บทที่ 229 พวกเธอช่างมีความสุข
บนป่าทึบ กู้จุนเฟิงหาที่นั่งสักที่แล้วนั่งลงไป สายตาทอดมองไปไกลอย่างว่างเปล่า รอบตัวมีแต่เสียงใบไม้ร่วงที่ปลิวไสว
นอกนั้นต่างก็เงียบสงัด ไม่ได้ยินเสียงอื่นๆอีกเลย
พระอาทิตย์ตกทางทิศใต้ แสงของดวงอาทิตย์ส่องกระทบใบหน้าของเขา ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า มือขยำใบไม้ใบหญ้ารอบตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง ทั่วทั้งตัวปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของน้ำตาที่ทำให้คนรู้สึกกลัว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว เสียงเท้าที่แผ่วเบาดังมาจากทางด้านหลัง เป็นเสียงฝีเท้าแผ่วเบามาก จนสามารถรับรู้ได้ว่าผู้ที่เข้ามาระมัดระวังขนาดไหน
กู้จุนเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย บนใบหน้ากลับปรากฏร่องรอยแห่งความเศร้าหมอง แล้วถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง
“เธอมาแล้วเหรอ”
เสียงนิ่งเรียบดังขึ้นท่ามกลางพื้นที่โล่งกว้าง เสียไม่ได้ดังมาก แต่ก็เพียงพอที่จะให้ผู้ที่อยู่ด้านหลังได้ยิน
เสียงฝีเท้าหยุดลง หลินซินหยานจ้องมองแผ่นหลังของเขา คิ้วที่ขมวดขึ้นปรากฏแววไม่สบอารมณ์
“ทำไมถึงนัดมาเจอที่นี่ล่ะ”
กู้จุนเฟิงหมุนตัวกลับช้าๆ มองไปที่เธอด้วยสีหน้าเยือกเย็น สะท้อนภาพไม่สบอารมณ์ของเธอเข้าสู่สายตา
“หลินซินหยาน เธอไม่รู้เหรอว่าทำไมฉันถึงนัดเธอมาเจอกันที่นี่”
ถึงแม้ว่าสีหน้าเขาจะไม่ได้แตกต่างอะไรจากช่วงเวลาปกติ แต่เวลานี้กลับทำให้หลินซินหยานรู้สึกหวั่นกลัวจากภายใน เขาดูสงบนิ่งเกินไป
ก่อนมาที่นี่หลินซินหยานเองก็รู้แล้วว่ากู้จุนเฟิงรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว เขาไม่ได้คำรามหรือระบายความโกรธใส่เธอเลย แต่กลับนัดเธอมาเจออย่างเงียบสงบแบบนี้ สิ่งที่เดิมทีควรจะปกติในเวลานี้กลับกลายเป็นไม่ปกติไปโดยปริยาย
หลินซินหยานสูดหายใจเข้าลึกๆทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “นายรู้หมดแล้วใช่ไหม”
กู้จุนเฟิงไม่ได้สนใจคำพูดของเธอ แต่กลับพูดต่อ “หลินซินหยาน เธอว่าเขาลูกนี้เป็นยังไงบ้าง สวยใช่ไหม ใบเมเปิลร่วงหล่นเต็มพื้น ช่างสวยงามจริงๆ”
หลินซินหยานขมวดคิ้ว แต่กลับรู้สึกว่ามีไอเย็นแผ่ซ่านมาจากปลายเท้าค่อยๆคืบคลานขึ้นมา และเริ่มรู้สึกว่าจิตใจของกู้จุนเฟิงเริ่มไม่ปกติแล้ว
“กู้จุนเฟิง ที่นายเรียกฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะมาคุยเรื่องใบเมเปิลกับฉันงั้นเหรอ”
“เป็นผู้หญิงขี้โมโหมันไม่ดีนะ” กู้จุนเฟิงจ้องหน้าหล่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทันใดนั้นหลินซินหยานก็รู้สึกขนลุกไปหมด ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก และกลัวมากด้วย รู้สึกว่าตอนนี้กู้จุนเฟิงบ้าไปแล้ว ไม่ปกติแล้ว
“นายมองว่าฉันเป็นผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่ นอกจากตอนอยู่บนเตียงแล้วนอกนั้นนายก็ทำเหมือนฉันเป็นเครื่องจักรไม่ใช่หรือไง เครื่องจักรที่ใช้งานได้” หลินซินหยานพูดอย่างเศร้าสร้อยเล็กน้อย
กู้จุนเฟิงเพียงแค่จ้องมองเธอเงียบๆ แต่สีหน้าค่อยๆบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ
“ใช้งาน? แล้วเธอล่ะ หลอกฉันมาตั้งนานหลายปี เธอไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างเหรอ”
หลินซินหยานรู้สึกโล่งอก อย่างน้อยเขาก็ยอมพูดเรื่องนี้สักที และนั่นก็หมายความว่า จิตใจของเขายังถือว่าปกติอยู่
“ตอนแรกฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนายจริงๆนะ แต่นายเอาแต่คิดที่จะถอนตัว ฉันก็เลยไม่มีทางเลือก”
“ไม่มีทางเลือก? หลินซินหยาน ฉันขอถามเธออีกครั้ง เธอรู้สึกว่าที่นี่ดีหรือเปล่า” กู้จุนเฟิงค่อยๆลุกขึ้นยืน สายตาทอดมองไปที่เธออย่างเลื่อนลอย
หลินซินหยานก้าวถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณ แล้วหัวเราะแห้งๆ “ที่นี่ก็ไม่แล้วมั้ง ทิวทัศน์ไม่เลว”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ที่นี่ทิวทัศน์สวยมาก ฝังเธอไว้ที่นี่ก็คงไม่ถือว่าเอาเปรียบเธอเกินไป”
โดยที่หลินซินหยานยังไม่ทันได้รู้ตัว กู้จุนเฟิงก็พุ่งเข้าไป ทั้งคนล้มลงไปกองบนใบเมเปิล กู้จุนเฟิงบีบคอของเธอแน่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“นาย…..นายจะทำอะไร นายจะฆ่าฉันเหรอ” หลินซินหยานมองเขาอย่างหวาดกลัว ดวงตาสะท้อนภาพใบหน้าอันดุร้ายของกู้จุนเฟิง
“เธอสมควรตาย” เขาใส่แรงเต็มที แทบอยากจะบีบเธอให้เละคามือ เมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่ต้องทนทรมานมานานหลายปี สิ่งเลวร้ายที่คุณแม่ต้องพบเจอ เขาก็แทบอย่างจะฆ่าทุกคนให้ตายไปเลย
“กู้จุนเฟิง นายจะฆ่าฉันไม่ได้นะ ฉันยังมีประโยชน์กับนายนะ แค่กๆ” หลินซินหยานหายใจหอบ ใบหน้าแดงก่ำ
ตอนนี้เวลานี้กู้จุนเฟิงจะฟังเข้าหูซะที่ไหน ในใจคิดแค่เพียงว่าอยากจะฆ่าเธอให้ตาย ข้อมือยังใส่แรงเข้าไปไม่หยุด
“อย่า….อย่าฆ่าฉัน แค่กๆ” หลินซินหยานตะโกนอย่างไร้เรี่ยวแรง ดวงตาแดงก่ำเบิกโพลง “ฉัน แค่กๆ ท้องลูกของนายอยู่ อย่าฆ่าฉัน”
บนใบหน้าของกู้จุนเฟิงมีแววชะงักไปชั่วครู่ และเผลอผ่อนแรงที่มือลง
หลินซินหยานไอออกมาอย่างยากลำบาก แววตาเผยแววหวาดกลัว แต่ที่มากกว่าก็คือดูแคลนกู้จุนเฟิง
“ใช้ไม่ได้เอาซะเลย พบเจอปัญหาแต่กลับไม่คิดหาวิธีแก้ แต่กลับเลือกที่จะทำลายทุกอย่าง” ยิ่งเวลานี้หลินซินหยานก็ยิ่งอยากจะเอากู้จุนเฟิงไปเปรียบเทียบกับฉู่เฉินซี
แล้วยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งทำให้ดูแคลนกู้จุนเฟิงเข้าไปใหญ่ ถ้าต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ฉู่เฉินซีคงไม่มีทางเลือกที่จะฆ่าเธอแน่
“เธอตั้งท้องจริงๆเหรอ” กู้จุนเฟิงสีหน้าย่ำแย่ เอ่ยถามเสียงต่ำ
หลินซินหยานหัวเราะเสียงเย็นหนึ่งที ค่อยๆลุกขึ้นมายืนพิงกับต้นเมเปิลต้นหนึ่ง
“กู้จุนเฟิง นายนี่โง่จนดูน่ารักเลยนะ ฉันจะไปเก็บลูกนายเอาไว้ได้ยังไง” เธอมองเขาอย่างดูถูก ในดวงตาเผยแววเยาะเย้ย ล้วงเอาบุหรี่ซองหนึ่งออกจากกระเป๋ามาจุดสูบ
หรี่ตาแล้วสูบเข้าไปคำหนึ่ง จ้องมองไปที่กู้จุนเฟิงที่แววตาไร้วิญญาณแล้วพูดต่อ “กู้จุนเฟิง เวลาแบบนี้นายควรจะทำตัวเองให้ยิ่งใหญ่เพื่อแก้แค้นตระกูลฉู่ไม่ใช่หรือไง แล้วยังจะมีเวลามาทำร้ายตัวเองอยู่ที่นี่อีกเหรอ”
กู้จุนเฟิงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่เธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยถามเสียงเย็น “เธอมีวิธีอะไรดีๆงั้นเหรอ”
“วีธีก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่ก็ต้องดูว่านายจะเลือกยังไง” หลินซินหยานหัวเราะเสียงเย็น ราวกับไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่กู้จุนเฟิงบีบคอเธอเมื่อกี้เลย
“ฉันจะให้ตระกูลฉู่ชดใช้ในสิ่งที่สมควรชดใช้ทั้งหมด”
“ดี” หลินซินหยานยิ้มออกมา ดวงตาเผยแววดุเดือดเชือดเฉือน
บนยอดเขาเสียงใบเมเปิลปลิวว่อนดังขึ้นไม่หยุด คนสองคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นเมเปิลสบตาของอีกฝ่าย แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ที่คาดเดาอารมณ์ใดๆไม่ออก
หลินเวยมี่กับรั่วหรานนั่งคุยกันทั้งบ่ายแล้วยังคุยต่ออีกทั้งวัน แน่นอนว่าทั้งสองคนจะไม่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องราวในอดีตเลย หนึ่งก็คือไม่รู้จะเปิดปากยังไงดี อีกหนึ่งก็คือพูดไม่ออก
ดังนั้นจะพูดให้ถูกก็คือ ทั้งสองต่างก็เข้าใจกันโดยปริยาย
หลินเวยมี่หาวขึ้นมาถึงได้พบว่าตอนนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว เมื่อคิดได้ว่าเสี่ยวหลงยังไม่มีคนไปรับ ก็รู้สึกวิตกขึ้นมาทันที เลยรีบร้อนวิ่งออกไป
หน้าประตูใหญ่ ฉู่เฉินซีมือข้างหนึ่งถือกระเป๋า ส่วนมืออีกข้างจูงมือเสี่ยงหลงเดินเข้ามา มองดูหลินเวยมี่ที่ท่าทางวิตกกังวลแบบนั้นก็เผลอหัวเราะออกมา
“ฉันไปรับเขากลับมาแล้ว”
หลินเวยมี่ได้เห็นเสี่ยวหลงแล้วก็รู้สึกโล่งอก ย่อตัวลงตรงหน้าเสี่ยวหลงแล้วอธิบายเสียงเบา “เสี่ยวหลง วันนี้หม่าม้าไม่ได้ไปรับลูก ขอโทษนะ”
เสี่ยวหลงไม่ได้ใส่ใจอะไร เงยหน้าขึ้นมองไปที่ฉู่เฉินซีทีหนึ่งก่อนจะพึมพำเสียงเบาข้างๆหูหลินเวยมี่ “หม่าม้า เพื่อนๆของเสี่ยวหลงต่างก็บอกว่าป๊ะป๋าของเสี่ยวหลงหล่อมากเลยล่ะ”
หลินเวยมี่เงยหน้ามองไปทางฉู่เฉินซี ภาพลักษณ์ที่มีสไตล์ รูปร่างที่สูงโปร่ง ซึ่งก็หล่อจริงๆ
“หม่าม้าตามีแววมากเลยใช่ไหมล่ะ”
เสี่ยวหลงแอบยกนิ้วโป้งให้ด้วยสีหน้าชื่นชม
หลินเวยมี่ถูกใบหน้าอันไร้เดียงสาทำให้รู้สึกมีความสุข เลยจูบแก้วเขาไปหนึ่งที
“เสี่ยวหลง ลูกน่ารักเกินไปแล้ว”
“หม่าม้า มีแต่น้ำลาย” เสี่ยวหลงใช้มืออวบอ้วนเช็ดแก้ม แล้วมองเธอด้วยสีหน้ารังเกียจ
หลินเวยมี่หัวเราะ แล้วพูดต่อว่า “เสี่ยวหลง ลูกชอบที่นี่ไหมครับ คุณยายของเสี่ยวหลงอยู่ที่นี่นะ วันนี้หม่าม้าก็เพิ่งได้มาหาเขาเอง”
“คุณยาย เสี่ยวหลงก็มีคุณยายด้วยเหรอ” เสี่ยวหลงเบิกตาโตแล้วรีบถามออกไป
หลินเวยมี่พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “อืม แต่ว่าตอนนี้คุณยายไปพักผ่อนแล้ว อีกเดี๋ยวค่อยไปเจอนะ”
“เอาล่ะ คนตัวเป็นๆอย่างฉันยืนทื่ออยู่ตรงนี้มาครึ่งวันแล้ว พวกเธอสองแม่ลูกตั้งใจเมินฉันใช่ไหม” ฉู่เฉินซีเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ด้วยคำพูดที่ไม่ค่อยพอใจ
แม่ลูกทั้งสองเหลือบไปมองพร้อมกันด้วยสายตาดูถูก
ฉู่เฉินซียกมุมปาก ถอนหายใจออกมาหนึ่งที ดูท่าว่าต่อไปนี้จุดยืนและสถานะของเขาของไม่เหลืออีกแล้ว
“สวัสดี เวยมี่ นี่ลูกชายของเธอเหรอ” ฐาลี่มองไปที่เสี่ยวหลงอย่างเซอร์ไพรส์แล้วถามขึ้น เข้าไปบีบแก้มป่องๆของเสี่ยวหลง “น่ารักจังเลย”
“คุณน้า คุณก็สวยมากเลยครับ” เสี่ยวหลงตอบอย่างใสซื่อ
ฐาลี่ถูกเสี่ยวหลงชมก็ดีใจใหญ่ เลยย่อตัวลงไปบีบแก้มเขา “ปากหวานจังเลยนะ เวยมี่ ทำไมเธอถึงได้คลอดลูกชายได้น่ารักขนาดนี้นะ”
“แน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าได้ยีนดียังไงล่ะ”
ไม่รอให้หลินเวยมี่ได้ตอบ ฉู่เฉินซียืนตอบอย่างภาคภูมิใจอยู่ข้างๆ หลินเวยมี่ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ส่งสายตาตักเตือนไปให้
ฉู่เฉินซีกระแอมหนึ่งที แล้วทำตัวเป็นอากาศอยู่ตรงนั้นต่อ
“เสี่ยวหลง ฉันรับหนูเป็นลูกทูนหัวดีไหมครับ” ฐาลี่บีบแก้มป่องของเสี่ยวหลงแล้วพูดขึ้น ในช่วงเวลาปกติเธอไม่ค่อยมีโอกาสได้คลุกคลีกับพวกเด็กๆ ดังนั้นพอได้เจอลูกของหลินเวยมี่เลยรู้สึกชอบใจมาก เสี่ยวหลงเงยหน้าขึ้นมองไปทางหลินเวยมี่ แล้วถามอย่างระมัดระวัง “แต่ว่าหม่าม้าจะโกรธไหมครับ”
“หม่าม้าของหนูจะโกรธได้ยังไงล่ะ ต่อไปก็จะมีคนที่รักเสี่ยวหลงเพิ่มขึ้นอีกคนไงไม่ดีเหรอ”
หลินเวยมี่เองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้ฐาลี่ในมุมนี้ เลยเผลอส่ายหัว บ่งบอกถึงความเอ็นดู “เสี่ยวหลง หม่าม้าไม่โกรธหรอก”
“แม่ทูนหัว ถ้าผมบอกว่าอยากกินไอศกรีม คุณก็จะพอเสี่ยวหลงไปใช่ไหมครับ” เสี่ยวหลงเข้าไปใกล้ชิดฐาลี่แล้วพูดพร้อมเสียงหัวเราะที่ข้างหูหล่อน
ฐาลี่รีบพยักหน้ารับ และรับปากเสียงเบา “แม่ทูนหัวจะต้องพาหนูไปแน่นอน”
ฉู่เฉินซีวางมือบนไหล่ของหลินเวยมี่ แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เธอดูลูกชายฉันสิ มีดวงเรื่องผู้หญิงตั้งแต่เด็กเลยใช่ไหม เหมือนฉันตอนเด็กเปี๊ยบเลย”
หลินเวยมี่หันหน้าไปมองฉู่เฉินซี “ฉู่เฉินซี ฉันเพิ่งพบว่า หนังหน้านายนี่หนาใช้ได้เลยนะ”
“หนังหน้าหนาไม่ดีเหรอ ถ้าหนังหน้าไม่หนาจะจีบผู้หญิงไร้หัวจิตหัวใจอย่างเธอติดได้ยังไง” เขาขยับเข้าไปชิดแล้วจงใจหายใจรดต้นคอของเธอ
“ฉันไม่มีหัวจิตหัวใจ? นายทำไมไม่บอกว่านายเจ้าเล่ห์บ้างล่ะ ผู้ชายเจ้าเล่ห์”
“แบบนั้นยิ่งดีเลยไม่ใช่เหรอ เป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเราเหมาะกันมาก เป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ” ฉู่เฉินซีตั้งท่าดึงหลินเวยมี่เข้ามาในอ้อมกอด แล้วพิงไปทางเธอ
เมื่อเห็นว่ากำลังจะถูกเขาจูกเข้าแล้ว ข้างๆหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเสี่ยวหลงลอยมา “น่าอาย น่าอาย ป๊ะป๋าหม่าม้าแอบเล่นหอมหอม”
หลินเวยมี่หน้าแดงไปถึงคอ สีหน้ามีพิรุธและกระแอมออกมาสองที หันไปมองคนที่อยู่รอบๆ
ฐาลี่กับเสี่ยวหลงต่างก็กำลังมองเธออยู่ สีหน้าคลุมเครือ
“บนหน้าฉันมีสิ่งสกปรกติดอยู่สินะ ฉันขอตัวไปล้างก่อน” หลินเวยมี่รีบเร่งเดินไปทางห้องน้ำ
ฐาลี่มองไปทางฉู่เฉินซีอย่างยิ้มๆ สายตาของฉู่เฉินซีมองตามหลังหลินเวยมี่ไปตลอดทาง ไม่แม้แต่จะหันไปมองเธอเลยสักครั้ง ภายในดวงตาของเขามีพื้นที่จำกัดเฉพาะสำหรับหลินเวยมี่เท่านั้น
ตอนนี้ฐาลี่รู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนมากจริงๆ ทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่กลับไม่ส่งผลกระทบถึงความรู้สึกเลย
แล้วตอนนี้เธอก็เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่แตกต่างระหว่างเธอกับหลินเวยมี่ ทั้งชีวิตนี้เธอกับฉู่เฉินซีคงไม่มีทางเข้ากันได้แบบนี้แน่ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอก็เหมือนกับชีวิตการทำงาน ทั้งน่าเบื่อ และจริงจัง
“พวกนายมีความสุขกันจริงๆ” ฐาลี่ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย