บทที่ 222 ปรับความเข้าใจ
ฉู่เฉินซีมองเธออย่างตกตลึงเล็กน้อย จากนั้นก็เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธออย่างอ่อน แล้วพูดด้วยเสียงเบา “เวยมี่ เราเลิกเป็นแบบนี้ได้ไหม อยู่ด้วยกันดีๆได้ไหม?”
เธอจึงเงยหน้าขึ้นแล้วสบตากับนัยน์ตาที่กำลังอ้อนวอนของฉู่เฉินซี ในใจกลับรู้สึกยิ่งอยู่ยิ่งหม่นหมอง นี่ไม่ได้เป็นเพราะเธออยากจะโวยวาย แต่ระหว่างพวกเขาไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันได้
ห้าปีก่อนไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ และห้าปีหลังจากนี้ก็ไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้ เธอแต่งงานแล้ว และมีเสี่ยวหลงแล้ว
ฉู่เฉินซีเหมือนรู้ว่าเธอกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ จึงหอมมุมปากของเธอเบาๆ “เวยมี่ เลิกโง่เถอะ คนที่คุณรักคือผม หรือว่าคุณอยากจะให้ชีวิตการแต่งงานที่ไม่มีความรักมาทรมานพวกเรา?”
หลินเวยมี่ไม่ได้ทำสีหน้าที่แปรเปลี่ยนอะไร ใบหน้าของเธอยังคงเต็มไปด้วยความสับสน
“อีกอย่างผมก็ไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายของผมเรียกผู้ชายคนอื่นว่าพ่อ ถ้าคุณไม่เห็นด้วย ก็อย่าหาว่าผมบังคับคุณ”
ฉู่เฉินซีพูดจาแรงเล็กน้อย แม้กระทั่งยังเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ข่มขู่ และอยากจะแย่งเสี่ยวหลงไปจากชีวิตของเธอจริงๆ
หลินเวยมี่กลับสูดลมเย็นเข้าไป แล้วมองผู้ชายที่อยู่ข้างๆอย่างไม่น่าเชื่อ เธอรู้ว่าฉู่เฉินซีต้องมาไม้นี้
“ฉู่เฉินซี คุณอย่ามาเกินไป!”
“ทำเกินไป? งั้นคุณเคยนึกถึงความรู้สึกของผมไหม? ตอนนั้นคุณทำทุกอย่างมันได้ทำร้ายผม คุณรู้ไหม? ทำไมคุณถึงเป็นคนไร้จิตใจแบบนี้?”
“ฉันไม่อยากจะทะเลาะกับคุณแล้ว เสี่ยวหลงไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับคุณเลยสักนิด คุณอย่าเพ้อฝันว่าจะแย่งเสี่ยวหลงไปจากฉันได้!” นัยน์ตาของเธอดูเลือดเย็น และทั้งเรือนร่างได้แผ่รังสีแห่งความโมโหออกมา เหมือนคาดการณ์ถึงว่า เวลานี้สิ่งที่เธอคิดไว้กำลังจะเป็นจริง
ฉู่เฉินซียิ้มขึ้นอย่างทนไม่ได้ และมองเธออย่างไร้เรี่ยวแรง “คนที่ผมจะแย่งไปก็คือคุณกับลูก และขาดใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่ได้”
เธอรู้สึกอึ้งไปสักพัก แล้วมองเขาอย่างเหม่อลอย จากนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ความรู้สึกโมโหในใจจึงๆลดลง แล้วค่อยๆจางหายไป
“เวยมี่ ทำไมคุณยังจะโกหกผมอีก เสี่ยวหลงเป็นลูกชายของผมใช่ไหม? ตอนแรกทำไมต้องปิดบังผมด้วย?” เขาบ่นพึมพำอย่างอดใจไว้ไม่ไหว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไร้ซึ่งความอดทน “ถ้าตอนนั้นคุณบอกผม ระหว่างเราก็คงไม่ต้องพรากจากกันไปห้าปีแบบนี้”
“บอกคุณ? บอกคุณแล้วจะทำอะไรได้? บอกคุณแล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้หรอ?” เธอแสยะยิ้มอันเย็นชา ดวงตาที่เบิ่งตากว้างๆหรี่ให้เล็กลงไปตามหางตา
“คุณรู้ไหมว่าตอนนั้นฉันต้องแบกรับความกดดันแค่ไหนถึงจะคลอดเสี่ยวหลงออกมาได้?”
น้ำเสียงของเธอสั่นเทา แล้วเธอจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้นต่อ “ตอนนั้นหมอกับการมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอย่างใกล้ชิดกัน ลูกที่คลอดออกมาอาจจะไม่สมบูรณ์ คุณรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง? นั่นมันลูกของฉันนะ”
เธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้าไปอย่างเรื่อยเปื่อย “ตอนนี้คุณมีสิทธิ์อะไรมาแย่งเสี่ยวหลงไปจากฉัน? ฉู่เฉินซี คุณว่ายังไง คุณมีสิทธิ์อะไร!”
ฉู่เฉินซีทำสีหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยอาการที่ตกตลึง แล้วจับไหล่ของเธอไว้ จากนั้นก็มองเธออย่างลุ่มลึก “เวยมี่…….”
“ฉู่เฉินซี คุณยังอยากจะแย่งเสี่ยวหลงกับฉันอีกหรอ?” เธอถามด้วยด้วยขอบตาที่แดงระเรื่อ
“เราไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด” ฉู่เฉินซีพูดด้วยเสียงเรียบเฉย สายตาเต็มไปด้วยอาการที่ทนไม่ไหว “เพราะเหตุนี้คุณถึงได้หนีผมครั้งแล้วครั้งเล่าใช่ไหม?”
หลินเวยมี่ตกตลึงไปสักพัก ทั้งตัวของเธอดูเอ๋อไปทันที นึกไม่ถึงจริงๆว่าฉู่เฉินซีจะพูดแบบนี้ออกมา ตอนนั้นเอกสารชุดนั้นเธอได้ยินอย่างชัดเจน ข้างบนได้เขียนไว้ว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
“ทำไมคุณถึงบอกว่าเรามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดล่ะ? ใครบอกคุณ?”
หลินเวยมีรู้สึกมึนงง ทั้งหมดทั้งมวลไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “ตอนนั้นเฉินเห้าหมิงเป็นคนเอารายงานผลตรวจชุดนั้นมาให้ฉันเอง ข้างบนได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าเรา……”
“ให้ตายเถอะ!” ฉู่เฉินซีก่นด่าแค่คำเดียว “รายงานผลตรวจนั่นเป็นของปลอม!”
ฉู่เฉินซีนึกไม่ถึงจริงๆว่ารายงานชุดนั้นกลับเป็นสิ่งที่ได้ขัดขวางให้พวกเขาสองคนไม่ได้อยู่ด้วยมาหลายปีแบบนี้ ในใจจึงรู้สึกโมโหสุดขีด และอยากจะไปทำลายผลตรวจใบนั้นจนใจจะขาด
หลินเวยมีกัดริมฝีปากไว้แน่นๆแล้วนั่งอยู่ตรงเบาะ สีหน้าเต็มไปด้วยอาการที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป “ฉู่เฉินซี ตอนนั้นแก่ฉู่เองก็ไม่ได้ปฏิเสธหนิ”
“แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ยอมรับ ความจริงไม่ได้เป็นแบบนี้ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะบอกคุณยังไง จึงอยากให้คุณรอเจอรั่วหรานแล้วค่อยว่ากันอีกที” ฉู่เฉินซีควักบุหรี่ออกมาอีกหนึ่งมวนแล้วจุดไฟ ทำให้เห็นว่าอารมณ์ของเขานั้นสับสนและว้าวุ่นมากๆ
“เดี๋ยวผมจะนัดให้พวกคุณเจอกันในเร็วๆนี้
“คุณท่านแก่ฉู่จะหาฉันอยู่หรอ?” หลินเวยมี่กัดริมฝีปาก แล้วถามขึ้นอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย คุณท่านแก่ฉู่ไม่ใช่ว่าได้ขัดเจนไม่ให้พวกเธอเจอกันหรอ แล้วครั้งนี้จะสามารถเจอกันได้ยังไง?
“คุณไม่ต้องไปสนใจอันนั้นหรอก คุณรอฟังข่าวก็พอ” ฉู่เฉินซี่ทำสีหน้าที่หม่นหมอง ในใจจึงรู้สึกกดดันมากๆ
หลินเวยมี่จึงอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก แต่พวกเขาสองคนกลับไม่ได้มีความรู้สึกโอหังอวดดีเหมือนตอนแรกอีก
“เวยมี่ ไหนๆความเข้าใจผิดของเราก็ได้ปรับกันเรียบร้อยแล้ว คุณลองที่จะยอมรับผมอีกครั้งได้ไหม?” ฉู่เฉินซีเอ่ยพูดด้วยเสียงเย็นชา แล้วมองเธออย่างจริงจัง
หลิยเวยมี่เม้มมุมปาก นัยน์ตาเปล่งประกายคราบน้ำตาออกมา แล้วพยักหน้าเบาๆ
เขามองเธอด้วยความเซอร์ไพรส์ แล้วกอดเธอไว้ในอ้อมกอด จากนั้นก็จูบเธออย่างลึกซึ้งอีกครั้ง แล้วกระซิบข้างหูพลางหายใจหอบหืดในเวลาเดียวกัน “เวยมี่ ผมไปก่อนนะ คุณอย่าโกหกผมอีกล่ะ”
หลินเวยมี่ยืนอยู่ตรงข้างถนแล้วมองรถที่ขับเคลื่อนไปไกล ทันใดนั้นก็รู้สึกก้อนหินก้อใหญ่ในใจถูกวางลงบนพื้นตั้งใจเมื่อไหร่ไม่รู้ จากนั้นเธอจึงได้คลี่ยิ้มอ่อนๆขึ้น นี่เป็นครั้งแรกในห้าปีที่เธอยิ้มอย่างไม่มีแรงกดดัน
ฉู่เฉินซีขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างว่องไว สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ครั้งแรกที่พวกเขาสองคนสามารถเลือกที่จะอยู่ด้วยกันโดยปราศจากความหวาดกลัว
พอกลับถึงบ้านฉู่ก็ได้เห็นแขกที่ไม่ค่อยอยากเจอ เขาจึงขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นก็เดินผ่านข้างกายเขา ทีแรกก็คิดว่าอยากจะเจรจากับคุณน้าฉู่หราน เรื่องที่จะนัดเจอเวยมี่ แต่พอเห็นฉู่ชิ่งเจ๋อ ในใจจึงรู้สึกว่าต้องระมัดระวังตัว
ฉู่ชิ่งเจ๋อเป็นคนที่ชอบมีแผนร้ายในใจ และรู้ว่าควรโจมตีจุดอ่อนจุดไหนของเขา เขาไม่อยากจะให้ฉู่ชิ่งเจ๋อทำอะไรกับหลินเวยมี่อีกต่อไป
“น้องสาม ไงไม่อยากเจอพี่ใหญ่หรอ?” น้ำเสียงที่หนักแน่นส่งเสียงดังขึ้น
สายตาของทั้งสองได้สบตากันโดยผ่านอากาศ และไม่มีใครยอมแพ้ให้ใคร ผ่านไปสักพัก ฉู่เฉินซีจึงยิ้มอ่อนขึ้น เหมือนพึ่งจะเห็นเขา
“พี่ใหญ่นี่เอง เราไม่เจอกันนานขนาดนี้เลยหีอ?”
“เดือนหน้าฉันจะแต่งงานกับฐาลี่ เลยอยากจะมาขอคำปรึกษาจากพ่อ”
ฉู่เฉินได้ยินข่าวๆนี้จึงได้หรี่ตาลงในพริบตา ถ้าบอกว่าไม่ได้รู้สึกตกตลึงก็คงจะเป็นเรื่องโกหก เขานึกไม่ถึงว่าฐาลี่กลับมามีความสัมพันธ์กับฉู่ชิ่งเจ๋อ
“งั้นพี่สะใภ้ใหญ่ล่ะ?” ฉู่เฉินซีถามขึ้นอย่างผิวเผิน เหมือนไม่ได้รับการส่งผลกระทบเลยสักนิด สามปีก่อนฉู่ชิ่งเจ๋อได้แต่งงานกับลูกสาวของบริษัทอื่น แต่ดูๆแล้วเขาไม่ได้คิดจะยอมแพ้กับการแก่งแย่งบริษัทไปเลย
ตระกูลฉู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวย บริษัทตระกูลฉู่ก็ยิ่งเป็นบริษัทที่มีเครืออยู่ทุกที่ และมีธุรกิจหลากหลายแบบ ไม่น่าล่ะฉู่ชิ่งเจ๋อจึงไม่ยอมท้อถอย
ทว่าทรัพยสมบัติพวกนี้ล้วนเป็นของตกทอดจากคุณท่านแก่ฉู่ ตั้งใจหลายปีก่อนก็ได้บอกว่าจะมอบหุ้นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดให้กับฉู่เฉินซี และถ้าฉู่เฉินซีแต่งงานกับฐาลี่ ก็จะยิ่งดีกว่าเดิม
ทว่าฉู่เฉินซีกลับไม่ได้สนใจหุ้นของบริษัทเลยสักนิด และคุณท่านแก่ฉู่ก็ไม่ยอมปล่อยมือสักที
“ดูๆแล้วพี่ใหญ่มีอำนาจขนาดนี้ก็ต้องได้แน่นอน” ฉู่เฉินซียกจอกชาขึ้นแล้วเม้มปากจิบไปหนึ่งคำ ถึงแม้น้ำเสียงจะไม่สนใจอะไรใดๆ แต่ในใจก็คงรู้สึกดูอย่างไม่เป็นสุขแน่นอน
ถึงแม้ระหว่างฐาลี่กับเขานั้นไม่มีความรักต่อไป แต่ว่าเขาก็ไม่ยอมให้ฐาลี่แต่งงานเพราะมีผลประโยชน์ต่อบริษัท
“หลายปีมานี้ น้องสามไม่รู้หรือไงว่าพี่ใหญ่มีวางแผนและเป้าหมายอะไร?” ฉู่ชิ่งเจ๋อไม่ได้คิดจะปกปิดอะไรเลย จากนั้นก็ยิ้มอ่อนๆขึ้น เหมือนว่ากำลังจุดบุหรี่ซิการ์ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมั่นใจยิ่งนัก
ไม่ว่าเขาจะอยู่แห่งหนใด เขาก็จะถูกฉู่เฉินซีกดขี่อยู่ตลอด นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เขาสามารถอยู่เหนือกว่าฉู่เฉินซี
“ไหนๆก็เป็นแบบนี้แล้ว น้องสามขอแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่ด้วย” ฉู่เฉินซียิ้มอ่อนๆแล้วหันหลังเดินขึ้นชั้นบนไปด้วยรอยยิ้ม
มุมปากของฉู่ชิ่งเจ๋อกระตุกขึ้นเล็กน้อยอย่างสังเกตไม่เห็น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ฉู่เฉินซีผลักประตูห้องทำงานออก สายตาจับจ้องไปยังคุณท่านแก่ฉู่ที่กำลังเคลียร์เอกสารอยู่ จากนั้นก็ค่อยๆเดินเข้าไป แล้วนั่งอยู่เก้าอี้ตรงหน้า
“ได้ยินพี่ใหญ่ของแกบอกว่าหรอ?” คุณท่านแก่ฉู่ไม่ได้เงยหน้าแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“ได้ยินแล้ว”เขาเอามาประสานกัน แล้วมองคุณท่านแก่ฉู่ด้วยสีหน้าที่เหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
“ทำไม? ไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ?” คุณท่านแก่ฉู่ส่ายหัว แล้วทำนัยน์ตาที่เมินเฉย เหมือนเสียดายที่ตอนแรกเขาปล่อยฐาลี่ไป
ฉู่เฉินซียิ้มอ่อนๆ แล้วไม่ได้สนใจอะไร “ผมจะมีความเห็นอะไรล่ะ? นั่นเป็นเรื่องของพวกเขาสองคน แค่รู้สึกนึกคิดไม่ถึงจริงๆ เพื่อผลประโยชน์อะไรถึงกับยอมละทิ้งทุกอย่าง แม้กระทั่งความสุข”
“ตอนนั้นพ่อแกก็แต่งงานกับคุณน้าเพื่อผลประโยชน์ไม่ใช่หรือไง?” ฉู่เฉินซีถามขึ้นตรงๆ สีหน้าไม่ได้แปรเปลี่ยนไปเลย
“ทำไม? คิดจะสั่งสอนฉันหรอ?” คุณท่านแก่ฉู่ถลึงตามองเขา “ฉันกับคุณน้าหรานอายุห่างกันสิบห้าปี ตอนนั้นฉันก็นึกว่าจะใช้แบบนี้ต่อไป แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเธออีก”
“เป็นความบังเอิญที่งดงามจริงๆ” คุณท่านแก่ฉู่ยิ้มขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความสุข
เป็นครั้งแรกที่ฉู่เฉินซีเห็นสีหน้าอันเบิกบานแบบนี้ของคุณท่านแก่ฉู่ ในใจรู้สึกผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
“พ่อ ถ้าจะให้พ่อเลือกระหว่างผลประโยชน์กับความรัก พ่อจะเลือกยังไง?”
สีหน้าของคุณท่านแก่ฉู่จึงกลายเป็นสีหน้าที่กระวนกระวาย “แกนึกว่าตอนนั้นฉันไม่ได้เลือกหรือไง? เพราะว่าฉันเลือก รั่วหรานจึงจะเกิดเรื่อง!”
ฉู่เฉินซีแค่รู้ว่าคุณน้าหรานเจอกับอะไร แต่ไม่รู้ถึงกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ทว่าพอมาเห็นท่าทางที่เจ็บปวดขนาดนี้ของคุณท่านแก่ฉู่ ทำให้เขาสามารถเดาออกคร่าวๆ
“ตอนนั้นทีแรกฉันเลือกรั่วหราน แต่กลับท้องแกตอนนั้น ฉันเลยไม่มีทางเลือก” คุณท่านแก่ฉู่ถอนหายใจ “นี่คือโชคชะตา”
“ตอนนี้ฉันแค่คิดว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือชดใช้ให้กับรั่วหราน” เขาทำสีหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความโศกเศร้า
“พ่อ ไหนๆก็เป็นแบบนี้ ทำไมไม่ให้คุณน้าหรานไปเจอหลินเวยมี่?” ฉู่เฉินซีมองเขาด้วยสายตาที่ลุ่มลึก แล้วไตร่ถามต่อ “พ่อ พ่อก็น่าจะเห็นว่าคุณน้าหรานรักหลินเวยี่ พ่อยังมีเหตุผลอะไรขัดขวางสองแม่ลูก ไม่ให้พวกเธอมานับแม่นับลูกกัน?”
คุณท่านแก่ฉู่ปรายตามองเขาด้วยปราดด้วยอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “พูดอ้อมๆมาทั้งหมดแบบนี้ เพื่อที่จะนัดเวลาให้พวกเธอเจอกันงั้นหรอ? ไหนๆแกตัดสินใจแล้ว แล้วมาถามฉันอีกทำไม?”