฟตรงท้องถนนส่องสว่าง บนตรอกซอยเล็กๆ รถคันดำจอดเอาไว้ ทันใดนั้นเอง แสงไฟสีส้มก็สว่างขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นแสงไฟสีส้มจุดเล็ก
ในมือของฉู่เฉินซีถือบุหรี่เอาไว้ ยื่นแขนออกไปนอกหน้าต่าง แววตาคู่นั้นมองไปยังห้องพักที่อยู่ไม่ไกล มองดูแสงไฟในห้องนั้นแล้วครุ่นคิด
นานครู่หนึ่ง ไฟตรงระเบียงห้องเปิดสว่าง เงาสีดำของคนๆหนึ่งเดินออกมา มองมาที่เขา จากนั้นหันหลังกลับแล้วปิดม่าน
ฉู่เฉินซีสูบบุหรี่แล้วครุ่นคิด ข้างๆรถยนต์มีก้นบุหรี่อยู่กว่าสิบมวล
เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขานั้นไม่ดีเอามากๆ คิ้วขมวดเป็นปมไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คิ้วของเขาผ่อนคลายลงมา หยิบโทรศัพท์ออกมาดูช้าๆ มองดูชื่อตรงหน้าจอโทรศัพท์ มุมปากของเขายกขึ้น
“ทำไมยังไม่ไปอีกคะ?” ปลายสายเอ่ยถามเสียงเบา น้ำเสียงนั้นเคล้าด้วยความเป็นห่วง “กลับไปพักเถอะค่ะ แผลของคุณยังไม่หายดี”
ฉู่เฉินซีเงยหน้า มองขึ้นไปตรงระเบียงห้อง ถึงแม้ว่าม่านนั้นจะปิดแล้ว แต่เขากลับรู้ว่าหลินเวยมี่ต้องซ่อนตัวอยู่ด้านหลังแน่ๆ
“ผมรู้สึกว้าวุ่นใจ”
เขาพูดไปตามความจริง ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะให้หลินเวยมี่กลับมาอยู่ข้างกายเขา เขาทนไม่ได้กับการที่ผู้หญิงของตัวเองต้องไปอยู่ข้างกายผู้ชายคนอื่น สำหรับเขาสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันคือการทรมาน
ปลายสายมีเสียงหายใจดังขึ้น แต่นานครู่หนึ่งก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบ
“ไม่สบายใจเรื่องอะไรคะ?” หลินเวยมี่พิงอยู่ตรงผนังห้องด้านหลังม่าน จากนั้นเอ่ยถามเสียงเบา เธอมองไปยังแสงสีส้มผ่านช่องว่างเล็กๆ
“คุณไม่รู้หรอ?” ฉู่เฉินซีสูดลมหายใจอีกครั้ง เขาเปิดประตูรถแล้วเดินลงมา
ร่างสูงยืนอยู่ข้างรถยนต์ เงยหน้าขึ้นมองมาตรงระเบียง เหมือนกับว่ากำลังมองมาที่เธอ
หัวใจของหลินเวยมี่เต้นแรงในทันที เหมือนกวางที่วิ่งไปมา “เขาไม่อยู่บ้าน”
“ปกติก็ไม่ค่อยกลับมา” ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหลินเวยมี่ก็พูดอธฺบาย
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากปลายสาย เธอมองไปยังคนที่อยู่ด้านนอก เห็นเพียงร่างสูงใหญ่
“คุณกำลังเชิญผมขึ้นไปหรอ?”
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้า สีหน้าของเธอแปรเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีนัก
“เปลาค่ะ คุณกลับไปเถอะ แค่นี้นะคะ”
พูดจบเธอก็ตัดสายอย่างไม่ลังเล หันหลังมองไปยังเสี่ยวหลงที่นอนหลับสนิท แววตาคู่นั้นมีประกายความลังเลขึ้นมาครู่หนึ่ง
ฉู่เฉินซีอารมณ์ดีขึ้นมา เขาขึ้นไปบนรถอีกครั้ง จากนั้นสตาร์ทรถแล้วขับออกไปด้วยความรวดเร็ว
เมื่อกลับไปถึงบ้านตระกูลฉู่ เขาทิ้งเสื้อกันหนาวเอาไว้ที่หนึ่ง เผยให้เห็นแผ่นหลังกร้ามแน่นขาวเนียน มองเห็นแผลที่อยู่บนร่างกาย
“เฉิน……” มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงบันได ฐาลี่ใส่ชุดนอนเอาไว้ ในมือของเธอมีแก้วน้ำ แววตานั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เธอจ้องมองมาที่ฉู่เฉินซี
ฉู่เฉินซีหันไปมองดูเธออย่างเงียบๆ จากนั้นก็พูดขึ้น “มีอะไรรึเปล่า?”
“ดึกขนาดนี้แล้ว คุณไปไหนมาคะ?” ฐาลี่เม้มกัดฟันแน่น แววตาของเธอเคล้าไปด้วยความสับสน แต่กลับไม่กล้าเอ่ยถาม
“ห้าปีที่แล้วคุณทำได้ดีมาก แต่หลายปีมานี้คุณยิ่งอยู่ก็ยิ่งแย่ลงนะ” ฉู่เฉินซีหัวเราะออกมา แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา “สมแล้วที่เป็นพี่น้องของElis ตอนแรกผมคิดว่าคุณจะเก่งกว่าเธอเสียอีก”
ฐาลี่เม้มปากแน่น แววตาของเธอแฝงความเป็นกังวล “เฉิน ฉันไม่ใช่เด็กสาวอีกแล้ว”
“เริ่มร้อนใจขึ้นมาหรอ? ป่ายห้าวยังรอคุณอยู่ไม่ใช่หรอ?” ฉู่เฉินซีพูดขึ้น น้ำเสียงนั้นยุแหย่ เหมือนกำลังพูดเล่น
แต่ฐาลี่กลับรู้ดีว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น เขาตัดสินใจที่จะทิ้งเธอแล้วจริงๆ
“คุณจะเลิกกับฉันหรอคะ?”
“ผมให้อะไรกับคุณไม่ได้ ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่อยากแต่งงานในเร็วๆวัน อีกทั้งคนในครอบครัวของคุณเองก็คงไม่มีภาพจำดีๆในตัวผมด้วย” ฉู่เฉินซียักไหล่ เดินไปยังตู้กดน้ำแล้วกดน้ำหนึ่งแก้ว
ฐาลี่คิดไม่ถึงจริงๆว่าฉู่เฉินซีจะเด็ดขาดกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาขนาดนี้ พวกเขาอยู่ด้วยกันมาสิบปี มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดความสัมพันธ์กัน วัยสาวสิบปีของเธอจะต้องสูญเปล่าแบบนี้ไปจริงๆหรอ?
“พวกเราอยู่ด้วยกันมาสิบปีแล้วนะคะ !คุณไม่แคร์ฉันบ้างหรือไง?”
“สิบปี เป็นเวลาที่ยาวนานจริงๆ ดังนั้นคุณอย่ามาเสียเวลากับผมอีก” ฉู่เฉินซีกระตุกยิ้มมุมปาก เขารู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเขาต้องการ แม้ว่าจะยากหรือลำบากแค่ไหน เขาก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
เพราะหัวใจของเขามีหลินเวยมี่แล้ว เขาไม่สามารถถอนตัวออกมาได้
“เฉิน คุณพูดแบบนี้ได้ยังไงคะ สิบปีที่ผ่านมาคุณไม่ควรที่จะรับผิดชอบอะไรในตัวฉันบ้างหรือไงคะ?” ฐาลี่เริ่มกระวนกระวาย เธอร้องตะโกนเสียงดัง ทุกเรื่องที่ผ่านมานั้นเธอจะเป็นคนจัดการมันด้วยตัวเอง แม้แต่เรื่องที่คบกับฉู่เฉินซี เธอคิดคำนวนถึงผลประโยชน์ระหว่างเธอและเขาแล้ว ดังนั้นเธอและเขาต้องอยู่ด้วยกันจึงจะมีผลประโยชน์สูงสุด
เธอเป็นนักธุรกิจ เป็นนักธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จ ดังนั้นสิ่งที่เขามั่นใจว่ามีค่า ให้รอสิบปีแล้วจะทำไม?
แต่หากต้องรอต่อไปอีกนาน มันก็จะไม่มีความหมายใดๆ
“ผมทำให้คุณต้องเสียเวลามาสิบปี หรือคุณอยากจะให้ผมทำให้คุณต้องเสียเวลาอีกยี่สิบปี? สามสิบปี? แล้วคุณจะเหลือเวลาอีกเท่าไหร่?” ฉู่เฉินซีเอ่ยพูดเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงนั้นหนักแน่น
“ฐาลี่ ผมไม่อยากพูดให้มันชัดเจนจนเกินไป”
พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ทั้งสองก็เป็นคนที่เข้าใจทุกอย่างดี รู้ดีแต่แรกว่าจุดจบจะเป็นยังไง
สีหน้าของฐาลี่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เอ่ยถามขึ้น “เป็นเพราะหลินเวยมี่ใช่ไหมคะ ดังนั้นคุณก็เลยตัดสินใจที่จะเลิกกับฉัน?”
“เปล่า เป็นความผิดของผมเอง”
“ระหว่างที่เราคบกันนั้น เราเข้ากันได้ดีไม่ใช่หรอคะ? แต่ตั้งแต่หลินเวยมี่ปรากฏตัวขึ้นมาคุณก็เปลี่ยนไป ถ้าจะพูดให้ชัดเธอต่างหากที่เป็นเสี้ยนหนามของเรื่องระหว่าง” ฐาลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆจากนั้นพูดวิเคราะห์
ฉู่เฉินซีเดิมน้ำเงียบๆไม่ได้พูดโต้แย้งใดๆ เขาไม่สามารถห้ามใจตัวเองเวลาที่อยู่กับหลินเวยมี่ได้เลยสักครั้ง ดังนั้นเธอก็เลยขโมยหัวใจของเขาไปได้ทุกครั้ง
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถควบคุมมันได้ ความรักไม่ควรถูกเรียกว่าความรัก ความรักควรถูกเรียกว่าตาบอด บ้าคลั่งต่างหาก
“พวกคุณรู้จักกันไม่ถึงครึ่งปี เธอไม่สิทธิอะไรแย่งคุณไปจากฉัน?” ฐาลี่ตะคอกด้วยความไม่เข้าใจ
ฉู่เฉินซีหรี่ตาลง จากนั้นเอ่ยปากพูดทีละคำๆ “ความรักไม่ใช่สิ่งที่ใช้เวลาเปนเครื่องพิสูจน์ พวกเราอยู่ด้วยกันมาสิบปี การที่ผมไม่สามารถรักคุณได้ก็คือไม่สามารถรักได้”
ฐาลี่มองดูเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า จากนั้นพูดพิมพำ “คุณไม่รักฉัน”
เขาเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเขาพูดนั้นมันทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดมาก สีหน้าของเขาเผยความรู้สึกผิดออกมา “ฐาลี่ ระยะเวลาสิบปีนี้ผมจะชดใช้คุณเป็นอย่างดี”
ฐาลี่เม้มปากแน่น เหมือนกำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
ฉู่เฉินซีค่อยๆเดินขึ้นไปชั้นบน จากนั้นยืนอยู่ข้างกายเธอ เขาเอ่ยถามเสียงเบา “ฐาลี่ ถามใจคุณดูสิ คุณรักผมไหม?”
เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและตกใจ
ฐาลี่พิงอยู่ตรงบันไดอย่างหมดแรง ตัวเธอสั่นเทาเล็กน้อย เธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับฉู่เฉินซีกันแน่น มันคือความรักจริงๆใช่ไหม?
แต่ใครจะเอาความรักมาขึ้นอยู่กับผลประโยชน์? ทันใดนั้นเองเธอรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าสงสาร ไม่เคยมีความรักที่แท้จริงเลยสักครั้ง ในทุกๆวันเธอเอาแต่คิด เอาแต่คิดเรื่องผลประโยชน์
ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เธอนั่งลงตรงบันได คล้ายว่าจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ในมือของฉู่เฉินซีถือขวดไวน์เอาไว้ ไม่มีแก้ว ยกทั้งขวดขึ้นดื่ม
เรื่องของฉู่หรานในตอนนั้นทำให้เขากับหลินเวยมี่ต้องแยกจากกัน นั้นคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจไปทั้งชีวิต ถ้าหากว่าเขายังคงพยายาม บางทีเรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้?
ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเขา ไม่อย่างนั้นเขาและเธอก็คงไม่ต้องทะเลาะกันจนถึงขั้นนี้ อีกทั้งยังไม่ต้องเสียลูกของพวกเขาไปอีก
หรี่ตาลง เจ็บปวดอย่างไม่อาจเอาอะไรมาเปรียบได้
เขาไม่ชอบเด็ก แต่กลับปรารถนาให้หลินเวยมี่คลอดลูกของพวกเขาสองคน เพราะมีแค่สิ่งนี้เท่านั้น จึงจะทำให้หลินเวยมี่กลายเป็นของเขาจริงๆ
แต่ว่าตอนนี้ ห้าปีที่เสียเธอไปนั้น เธอมีครอบครว และลูก
และเขาได้อะไร? หรือเขาจะสามารถพาเธอกลับมาอีกครั้งได้ไหม?
ยกขวดไวน์ขึ้นดื่ม ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ
เช้าครู่ เสียงเคาะประตูดังสนั่น
ฉู่เฉินซีที่เมาค้างอยู่นั้นขมวดคิ้ว ลุกขึ้นนั่งแล้วยีผมตัวเอง จากนั้นตะโกนถามด้วยความโมโห “มีเรื่องอะไร?”
เสียงเคาะประตูด้านนอกหยุดลง จากนั้นก็ตามด้วยเสียงของพ่อบ้านหลี่ “คุณชายสามครับ คุณฐาลี่ไปแล้วครับ”
คิ้วของฉู่เฉินซีขมวดเป็นปมอีกครั้ง นานครู่หนึ่งกว่าจะตอบ “อื้ม รู้แล้ว”
“นายท่านไม่พอใจเป็นอย่างมากครับ”
ฉู่เฉินซีขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เรื่องของเขาและฐาลี่คุณท่านแก่ฉู่เร่งมานานแล้ว บอกให้พวกเขาสองคนหมั้นหมายกันมานาน แต่เขาก็เอาแต่ยื้อ ดังนั้นการจากไปของฐาลี่ในครั้งนี้ คงกระตุกหนวดเสือของคุณท่านแก่ฉู่
สบถพูดออกมาเสียงเบา จากนั้นรีบเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกไป
ในห้องรับแขก สีหน้าของคุณท่านแก่ฉู่นั้นดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเขาเดินออกมาก็หัวเราะในลำคอ
ฉู่เฉินซีซุกมือทั้งสองเข้าไปในกระเป๋ากางเกง จากนั้นเดินลงบันได
“พ่อ อรุณสวัสดิ์ครับ”
“แกทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? ทำไมฐาลี่ถึงเก็บข้าวของออกไป?” คุณท่านแก่ฉู่เอ่ยถาม
“คงไปหารักแท้ของตัวเองมั้งครับ”
คำพูดไม่มีหัวจิตหัวใจของฉู่เฉินซีทำให้คุณท่านแก่ฉู่ถึงกลับโมโห จากนั้นหยิบแก้วขึ้นมาแล้วคว้างไปที่เขา
แก้วตกลงบนพื้นใกล้เท้าของเขา เขาเหลือบมองดูแก้วข้างเท้าตัวเอง จากนั้นหัวเราะในลำคอแล้วเดินลงไป
“แกพูดอะไรกับเธอ?”
“สิ่งที่ควรพูดครับ”
“แกอยากให้ฉันบ้าตายหรือไง?” คุณท่านแก่ฉู่ถลึงตาแล้วด่าทอ “ลูกทรพี!แกคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น สิ่งที่ผมต้องการนั้นง่ายมาก ผมต้องการแค่หลินเวยมี่” ฉู่เฉินซีพูดด้วยแววตาจริงจัง น้ำเสียงเคร่งขรึม
สีหน้าของคุณท่านแก่ฉู่เปลี่ยนไปในทันที หยิบไม้เท้าแล้วจะตีลงไป ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“หลินเวยมี่?”
ผู้ชายทั้งสองคนตัวแข็งทื่อ สีหน้าของคุณท่านแก่ฉู่ดูตกใจยิ่งกว่า กล่าวพูดเตือนเสียงเบา “แกอยากจะให้น้าหรานของแกได้รับผลกระทบเพราะความหลงใหลของแกจริงหรอ?”
ฉู่เฉินซีเม้มปากแน่น ใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่งเงียบ
สาวรับใช้เข็นรั่วหรานออกมา สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นเอ่ยถาม “หลินเวยมี่คือใคร?”
“ไม่ใช่คนที่สำคัญอะไร” คุณท่านแก่ฉู่พูดอธิบาย
รั่วหรานทำสีหน้าไม่เชื่อ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “อื้ม…..นามสกุลนี้”
“เป็นแค่นามสกุลธรรมดา ไม่ต้องไปใส่ใจ
“ไม่ถูกสิ ฉันจำได้ว่าสามีของฉู่หรานก็นามสกุลนี้” รั่วหรานถามด้วยความตกใจ
คุณท่านแก่ฉู่ทำหน้าเคร่งขรึม “จะพูดถึงคนไม่ได้เรื่องพรรค์นั้นทำไม?”