บทที่ 223 สมน้ำสมเนื้อกัน
ฉู่เฉินซีถอนหายใจออกมา ถึงแม้สีหน้าของคุณท่านแก่ฉู่จะดูแย่ แต่ว่าเขาพูดแบบนี้ทำให้เห็นว่าเขาตกลงในคำขอของเขา ทันใดนั้นเขาจึงรู้สึกโล่งอกไปไม่น้อย ความกังวลที่อยู่ใบหน้าของเขานั้นหายไป
“เฉิน ถึงแม้ฉันจะตกลง แต่ว่าหากน้าหรานของแกไม่มีปฎิกริยาอะไร! ฉันจะถือว่าฉันถามแกแล้วนะ!”
“น้าหรานไม่มีทางเป็นอะไรไปหรอก พ่อวางใจเถอะ” ฉู่เฉินซียิ้มอ่อนๆ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความข้องใจที่มีอยู่ในหลายปีมานี้ สุดท้ายก็สามารถไขข้อสงสัยทุกอย่าง
คุณท่านแก่ฉู่ถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ถ้าหากเป็นได้ไป เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น เขาก็ไม่อยากให้มันรั่วหรานได้มาพบเจอ นั่นมันโหดเหี้ยมเกินไปสำหรับรั่วหราน
จากนั้นก็ค่อยๆเดินไปตรงหน้าต่าง ดวงตาทั้งสองข้างเปี่ยมล้นไปด้วยความหมองเศร้า
ฉู่เฉินซีผลักประตูของรั่วหรานออก น้าหรานยังไม่ได้หลับ เธอไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอมองเห็นฉู่เฉินซีจึงคลี่ยิ้มออกมาทันที
“เฉิน มาแล้วหรอ”
“น้าหราน หลายวันมานี้เป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกคุ้นชินอยู่ไหม?” ฉู่เฉินซีนั่งอยู่ข้างกายเธอ อาการป่วยของน้าหรานเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เขาก็กลัวว่าถ้าเกิดได้เจอหลินเวยมี่แล้วเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง
“น้าสบายใจดีมาก” รั่วหรานคลี่ยิ้มแล้วปัดเศษผมที่เอาไปแนบข้างหู “เฉิน หาหลินเวยมี่เจอแล้วใช่ไหม?”
“งั้นฉันจะได้เจอเธอเมื่อไหร่?” คุณหรานจับมือของฉู่เฉินซีไว้ด้วยความตื่นเต้นแล้วถามขึ้น
“เดี๋ยวช่วงนี้ผมจะจัดการให้นะครับ น้าหรานวางใจเถอะ เวยมี่อยากเจอน้าตั้งนานแล้ว ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่นอน”
คำพูดของฉู่เฉินซีทำให้สีหน้าของรั่วหรานเต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นหายไปทันที จากนั้นก็พูดคุยกันไปสักพักแล้วเอ่ยพูดขึ้น “เธอต้องโกรธแค้นฉันมากแน่นๆ ถึงแม้ตอนนั้นไม่ใข่ว่าฉันเลือกที่จะถอดทิ้งเธอ แต่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดก็เพราะฉัน”
“น้าหราน ยังไงเวยมี่ก็คือลูกสาวของน้า ต้องเข้าใจน้าแน่นอน” ฉู่เฉินซีตบมือเพื่อปลอบโยนเธอ
รั่วหรานพยักหน้า แต่สีหน้ายังคงดูกังวลเล็กน้อย
ในร้านกาแฟสุดหรูแห่งหนึ่ง หลินเวยมี่สวมใส่ชุดกระโปรงที่ขาวบริสุทธิ์แล้วนั่งอยู่ตรงที่นั่งริมหน้าต่างอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่มาร้านกาแฟนี้จะชอบนั่งริมหน้าต่าง
เพราะมักจะชอบที่จะได้เห็นสีหน้าของผู้คนที่เดินสัญจรไปมา
“ขอบคุณนะที่มาสาย”
เสียงอันอ่อนโยนของคนๆหนึ่งดังขึ้น หลินเวยมี่หันกลับไปมอง แล้วเห็นสวมใส่ชุดทำงาน แล้วยังตัดผมสั้น ดูๆแล้วเธอสมกับเป็นนักธุรกิจหญิงจริงๆ
“ไม่เป็นไร ฉันก็พึ่งถึง” หลินเวยมี่กลับประเทศก็ไม่ได้คิดว่าฐาลี่จะติดต่อเธอแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกคาดคิดไม่ถึงจริงๆ
ฐาลี่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ แล้วสั่งน้ำผลไม้มาหนึ่งแก้ว จากนั้นก็ค่อยเอ่ยพูด
“เรื่องครั้งก่อนต้องขอโทษจริงๆ จริงๆฉันตกลงกับเธอ แต่หลังๆมาฉันทำไม่ได้”
“ไม่เป็นไร ฉู่เฉินซีช่วยฉันจัดการแล้ว” หลินเวยมี่ยิ้มอ่อนๆขึ้น มักจะรู้สึกครั้งนี้ที่ได้เจอฐาลี่อีกครั้ง ทำให้รู้สึกว่าเธอมีบางครั้งที่เปลี่ยนไป
ฐาลี่ดื่มน้ำผลไม้ไป แล้วค่อยเอ่ยพูดขึ้น “เธอน่าจะรู้เรื่องฉันแล้วใช่ไหม?”
“เรื่องอะไร?” หลิวเวยมี่เงยหน้าขึ้นอย่างข้องใจ สีหน้าดูสงสัย ไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรอยู่
ฐาลี่ก็รู้สึกคาดคิดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน จากนั้นก็ยิ้มขึ้น “ฉันจะแต่งงานแล้ว”
สีหน้าที่หลินเวยมี่จึงแปรเปลี่ยนไปจนดูแย่มากๆ ทั้งลำตัวของเธอดูเกร็ง เมื่อวานฉู่เฉินซียังบอกเธอว่าเขาจะอยู่กับเธอ ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ฉู่เฉินซีโกหกเธออีกแล้วใช่ไหม? คิดถึงแบบนี้ ในใจลึกๆจึงรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที
ฐาลี่เห็นหลินเวยมี่ทำสีหน้าที่ขาวซีด จึงได้หัวเราะพุ่งออกมาทันที
เธอยิ้มแบบนี้จึงทำให้หลินเวยมี่รู้สึกแปลกใจมากยิ่งขึ้น ทุกอย่างเธอทำให้กลายเป็นเรื่องที่ดูสับสนไปหมด
“เธอกลัวอะไรอยู่?”
“เปล่า ยินดีด้วยนะ” หลิวเวยมี่ฝืนกระตุกมุมปากขึ้น สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
ฐาลี่เม้มปากแล้วมองสีหน้าของเธอ แล้วดื่มน้ำผลไม้อีกหนึ่งคำ จากนั้นก็ถามอย่างแปลกใจ “หลิวเวยมี่ ฉันอยากจะรู้มากเลยว่าทำไมฉู่เฉินซีถึงได้ชอบผู้หญิงแบบเธอ”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” หลินเวยมี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ดี ในใจจึงรู้สึกวุ่นวายเพราะเรื่องที่พวกเขากำลังจะแต่งงาน
นัยน์ตาของฐาลี่ยิ้มชัดเจนกว่าเดิม “ฉันก็รู้สึกแปลกใจจริงๆ ไม่ว่าจะดูจากหน้าตาและความสามารถ ฉันก็เหนือกว่าเธอ แต่ทำไมเขาถึงไปชอบเธอได้”
“เพราะว่าคุณหวังผลประโยชน์มากเกินไป ความรู้สึกไม่ควรมีอะไรมาเจอปน” หลินเวยมีอธิบายด้วยเสียงเรียบเฉย แต่ว่ากลับพูดได้สมเหตุสมผลมาก
นัยน์ตาของฐาลี่ดูหม่นหมองลงทันที และก็ได้สัมผัสถึงสิ่งที่เธอพูด ความรู้สึกที่เธอต้องการมันเป็นแบบนี้จริงๆ ไม่ว่าเธอจะคบกับฉู่เฉินซีก็ดี หรือว่าแต่งงานกับฉู่ชิ่งเจ๋อก็ดี เธอก็ต้องมองที่ผลประโยชน์เป็นอย่างแรกก่อน
แค่ตอนนี้เธอไม่รู้จริงๆว่าอะไรที่เรียกว่าความรู้สึก เธอไม่รู้ว่าการมีความรักเป็นยังไงไปแล้ว
“เฉินก็พูดแบบนี้กับฉัน” ฐาลี่กระตุกมุมปากขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “เธอโชคดีมาก ที่สามารถแย่งเฉินไปจากฉันได้”
“โชคดี?” หลินเวยมี่กระตุกคิ้วขึ้น “ฉันโชคดีหรอ? สุดท้ายคนที่ได้แต่งงานไม่ใช่พวกเธอหรือไง? ฉันถือว่าเป็นคนที่พ่ายแพ้ที่สุดต่างหาก”
ฐาลี่คลี่ยิ้มผ่านนัยน์ตา แล้วสักพักจึงจะอธิบายขึ้น “คนที่แต่งงานกับฉันไม่ใช่เฉิน แต่เป็นฉู่ชิ่งเจ๋อ เธอน่าจะรู้จัก”
“อะไรนะ?” หลินเวยมี่รู้สึกแปลกใจ จึงได้จ้องหน้าเธอไปสามวิแล้วจึงจะได้สติกลับมา “เธอจะแต่งงานกับฉู่ชิ่งเจ๋อ? ทำไมอะ?”
“เมื่อกี้เธอไม่ได้พูดแทนฉันอยู่หรอ? ว่าฉันหวังผลประโยชน์” ฐาลี่พยักไหล่ ทำให้เห็นว่าเธอไม่ได้แคร์เลย แต่ในนัยน์ตาของเธอดูโดดเด่นมากจริงๆ
หลินเวยมี่นิ่งเฉยไม่พูดไม่จา ถึงแม้จะเป็นศัตรูหัวใจกับฐาลี่ตลอดมา แต่เธอก็ไม่ยอมให้ฐาลี่ต้องการหวังผลประโยชน์แล้วเอางานแต่งงานของตัวเองไปเข้าแลกหรอก
แบบนี้ถึงจะเป็นคนที่ไม่รับผิดชอบต่อความรู้สึก
“ทำไมต้องกดดันตัวเองด้วย? จริงๆแค่เธอหมุนตัว เธอก็จะเห็นความสุขของเธอเองแล้ว” หลินเวยมี่ส่สยหน้า แล้วนึกถึงป่ายห้าวที่ชอบทำหน้าตาที่เศร้าหมอง จริงๆว่าถ้าฐาลี่หันไปมองเขาหน่อย แล้วสามารถมองเห็นป่ายห้าว แต่เธอในตอนนี้กลับลุ่มหลงเพราะผลประโยชน์ที่จะได้รับ แม้กระทั่งได้เสพติดมันไปแล้ว
“เธอทำอะไรมากขนาดนี้ มันมีความหมายจริงๆหรอ? ต่อให้เธอจะเสียสละมากขนาดนี้ สุดท้ายคนที่ได้รับบาดเจ็บก็คือเธอเองไม่ใช่หรือไง? คนที่ไม่มีความสุขก็คือตัวเธอเอง”
ฐาลี่จึงขมวดคิ้วขึ้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาคู่นั้นสื่อให้เห็นว่าเต็มไปด้วยความสับสน
“เธอคิดดูดีๆเถอะ อย่าพึ่งทำให้ชีวิตของตัวเองต้องจบเองแบบนี้เลย” หลินเวยมี่ถอนหายใจแล้วพูดโน้มน้าวขึ้น
“ขอบใจนะ” ฐาลี่พูดขอบคุณด้วยเสียงเรียบเฉย “ฉันจะพิจารณาคำพูดของเธออีกที”
หลินเวยมี่ไม่ได้ตอบกลับใดๆ แล้วหันไปมองข้างนอก แล้วมองคนมากมายที่กำลังเดินอย่างเร่งรีบ แล้วจึงทำนัยน์ตาที่ลุ่มลึกขึ้นมา
จริงๆหลินเวยมี่เกลี่ยกล่มฐาลี่ ก็นึกถึงสิ่งที่ตัวเองต้องพบเจออยู่เหมือนกัน เธอก็เคยจบความรู้สึกอย่างไร้เยื่อใยมาก่อน และคิดว่าพอเวลานานๆไปความรู้สึกที่ไม่สามารถลืมได้ก็จะค่อยๆจืดจางไปเอง
แต่ว่ามีเพียงความรักที่รักกันทั้งสองคู่ถึงจะรู้ ว่าความความรู้สึกที่อยากจะลืมนั้นไม่ได้จืดจางลงไป แต่เป็นเพราะแต่ซ่อนความรู้สึกไว้ต่างหาก แล้วยิ่งซ่อนก็ยิ่งเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของจิตใจมากขึ้น
เวลานี้เธอคิดถึงฉู่เฉินซีมากจริงๆ พวกเขาได้เสียเวลาอันมีค่าไปนานแสนนาน เวลาที่เหลือนี้เธอต้องเห็นคุณค่าของฝ่ายตรงข้ามซะแล้ว
จากนั้นก็ได้บอกลาฐาลี่ และเธอก็เดินอยู่บนถนนใหญ่อย่างเหม่อลอย อัญมณีสีฟ้าที่แขวนอยู่บนคอของเธอถูกแสงแดดสอดส่องจนกระท้อนแสงระยิบระยับ ทันใดนั้น ก็มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอยืนอยู่ที่เดิมแล้วมองรถคันนั้นอย่างเงียบๆ พอกระจกรถลดลง ก็เห็นฉู่ชิ่งเจ๋อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“คุณหลิน บังเอิญจริงๆ”
สีหน้าที่ดูอารมณ์ดีของหลินเวยมี่ก็ได้หายไปในพริบตา แล้วเหมือนน้ำซุปอร่อยหม้อหนึ่ง แต่ขี้หนูหนึ่งก้อนกลับร่วงหล่นเข้าไปในหม้อ และฉู่ชิ่งเจ๋อเองก็คือขี้หนูก้อนนั้น
“ทำไม? ไม่รู้จักผมแล้วหรอ?”ฉู่ชิ่งเจ๋อกระตุกมุมปากขุ้น แล้วทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
“ฉันคิดว่าบนโลกใบนี้ไม่น่าจะมีเรื่องบังเอิญมั้ง?” หลินเวยมี่มองสีหน้านี้ของฉู่ชิ่งเจ๋อด้วยความขุ่นเคืองใจ เขาเหมือนสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งที่เจ้าเล่ห์ ใครก็ไม่คิดว่าวินาทีต่อไปเขาจะทำอะไร
“อ่อ? อาจจะไม่ใช่ก็ได้หรือเปล่า? มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆหรือเปล่า?”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วขึ้น แล้วค่อยๆเดินไปข้างๆรถ “ฉู่ชิ่งเจ๋อ ฉันไม่ชอบพูดทางอ้อม คุณแอบสะกดรอยตามฐาลี่ ฉันก็ไม่อยากจะรู้หรอกนะว่าทำไม แต่ได้โปรดคุณอย่ามายุ่งกับชีวิตของฉันได้ไหม?”
ฉู่ชิ่งเจ๋อไม่ได้ทำสีหน้าที่แปรเปลี่ยน และเขาทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธของหลินเวยมี่
“ขึ้นรถแล้วคุยกันหน่อยไหม?”
“คุยอะไร? ฉันกลัวว่าคุณจะลักพาตัวฉันไป” หลินเวยมี่เหลือบตามองเขา สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
ฉู่ชิ่งเจ๋อหัวเราะออกเสียง แต่ว่ารอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้เผยออกจากนัยน์ตา สีหน้าแบบนี้ของเขาดูเจ้าเล่ห์มากๆ
“ถ้าผมลักพาตัวคุณ น้องสามของผมคงจะเอาผมถึงตายแน่ๆ มาเถอะ เรามาคุยกันหน่อย” ฉู่ชิ่งเจ๋อจึงได้ลงรถมาเปิดประตูรถให้เธอ สีหน้าดูต้อนรับเธอมาก
หลินเวยมี่มองเขาอย่าลุ่มลึก แล้วค่อยๆขึ้นไปนั่งบนรถ
แอร์ในรถอุณหภูมิต่ำมาก ทันใดนั้นตัวของเธอจึงสั่นเทา และก็ถามขึ้นอย่างเร่งรีบ “คุณอยากรู้อะไร? เมื่อครู่ตอนที่เราคุยกันหรอ? ฐาลี่เป็นว่าที่ภรรยาของคุณ คุณสามารถไปถามเธอ ทำไมต้องมาเสียเวลาที่นี่ด้วย?”
ฉู่ชิ่งเจ๋อไม่พูดไม่จา สีหน้าเต็มไปด้วยความลุ่มลึกกว่าปกติ
“นี่ ถ้าคุณยังไม่พูด ฉันจะลงรถแล้ว!”
“ฐาลี่ได้บอกคุณใช่ไหมว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับผม?” ฉู่ชิ่งเจ๋อถามขึ้นตรงๆ
หลินเวยมี่ก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะตรงขนาดนี้ สีหน้าจึงดูเกร็งแล้วตอบกลับ “ไม่หนิ ทำไม? คุณเห็นความสำคัญของงานแต่งงานครั้งนี้เลยหรอ?”
“ผมแค่สนใจว่าเธออยากหรือไม่อยากแต่งงานกับผม” ฉู่ชิ่งเจ๋อถามขึ้นตรงๆ
เธอจึงขมวดคิ้วขึ้น ฉู่ชิ่งเจ๋อลุ่มหลงในการหวังผลประโยชน์จนหน้ามืดตามัวไปแล้ว และไม่มีอะไรมาเยียวยาได้ ถึงแม้ว่าสังคมผู้ดีจะดูปกติ แต่สำหรับเธอ มันยังเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
แม้แต่ความรู้สึกของตัวเองยังต้องมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ช่างอาภัพจริงๆ นี่คงจะเป็นโรคๆหนึ่งไปแล้ว
“ฉู่ชิ่งเจ๋อ คุณไม่มั่นใจขนาดนั้นเลยหรอ?”
ฉู่ชิ่งเจ๋อได้ยินเธอพูดแล้วยิ้มขึ้น “ตอนนี้ผมไม่มั่นใจหรอ? ฐาลี่ต้องเลือกผมเท่านั้นถึงจะได้รับผลประโยชน์ที่ใหญ่หลวงที่สุด กลับทำให้ผมรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากๆ”
“งั้นคุณมาถามฉันทำไม?”
“ผู้หญิงอย่างคุณ จะระวังกับผมเกินไปหรือเปล่า” ฉู่ชิ่งเจ๋อนวดขมับของตัวเอง ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาปวดหัวเล็กน้อย น้ำเสียงกลับฟังเหมือนผ่อนคลาย “ผมรู้สึกว่าการคบหากันระหว่างเรา คุณมักจะปล่อยหนามออกจากตัวแล้วคอยป้องกันตัวอยู่ตลอดเวลา ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ?”
หลินเวยมี่จ้องหน้าเขา แล้วพูดขึ้นทีละคำ “แน่นอน การคบหากับสุนัขจิ้งจอกก็ต้องระวังตัวอยู่แล้ว ไม่งั้นถูกทรยศก็คงไม่รู้”
“สุนัขจิ้งจอก? มาเปรียบเปรยนี้ มาเปรียบกับผมมันเหมาะสมไหม? ผมกับฉู่เฉินซีเทียบกันแล้วใครจะเจ้าเล่ห์กว่า?” ฉู่ชิ่งเจ๋อถามขึ้นอย่างน่าสนใจ
“พวกคุณ?” หลินเวยมี่กระตุกคิ้วขึ้นแล้วมองเขา “สมน้ำสมเนื้อกันมั้ง”