บทที่ 221 เด็กขี้งอแง
ไม่รู้ว่ากู้จุนเฟิงตั้งใจหรือเป็นเพราะความบังเอิญกันแน่ หลายครั้งตอนที่ไปศูนย์อนุบาลรับลูก ก็มักจะเจอเขา และหลังๆมาจึงได้เชิญหลินเวยมี่ไปกินข้าวที่บ้าน
หลินเวยมี่ไม่สามารถปฎิเสธเขาได้ จึงทำได้เพียงพาเสี่ยวหลงตามเขาไปที่บ้าน โจ่วซินก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แค่ตอนแรกที่กลับมาเจอเธออีกครั้งก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
และผู้ใหญ่ก็พูดคุยกันในเวลาเพียงสั้นๆ ตอนที่ส่งเธอกลับไปฟ้าก็มืดแล้ว
เสี่ยวหลงนอนหลับใหลไปในกลางอ้อมกอดของหลินเวยมี่ เธอกอดเสี่ยวหลงไว้เบาๆ นัยน์ตาของเธอไม่ได้รู้สึกลังเลใจเลยสักนิด
“รู้สึกไหมว่ามันช่างน่าแปลกจริงๆ” จู่ๆกู้จุนเฟิงก็ถามขึ้น แล้วน้ำเสียงของเขาก็มีรอยยิ้มอ่อนๆแอบแฝง
หลินเวยมี่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร ห้าปีก่อนพวกเขาทุกคนอย่างยุ่งเกี่ยวกันเลย ห้าปีหลังกลับรู้สึกว่าพวกเขาสามารถนั่งอยู่ด้วยกันแล้วร่วมโต๊ะอาหารกันอย่างนิ่งสงบ แม้กระทั่งยังพูดคุยกันด้วย
“ใช่ เวลาผ่านไปไวจริงๆ แต่ว่าก็ต้องขอบคุณวันเวลาพวนนี้ อย่างน้อยก็ทำให้พวกเราได้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น” หลินเวยมี่ยิ้มอ่อนๆแล้วลงไปพิงบนเบาะอย่างเบาๆ
กู้จุนเฟิงไม่ได้พูดอะไรใดๆแล้วขับรถไปอย่างเงียบๆ สายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลยังไม่ได้ลดน้อยลงเลยสักนิด นัยน์ตาสีนิลไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พอถึงข้างนอกบ้านจัดสรร หลินเวยมี่ลงจากรถ หลังจากที่บอกลากู้จุนเฟิงเสร็จ จนก็ได้อุ้มเสี่ยวหลงที่กำลังหลับใหลอยู่เดินเข้าไปในบ้าน
พึ่งเดินเข้าไปได้สองก้าวก็เห็นเรือนร่างของคนๆหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาสวมใส่เสื้อสีส้มอมเหลือง แล้วกำลังสูบบุหรี่อยู่
หลินเวยมี่รู้สึกตกใจมากๆ แต่ก็ทำเป็นไม่เห็นแล้วก้มหน้าเดินไปข้างหน้า
แค่เพียงตอนที่อยู่อยู่ยิ่งใกล้กัน ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเครียด
ตอนที่เดินสวนทางกัน เขาจึงได้ขวางทางของเธอไว้ จากนั้นก็มีกลิ่นฉุนของบุหรี่ลอยอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคน
“ไปไหนมา?” เขาถามด้วยความเลือดเย็น และไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
หลินเวยมี่ทำเป็นไม่รู้จักเขา แล้วก็เดินหน้าต่อ
“คุณพาลูกผมไปเจอใครมา?”
คำพูดอันเย็นชาทำให้หลินเวยมี่หยุดกลั้นหายใจ ฝีเท้าของเธอหยุดลง แล้วมองชายที่อยู่ในท่ามกลางความมืดด้วยสายตาที่คาดคิดไม่ถึง และดูใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน แต่ดวงตาอันคุ้นเคยนั้น และกลิ่นกายที่คุ้นเคยนั้น จะมีเหตุผลอะไรที่จะทำเป็นไม่รู้จักเขาอีก?
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และยังไม่ค่อยได้สติกลับมา เพราะว่าเธอนึกไม่ถึงว่าฉู่เฉินซีจะรู้ว่าเสี่ยวหลงมีตัวตนอยู่
“ทำไม? ตกตลึงงั้นหรอ?” เขาเดินหน้ามาหนึ่งก้าว แล้วมองพวกเขาสองแม่ลูกอย่างเงียบๆ
เสี่ยวหลงขยี้ตาตัวเอง แล้วพึมพำด้วยเสียงค่อย “หม่าหมา เขาคือใคร?”
“เสี่ยวหลง พ่อเป็นพ่อของลูกนะ”
“คุณพูดจาเหลวไหล!” หลินเวยมี่ตะโกนขึ้นอย่างเลือดเย็น ภายใต้ดวงตานั้นดูกระวนกระวายมากๆ
ในท่ามกลางความมืดนั้นก็ได้มีเสียงในลำคอส่งออกมาอย่างเย็นชา เหมือนกำลังเยาะเย้ยที่เธอรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข
“หลินเวยมี่ ยังจะปิดบังผมอีกหรอ?”
“ฉันไม่ได้ปิดบังคุณอะไร ได้โปรดอย่าพูดจาเรื่อยเปื่อย” หลินเวยมี่รู้สึกได้ว่าหัวใจของเธอนั้นเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง แล้วกอดไหล่ของเสี่ยวหลงไว้แน่นๆ
เธอสามารถจินตนาการออกว่า ถ้าเธอยอมรับว่าเสี่ยวหลงเป็นลูกของเขา วินาทีต่อไปฉู่เฉินซีก็จะแย่งเสี่ยวหลงไปอย่างไม่เกรงใจ
เธอไม่มีทางยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน
“คุณอา เสี่ยวหลงจะเอาป่าปี๊” เสี่ยวหลงเหมือนสัมผัสได้ว่าทั้งสองคนดูผิดปกติ จึงได้อธิบายขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนของเด็ก
สายตาของฉู่เฉินซีจับจ้องไปที่เสี่ยวหลง ใบหน้าที่เต็มไปอวบอ้วน ดวงตาดำวาวที่กลมโต รูปร่างหน้าตาของเขานั้นเหมือนตนเองในตอนเด็กๆมากๆ
ดังนั้น ต่อให้วันเกิดที่เขาไปสืบมาไม่สัมพันธ์กัน แต่เขาก็ยังคงเชื่อว่า เสี่ยวหลงเป็นลูกชายของเขา
“คุณอาเป็น……ของเสี่ยวหลง……”
“ฉู่เฉินซี!” หลินเวยมี่ตะโกนเสียงดังอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
“กลัวแล้วหรอ? ไหนๆคุณก็บอกว่าเขาไม่ใช่ลูกชายผม งั้นคุณกลัวทำไม? กังวลทำไม? กลัวว่าผมจะแย่งเขาไป?” ฉูเฉินซีแสยะยิ้มอย่างเยาะเย้ย
หลินเวยมี่แค่รู้สึกถึงทั้งเรือนของตัวเองนั้นเย็นเฉียล และแผ่นหวังของเธอมีหยาดเหงื่อเย็นผุดออกมา เธอนึกไม่ถึงจริงๆว่าจะให้เขาเจอเสี่ยวหลงในสถานการณ์แบบนี้
เธอยังคงไม่หลบไปไหน และฉู่เฉินซีเองก็ได้ไปสืบเรื่องของเสี่ยวหลงแล้ว ไม่งั้นเขาจะรู้ได้ยังไงว่าเสี่ยวหลงเป็นลูกชายของเขา?
“ฉู่เฉินซี คุณอย่าทำตัวไร้สาระแบบนี้ได้ไหม?” เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่
“ผมไร้สาระ? หลินเวยมี่ คุณว่ามาว่าคุณเคยโกหกผมไปกี่ครั้งแล้ว? คุณนี่แหละ 18 มงกุฏ”
“อย่ามาหม่ามี้ของผมแบบนี้” เสี่ยวหลงมองเขาอย่างไม่พอใจ และก็ได้สังเกตเห็นว่าฉู่เฉินซีและหลินเวยมี่กำลังทะเลาะกัน จึงได้ปกป้องหลินเวยมี่ด้วยความเกรี้ยวโกรธ
“ปล่อยลูกกลับบ้านไปก่อน แล้วเราอยู่คุยกันที่นี่” ฉู่เฉินซีสูบบุหรี่อีกหนึ่งคำ นัยน์ตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกโมโห
หลินเวยมี่จึงถอนหายใจ แล้วหันหลังเดินขึ้นตึกไปด้วยความเร่งรืบ
“หลินเวยมี่ ถ้าคุณกล้าไม่ลงมา คุณเจอดีแน่”
คำพูดข่มขู่ของเขาทำให้หลินเวยมี่หยุดชะงักฝีเท้าไปชั่ววูบ ทีแรกเธอก็ไม่ได้คิดจะลงมาอีก จากนั้นจึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินออกไปโดยเร็ว
เธออยู่ในบ้านแล้วถ่วงเวลาไปประมาณครึ่งชั่วโมง เธอถึงจะลงไป ฉู่เฉินซียังคงยืนรอเธออยู่ที่เดิม ในมือจุดบุหรี่มวนใหม่ ถึงแม้เขาจะอยู่ในที่มืด แต่ก็สามารถเห็นถึงสีหน้าของเขา สีหน้านั้นดูกระวนกระวายมากๆ
“ผมจะฟังคำตอบจากคุณ”
คำพูดอันเย็นชานี้ทำให้หลินเวยมี่ที่ยืนอยู่ตรงที่ไม่ไกลสสะดุ้งตกใจ แล้วไม่ได้ตอบกลับอะไรใดๆไปสักพัก
“วันนั้นคุณบอกว่าคุณจะให้คำตอบผม” ฉู่เฉินซีอธิบายขึ้นต่อ
“ฉันลืมไปแล้ว”
คำตอบของเธอทำให้ฉู่เฉินซีถึงกับขมวดคิ้ว สีหน้าตอนนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่มีความสุข จากนั้นก็โยนบุหรี่ลงบนพื้นแล้วใช้รองเท้าเหยียบพลางเดินไปหาเธอ
หลินเวยมี่จึงเดินถอยหลังไป และรู้สึกหวาดกลัวฉู่เฉินซีในตอนนี้มากๆ
เขาจับข้อมือของเธอไว้ใช้แรงกระชาก ระยะห่างของทั้งสองจึงใกล้กันมากขึ้น เขาก้มหน้าลงมองเธอ แล้วถามด้วยเสียงเลือดเย็น “ลืมแล้วหรอ? คุณลืมจริงๆแล้วหรอ?”
หลินเวยมี่ดิ้นรนอย่างวุ่นวายใจ นัยน์ตาเผยความตกใจและความหวาดกลัวออกมา “คุณจะทำอะไร?”
“ผมจะทำอะไรได้?” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความอดทนจริงๆ มือใหญ่ของเขาจึงกระตุกให้เธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
หลินเวยมี่ไม่กล้าขยับไปเรื่อยเปื่อยแล้วปล่อยให้เขากอดเธออยู่แบบนี้ หัวใจของเธอเต้นรัวๆขึ้นไม่หยุด ลมหายใจของเขากลายเป็นลมหายใจของเธอ ทำให้รู้สึกสบายใจมากๆ
“นางงูพิษอย่างคุณที่จ้องจะทำให้คนอื่นรู้สึกทรมาน คุณจะทำให้ผมทรมานไปถึงเมื่อไหร่คุณถึงจะรู้สึกสบายใจ?” เขากดเสียงต่ำแล้วกระซิบข้างหูของเธอ
หลิยเงยมี่สูดลมหายใจเขาลึกๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอยากพัวพัน ไม่รู้ว่าควรต่อคำพูดยังไงดี
พวกเขาสองคนกอดกันแน่นๆแบบนี้ และไม่คิดจะปล่อยมือเลย จึงทำให้หลินเวยมี่ใจอ่อนลง
“หลินเวยมี่ หลังจากที่คุณกลับมาคุณติดต่อกู้จุนเฟิง กลับไม่ติดต่อผม ผมอยากจะกัดคุณให้ตายไปจริงๆ” ฉู่เฉินซีกัดฟันไว้แน่นๆแล้วเปล่งเสียงออกมา จากนั้นก็ได้กัดหูของเธอ แล้วใช้ฟันกัดไว้ แต่กลับไม่ได้ออกแรง
ทำให้เธอรู้สึกจักจี้ แล้วหลินเวยมี่จึงบิดตัวไปมา “อย่าทำแบบนี้”
ฉู่เฉินซีไม่ได้ฟังเธอ ยังคงอมหูของเธอไว้เบาๆ จากนั้นจึงจะปล่อยออก แล้วมองตาเธอ
“คุณเลวขนาดนี้ คุณว่าผมควรลงโทษคุณยังไง?”
หลินเวยมี่ถลึงตากว้างแล้วมองเขา จากนั้นก็เห็นเขากระตุกมุมปากแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็ได้สูดอากาศเย็นๆเข้าปอด แล้วผลักเขาออกอย่างไม่พอใจ
“ฉู่เฉินซี คุณอยากทำอะไรกันแน่?”
“คุณตื่นเต้นขนาดนี้ทำไม? ผมทำอะไรให้คุณ?” ฉู่เฉินซียิ้มอ่อน แล้วดึงเธอยัดเข้าไปในรถ
น้ำหอมกลิ่นดอกพุตจีนในรถมันฟุ้งกระจายไปทั่วรถ เป็นกลิ่มหอมอ่อนๆที่ทำให้ได้กลิ่นแล้วรู้สึกสดชื่น หลินเวยมี่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้อย่าเงียบๆ แล้วไม่พูดอะไรออกมา
และเขาเองก็อยู่ในความเงียบสงบ ไม่ถามอะไรเธอเลย
หลินเวยมี่จึงรู้สึกว่าอึดอัดขึ้นมา ยิ่งอยู่แบบนี้ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
เธอจึงตั้งใจทำใจให้สงบ แล้วอยู่อย่างระมัดระวัง อีกทั้งแม้แต่หายใจแรงยังไม่กล้าทำ กลัวว่าจะทำให้เขาโกรธ
เขาหมุนตัวมา จู่ๆท่าทางของเขาทำให้หลิยเวยมี่สั่นไปทั้งตัว จากนั้นก็ถลึงตามองเขา
ท่าทีของหลินเวยมี่ทำให้เขาหัวเราะขึ้นมา แล้วยื่นมือไปจับแก้มของเธอพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “คุณกลัวอะไร?”
“เปล่า” หลินเวยมี่กล้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ ในใจลึกๆกำลังคิดแผนอยู่ ไม่รู้ว่าควรโกหกฉู่เฉินซียังไงดี ฉู่เฉินซีเป็นคนฉลาดขนาดนี้ เธอไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด
“หัวสมองของคุณกำลังคิดอะไรอยู่? กำลังคิดว่าจะจัดการยังไงกับผมใช่ไหม?” ฉู่เฉินซียิ้มขึ้นเบาๆ เหมือนกำลังเยาะเย้ยความคิดของเธอ
หลินเวยมี่จึงเบะปาก แล้วจ้องมองเขาอย่างโหดเหีย้ม จากนั้นก็ผลักเขาออกอย่างไม่พอใจ “ฉู่เฉินซี คุณเรียกฉันออกมาทำอะไรกันแน่? ลูกชายฉันยังอยู่ในบ้านคนเดียว ฉันรู้สึกไม่วางใจ”
“ใช่ ลูกอยู่บ้านผมก็ไม่วางใจเหมือนกัน ไม่งั้นเราไปคุยกันข้างบนไหมล่ะ” เขาพูดขึ้นอย่างเป็นธรรมดา เหมือนเห็นว่าเสี่ยวหลงเป็นลูกชายของเขาไปแล้ว
หลินเวยมี่กลับสูดลมเย็นเข้าปอด แล้วจ้องมองเขาแรงๆ ผ่านไปสักพักจึงค่อยเอ่ยพูด “ฉู่เฉินซี ลูกชายฉันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณเลยสักนิด!”
“แน่ใจขนาดนี้เลยหรอ? ไหนๆก็ไม่เกี่ยวข้องแล้ว งั้นคุณคงไม่เป็นไรถ้าเราจะไปตรวจDNAกัน?” ฉู่เฉินซีหรี่ตามอง ภายใต้ดวงตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ เหมือนมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวตั้งนานแล้ว
หลินเวยมี่จึงรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาทันที “ไม่ได้ ฉันบอกแล้วว่าเสี่ยวหลงไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณ ทำไมคุณถึงมายุ่งกับเราอย่างหน้าด้านๆแบบนี้?”
“หลินเวยมี่ อย่าทำให้ผมโกรธ เพราะว่าผมไม่รับประกันว่าผมจะทำอะไรลงไป” ฉู่เฉินซีทำน้ำเสียงนิ่งเฉย สีหน้านั้นดูแย่มากๆ เหมือนไม่อยากจะพูดอ้อมๆกับเธออีกแล้ว
“ตอนนี้พอพูดถึงคำตอบของวันนั้น อย่าพูดถึงอีกเลย ผมพูดอะไรไปฉันก็ลืมแล้ว!”
น้ำเสียงของเขานั้นโหดเหี้ยมยิ่งนัก เหมือนกำลังใส่อารมณ์ให้ใครอยู่ ไม่ได้คิดจะถามเป็นประโยคคำถาม ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังข่มขู่เธออยู่
“รัก”
ในรถเต็มไปด้วยความเงียบกริบขึ้นมาทันที หลินเวยมี่กลับรู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย เธอสามารถรวบรวมความกล้าขนาดไหน ถึงได้พูดคำๆนี้ออกมาได้?
เธอไม่ใช่คนที่ชอบเก็บความรู้สึก ถ้าบอกว่าไม่รักฉู่เฉินซี แล้วทำไมพวกเขาถึงเกี่ยวข้องกันจนถึงตอนนี้ได้?
ฉู่เฉินซีทำสีหน้าที่ดูอ่อนโยนขึ้น แล้วจับหน้าของเธอพลางจูบเธออย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็กระพริบข้างหูเธอด้วยเสียงค่อย “ผมก็รักคุณ ผมรอคำๆนี้ของคุณมาครึ่งเดือนแล้ว คุณควรให้คำตอบผมหน่อยไหม?”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม ไอ้ผู้ชายคนนี้ แค่เจอหน้ากันก็ขอดอกเบี้ยแล้ว!
ไม่รอให้เธอพูดต่อ เขาจึงประกบลงไป การจูบครั้งนี้ไม่ได้บ้าอำนาจเหมือนที่ผ่านมา ครั้งนี้เขาจูบเธออย่างอ่อนโยน เหมือนได้ทุ่มเทความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้กับรสจูบครั้งนี้
เธอก็ได้ตอบสนองจูบของเขาโดยการกอดคอของเขาไว้ จากนั้นก็หลับตาเพื่อสัมผัสถึงความรักของทั้งสองคน พวกเขายังคงพัวพันกันเหมือนกัน และอยากจะที่แยกจากกันได้
น้ำตาจึงไหลพรากลงมาไม่หยุด และไหลผ่านแก้มแล้วลงไปข้างล่าง ทำให้พวกเขาสองคนได้ลิ้มรสเค็มจากน้ำตาที่ไหลรินลงไป