บทที่ 226 เด็กดี เปลี่ยนเป็นฉันเถอะ
Elisจ้องฉู่เฉินซีด้วยสายตาโกรธเคือง “แต่นายทำให้เธอต้องเสียเวลาไปตั้งหลายปี นายคิดว่าแค่นายพูดคำว่าไม่รักคำเดียว ทุกอย่างก็จะจบงั้นเหรอ”
“ไม่รักก็คือไม่รัก” ฉู่เฉินซีสีหน้าถมึงทึง น้ำเสียงดุร้าย “Elis ความรักมันไม่เลือกเวลาหรอกนะ อีกอย่างฉันใช้เวลาเป็นสิบปีมันก็ไม่ทำให้ฉันรักฐาลี่เลย แล้วมันยังจะเป็นความผิดของฉันอีกเหรอ”
Elisกัดฟันจ้องมองฉู่เฉินซี เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่าควรเข้าใจความหมายของคำว่ารักยังไงดี เพราะเธอก็ไม่เคยมีความรักมาก่อน
ฉู่เฉินซีหาวออกไปทีหนึ่ง ใบหน้ามีแววของความเหนื่อยล้า คิดอยู่สักพักแต่ก็ไม่ได้กลับเข้าห้อง แต่กลับเดินออกไปข้างนอกแทน
ไม่ได้สนใจใครทั้งนั้น เพราะคนอื่นไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์เขา ที่ไม่รักมันไม่ใช่ความผิดของเขา หรือเพราะที่ตัวเองไม่ได้รัก เลยต้องสงสารฐาลี่แล้วเลือกที่จะอยู่กับเธอหรือไงกันล่ะ
ถ้าถึงตอนนั้นเกรงว่าทั้งสองคนก็คงไม่รู้สึกมีความสุข
รถแล่นไปบนถนน ยังไงเขาก็ยังอยากจะเห็นหน้าเธอ
รถจอดอยู่ที่ชั้นล่างของบ้านเธอ แต่กลับไม่ได้โทรหาเธอ ทำแค่เพียงมองทอดไปยังชั้นบนอย่างเงียบๆ แสงไฟในห้องยังคงสว่างอยู่ เห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่ได้เข้านอน
ช่วงเวลานี้จิตใจถึงได้สงบ ราวกับได้คอยเฝ้าดูเธออยู่ข้างๆ แค่มองจากที่ไกลๆก็พอใจแล้ว
หลินเวยมี่ดึงผ้าม่านตรงระเบียงขึ้น แต่กลับเหลือบไปเห็นรถที่จอดอยู่ชั้นล่าง หัวใจเต้นรัวสนั่นขึ้นมาทันที ใบหน้าปรากฏแววแห่งความดีใจที่ปิดกั้นเอาไว้ไม่ได้
ไม่ว่าเธอจะพูดว่าไม่อยากให้เขามาขนาดไหน แต่ตอนนี้พอได้เห็นหน้าเขา ลึกๆภายในใจก็ยังรู้สึกตื้นตัน ดังนั้นเท้าจึงวิ่งออกไปโดยไม่คิด เสื้อผ้าก็ไม่ทันได้เปลี่ยน
“ก๊อกก๊อก” เคาะกระจกรถ อากาศข้างนอกหนาวอยู่บ้าง หลินเวยมี่จึงเผลอลูบแขนโดยไม่รู้ตัว เมื่อประตูรถเปิดออก ฉู่เฉินซีก็ดึงเธอเข้ามา ให้เธอนั่งอยู่บนตักเขา
ฉู่เฉินซีเม้มปาก เอ่ยถามเสียงเบา “นายมาทำไม”
“คิดถึงเธอก็เลยมาไง แล้วเธอล่ะ ทำไมถึงใส่ชุดนอนวิ่งลงมาแบบนี้” สายตาของฉู่เฉินซีฉายแววขบขันอย่างชัดเจน มือที่โอบเอวเธอยิ่งแน่นขึ้นไปอีก
ทั้งสองคนแนบชิดติดกันกว่าเดิม ฉู่เฉินซีสูดดมกลิ่นหอมสดชื่นบนตัวเธอ แล้วลมหายใจก็เริ่มถี่ขึ้นมา
หลินเวยมี่ดิ้นไปมาเพราะความอึดอัด และเผลอโอบรอบคอเขาโดยไม่รู้ตัว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”
“หยุดดิ้นได้แล้ว” ฉู่เฉินซีพูดด้วยเสียงแหบพร่า มือใหญ่เริ่มบีบนวดเอวเธออย่างซุกซน “ถ้าเธอยังขืนยั่วยวนพระที่อดทนมาครึ่งเดือนกว่าๆอยู่อย่างนี้ ระวังพระจะกินเธอเข้านะ”
“ในเมื่อเป็นพระแล้วก็อย่าคิดจะกลับไปสู่ทางโลกอีกเลย” หลินเวยมี่ซุกอยู่ในอกของเขา สามารถรู้สึกถึงตัวเขาได้
เพราะว่าเธอใส่แค่ชุดนอน ตอนนี้เธอเลยรู้สึกเขินมาก ยิ่งหลังจากได้รู้สึกถึงตัวเขาแล้ว
“ถ้าฉันไม่กลับสู่ทางโลกแล้วเธอจะเป็นยังไงล่ะ” เขาก้มลงจูบเธอเบาๆ เพียงได้สัมผัสก็ยากจะห้ามใจ
หลินเวยมี่เม้มปาก พื้นที่ที่คับแคบบวกกับท่านั่งตอนนี้ ทำให้เธอแทบไม่กล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
“จะขึ้นไปข้างบนไหม”
“ไหนเธอบอกว่าไม่ให้ฉันอยู่ที่บ้านเธอไง”
หลินเวยมี่ปัดมือเขาออกอย่างหดหู่ “ถ้านายไม่อยากขึ้นไป งั้นฉันขึ้นไปเอง เสี่ยวหลงอยู่ในบ้านคนเดียวฉันไม่วางใจ”
“ลูกผู้ชายทั้งคนมีอะไรไม่น่าวางใจกัน แล้วเธอวางใจฉันหรือไง” มือของฉู่เฉินซีโอบแน่นขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่อยากปล่อยเธอไป
หลินเวยมี่ใช้นิ้วจิ้มอกของเขา “ ผู้ชายขี้ระแวง ลูกชายตัวเองแท้ๆยังหึงได้ลงคออีกเหรอ”
“ถ้าเขาไม่ใช่ลูก ฉันคงไม่ยอมให้เขาอยู่ใกล้เธอได้ทุกวันหรอก”
“ขี้ระแวง” หลินเวยมี่บ่นพึมพำอยู่คำเดิม รีบร้อนเปิดประตูรถแล้วออกไป ถอนหายใจทีหนึ่ง “จะมาไม่มา ถ้าไม่มาฉันขึ้นไปแล้วนะ”
“ในเมื่อเธอเอ่ยเชิญฉันอย่างจริงใจแบบนี้แล้ว ถ้าฉันไม่ขึ้นไปคงเป็นการไม่ให้เกียรติเธอน่ะสิ” ฉู่เฉินซีหัวเราะคิกคักแล้วก้าวลงจากรถ ดึงมือเธอเอาไว้
“ช่างเป็นคนที่หน้าไม่อายจริงๆเลย”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในลิฟต์ นิ้วอันซุกซนของฉู่เฉินซีเริ่มเขี่ยฝ่ามือของเธอเล่น จงใจยั่วเธอ หลินเวยมี่ถลึงตาใส่เขาไปหนึ่งที แล้วจึงเปิดปากช้าๆ “เดี๋ยวนายไปนอนห้องฉัน ฉันจะไปนอนที่ห้องเสี่ยวหลง”
ฉู่เฉินซีสีหน้าเคร่งตึงทันที พูดขึ้นอย่างหดหู่ “เธอยังจะแยกห้องนอนกับฉันอีกเหรอ”
“ฉู่เฉินซี ฉันเพิ่งค้นพบว่า ฝีปากนายนี่ไม่ใช่เลวร้ายแบบธรรมดาเลยนะ”
เขาไม่ได้พูดอะไร แล้วกดปุ่มของลิฟต์อย่างกะทันหัน ทำให้ลิฟต์หยุดลงทันที
“นี่ นายจะทำอะไรของนายอีก”
“แล้วเธอคิดว่าไงล่ะ” เขายักคิ้ว แล้วดันเธอไปชิดกับมุมลิฟต์
ร่างอันสูงใหญ่บดบังแสงสว่างไว้ ทำให้ทั้งตัวของเธอตกอยู่ในเงามืด ใบหน้าของเขาชัดเจนมาก มักจะให้ความรู้สึกเหมือนว่ามีรอยยิ้มชั่วร้ายอยู่เสมอ
“เวยมี่ คิดถึงฉันหรือเปล่า” เธอเม้มมุมปากก้มหน้าลงต่ำ นิ้วมือถูไปมาตรงหลังคอ ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นอยู่บนใบหน้าของเธอ
“นายก็อยู่ตรงหน้าฉันแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมฉันยังต้องคิดถึงนายอีก” หลินเวยมี่ตอบอย่างขอไปที แต่กลับเบือนหน้าไปอีกทางอย่างเลิ่กลั่ก พยายามหลบเลี่ยงลมหายใจของเขา
“ตอบไม่ตรงคำถาม ขอฉันคิดก่อนว่าควรลงโทษเธอยังไงดี” เขาพูดพร้อมยิ้มอย่างสบายอารมณ์แล้วก้มหน้าลงต่ำ ใช้นิ้วทาบลงบนริมฝีปากของเธอ “จูบฉันสิ”
“ไม่”
“ดื้อเสียจริง งั้นฉันเอง” เขาเชยคางของเธอขึ้นมา แล้วก้มหน้าลงจูบเธอ แยกฟันเธอออกอย่างแผ่วเบาแล้วรุกล้ำเข้าสู่อาณาเขตของเธอ เก็บเกี่ยวทุกความหวานทั้งหมดของเธอ
ให้กลิ่นของเขาปกคลุมไปในทุกๆซอกมุมของเธอ เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของของเขา
ตัวของหลินเวยมี่เองก็ยังไม่เข้าใจแน่ชัดว่าอยากจะผลักเขาออก หรืออยากจะเข้าใกล้เขากันแน่
ลมหายใจถูกเขาช่วงชิงไปแล้ว อากาศในพื้นที่เล็กๆนั้นเริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ
“จ๊วบ” ฉู่เฉินซีผละออกจากเธอ
มือใหญ่ตั้งใจรุกล้ำแล้วดันให้เธอเข้าไปชิดกับมุมอีกครั้ง
จูบอันละเอียดอ่อนและเสน่ห์หาแผ่ซ่านอยู่ทั่วร่างของเธอ แผดเผาทุกอณูสัมผัสของเธอ ปลดเปลื้องชุดนอนของเธอทิ้งไป รูปร่างทุกส่วนของเธอปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
ในแววตาทั้งคู่มีเปลวไฟรุกโชนชวดช่วง จ้องมองดวงตาอันเลื่อนลอยของเธอ แล้วบีบคั้นเธอเบาๆ
“คุณผู้หญิง โอบกอดฉันสิ” เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
หลินเวยมี่ฟังคำพูดของเขาแล้วโอบเอวเขาไปตามสัญชาตญาณ
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ดวงตาของหลินเวยมี่เลื่อนลอย บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อบางๆ มือน้อยๆโอบรอบเอวเขาไว้แน่น
ฉู่เฉินซีใช้แรงยกตัวเธอขึ้น มือใหญ่หนุนเธอเอาไว้
ตอนที่ลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง ใบหน้าเล็กๆของหลินเวยมี่ก็แดงและพิงอยู่บนตัวของเขา เส้นผมข้างๆหน้าผากเปียกชื้น ทั้งตัวอ่อนระทวยไปหมด
ฉู่เฉินซีกอดเธอไว้แล้วเปิดประตู แต่ในวินาทีที่ปิดประตูก็ดันเธอแนบประตูอีกครั้ง แล้วเริ่มจูบเธออย่างเร่งรีบและอ้อยอิ่งอีกครั้ง
หลินเวยมี่ปิดเปลือกตา แล้วสัมผัสถึงความรู้สึกซาบซ่านทั่วตัวจากจูบของเขา ราวกับคลื่นที่ซัดสาดเข้าสู่กลางใจอันเงียบสงบของเธอ
จากนั้นก็มาอีกเป็นละรอกๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“คุณผู้หญิง อยากจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัวจริงๆ” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของเขาดังขึ้นข้างหูเธอ ความรู้สึกร้อนรุ่มทำให้เธอเผลอเบือนหน้าหนี แต่วินาทีต่อมาก็ถูกความร้อนโอบล้อมอีกครั้ง เขาค่อยๆดึงดูด ตรึงเธอไว้ ไม่ให้เธอมีโอกาสขัดขืน
“ฉู่เฉินซี…..” หลินเวยมี่เรียกชื่อเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่เสียงนี้เมื่ออยู่ในหูของฉู่เฉินซี กลับเหมือนแมวน้อยที่กำลังส่งเสียงร้องอยู่ในใจเขา ทำให้เขาจากไปไหนไม่ได้
“ช่างเป็นแมวน้อยที่ชอบทรมานคนอื่นจังเลยนะ” พรมจูบลงบนริมฝีปากเธออีกหลายครั้ง ก่อนจะปล่อยเธอด้วยความพึงพอใจ
ก่อนจะถามต่อว่า “จะไม่นอนกับฉันจริงๆเหรอ”
คำพูดของฉู่เฉินซีนั้นตรงประเด็น หลินเวยมี่หน้าแดง ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปทางห้องเสี่ยวหลง
“เหมียวน้อย ไม่มาจริงๆเหรอ” ฉู่เฉินซีดึงข้อมือเธอไว้แล้วถามอีกรอบ
“เมื่อกี้ก็…..” หลินเวยมี่ก้มหน้าลงต่ำ เม้มปากอย่างเลิ่กลั่ก สายตามองไปอีกทางด้วยความปั่นป่วน
“เมื่อกี้มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น”
“ไปอาบน้ำเย็นซะ” หลินเวยมี่หมุนตัวก้าวเท้าเดินเข้าห้องเสี่ยวหลงไปอย่างไร้เยื่อใย
“ผู้หญิงใจร้าย” ฉู่เฉินซีถอนหายใจ แล้วเดินเข้าห้องของเธอ อาบน้ำเย็นไปสองรอบถึงจะเริ่มสงบลงได้
นอนอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยกลิ่นของเธอ ทำให้ฉู่เฉินซีนอนไม่หลับ สองแขนสอดไว้ข้างหลังหัว ลืมตามองดูแสงไฟบนเพดาน ไม่รู้สึกถึงความง่วงเลยสักนิด
ภายในบ้านตระกูลฉู่ Elisนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกเงียบๆ หดตัวเป็นก้อน ทอดมองไปยังดวงจันทร์ที่อยู่ห่างไกล
“Elis” เสียงเท้าดังขึ้น เสื้อผ้าบนตัวของฐาลี่ยังไม่เปลี่ยน เงาทั้งร่างสง่างามและอ่อนโยนภายใต้แสงจันทร์
“ทำไมยังไม่ไปนอนอีกล่ะ”
“พี่คะ ฉันรู้สึกเสียดายแทนพี่จริงๆ” Elisถอนหายใจอีกครั้ง ถึงเธอจะอยากสู้กับฐาลี่ในทุกๆเรื่อง แต่เมื่อเห็นหล่อนต้องเอาตัวเข้าแลกกับการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
“ไม่มีอะไรน่าเสียดายหรอก ไปนอนเถอะ” บนใบหน้าฐาลี่ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน และตบบ่าของเธอเพื่อปลอบโยน
“พี่คะ พี่เต็มใจแต่งงานกับฉู่ชิ่งเจ๋อเหรอคะ” Elisทอดมองไปที่หล่อน ขอแค่บนใบหน้าของฐาลี่ฉายแววไม่เต็มใจเพียงน้อยนิด เธอก็จะทุ่มเทสุดกำลังของตัวเองเพื่อทำลายงานแต่งของพวกเค้าเอง
เพียงแต่ฐาลี่เองก็เดาความคิดของเธอออก และบนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มบาง
“Elis เรียนรู้ที่จะเติบโตซะ อย่าทำตัวเสียมารยาทแบบวันนี้อีกนะ”
“แต่ฉันรู้สึกว่าพี่ไม่มีความสุข” Elisก้มหน้าลงต่ำ พูดขึ้นอย่างหดหู่
“เธอรู้ได้ไงว่าพี่ไม่มีความสุข อย่าคิดมากเกินไปเลย” ฐาลี่กุมมือของเธอไว้ และยิ้มอย่างอบอุ่น
Elisถอนหายใจ พยักหน้าอย่างหมดหนทาง ถึงจะรู้ว่าฐาลี่ไม่ได้เต็มใจ แต่เธอจะทำอะไรได้อีก จะเข้าไปหยุดการแต่งงานจริงๆหรือไง
แต่ว่า เธอก็รู้สึกว่ามีแต่ฉู่เฉินซีที่คู่ควรกับฐาลี่ คนอื่นไม่ว่าใครก็ไม่คู่ควรทั้งนั้น
แล้วถ้าเป็นแบบนั้น จะยังมีโอกาสอะไรที่จะทำให้ทั้งสองคนกลับมาอยู่ร่วมกันได้อีกครั้งล่ะ ในหัวปรากฏเรื่องวางยาหลินเวยมี่ขึ้นมา บนใบหน้าElisปรากฏรอยยิ้มขึ้นทันที อันที่จริง นี่ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งเหมือนกัน