บทที่ 228 ผู้หญิงของเขา ต้องปกป้องด้วยชีวิต
ฉู่เฉินซีวนเวียนอยู่แถวชานเมืองด้วยใจที่ว้าวุ่น ใบหน้าหม่นหมอง เมื่อคิดถึงว่าหลินเวยมี่ถูกชายร่างใหญ่หลายคนลากตัวไป ความกังวลภายในใจก็คืบคลานออกมา
คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ การพบกันระหว่างน้าหรานกับหลินเวยมี่กลับต้องเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์แบบนี้ซะได้
ภายในโกดังเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ หลินเวยมี่มองไปรอบๆตัว ไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะหนีได้เล็ดลอดสายตา ทางด้านซ้ายมีหน้าต่างบานหนึ่ง แต่ถูกปิดตายแล้ว นอกจากประตูบานนั้นแล้ว ดูท่าว่าพวกเธอจะไร้ทางหนีแล้วจริงๆ
ทันได้นั้นก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาที่เธอ เธอรีบหันหัวกลับไปดู ผู้หญิงคนนั้นกำลังจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย และใช้สายตามองสำรวจเธอ
“คุณป้า เป็นอะไรไปคะ” เธอถามอย่างประหลาดใจ
รั่วหรานส่ายหัว แววตาปวดร้าว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ตอนนี้พอได้เห็นหลินเวยมี่ ก็มีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ดูคุ้นเคย ราวกับว่ามองเห็นตัวเองสมัยอดีต
เมื่อคิดว่าวันนี้เป็นวันที่จะได้เจอหน้าลูกสาว แล้วตอนนี้กลับโดนจับตัวมาที่นี่ ในใจก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก หรือว่ามันจะถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่ยอมให้เธอได้เจอหน้าลูกสาว
“คุณรู้สึกไม่ดีหรือว่าไม่สบายตรงไหนเหรอคะ” หลินเวยมี่เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
“ฉันสบายดีจ่ะ ให้ฉันแก้เชือกให้เธอนะ” รั่วหรานใช้แรงดันรถเข็นไปทางด้านหลังเธอ
หลินเวยมี่รู้สึกโล่งอก รีบลุกขึ้นขยับเขยื้อนข้อกระดูก จากนั้นก็รีบวิ่งไปดูที่บานหน้าต่าง ด้านนอกหน้าต่างไม่รู้ว่าถูกอะไรอุดอยู่ มันมืดมาก มองไม่เห็นอะไรเลย
ดูท่าว่าพวกเธอคงทำได้แค่รออยู่เงียบๆ รอให้คนที่ลักพาตัวพวกเธอมาออกมา
“คุณป้าคะ คุณไม่รู้เหรอคะว่าทำไมพวกเขาถึงต้องไปจับตัวคุณ” หลินเวยมี่นั่งลงตรงหน้าเธอแล้วถามขึ้น
รั่วหรานส่ายหัว มองประเมินหลินเวยมี่อย่างละเอียด ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู รู้สึกชอบเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มาก
หลินเวยมี่เท้าคางมองรั่วหรานเงียบๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดขึ้น “คุณป้าคะ พวกเราจะต้องได้ออกไปแน่ค่ะ”
รั่วหรานยังไม่ทันได้พูดอะไร ประตูใหญ่ก็เปิดดังโครม หลินเวยมี่รีบหันไปมองด้านนอก ชายร่างใหญ่ปรากฏตัว ตามตัวเต็มไปด้วยรอยสัก เงยหน้ามองหลินเวยมี่ทีหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้ววางของกินไว้บนโต๊ะ
“ได้เวลากินข้าวแล้ว”
ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆไม่ขยับเขยื้อน รอจนชายร่างใหญ่คนนั้นเดินออกไปหลินเวยมี่ถึงได้ก้าวเท้ายาวๆออกไป แล้วหยิบขนมปังขึ้นมายื่นให้รั่วหรานก่อน
“คุณป้าคะ กินสักหน่อยนะคะ อย่าทนหิวอยู่เลย”
รั่วหรานยิ้มแล้วรับไป ดวงตาชื้นเล็กน้อย
ทั้งสองคนนั่งเงียบๆอยู่ในโกดัง ถ้าจะพูดว่าไม่กลัวก็คงไม่จริง แต่ช่วงเวลานี้ขณะนี้ไม่ปล่อยให้พวกเธอได้กลัว ทำได้แค่รอ รอให้คนที่อยู่ข้างนอกเข้ามาช่วยเท่านั้น
กู้จุนเฟิงที่นั่งอยู่ในรถเมื่อได้รับสายโทรศัพท์แล้วสีหน้าก็แข็งทื่อขึ้นทันที ส่วนรถก็แล่นไปบนถนนอีกครั้ง
ในห้องส่วนตัวของโรงแรม กู้จุนเฟิงพึ่งจะดันประตูออก ทั้งตัวก็ถูกลากเข้าไปทันที ฉู่เฉินซีชกหมัดใส่หน้าเขาอย่างเต็มแรงหนึ่งที แล้วถามอย่างรีบร้อน “นายจับตัวหลินเวยมี่กับน้าหรานไปไว้ที่ไหน”
กู้จุนเฟิงไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ลุกขึ้นมาเช็ดเลือดที่มุมปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วทำเสียงเย็นในลำคอ “ฉู่เฉินซี การใจร้อนเป็นความล้มเหลวอันใหญ่หลวงของคนๆหนึ่ง นายไม่มีสิทธิ์จะมาสู้กับฉันอีกแล้ว”
พอพูดจบสายตาก็จับจ้องไปที่คุณท่านแก่ฉู่ แล้วโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมหนึ่งที ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเขาช้าๆ
“น่าประหลาดใจจริงๆ พวกคุณใช้เวลาแค่สามชั่วโมงสั้นๆก็สามารถเช็กเจอแล้วว่าฉันเป็นคนทำ”
ฉู่เฉินซีนั้นใจร้อนจริง แค่คิดว่าคนที่ห่วงใยที่สุดถูกคนอื่นถือครองอยู่ ไม่ว่าจะทำยังไงเขาก็ไม่สามารถสงบใจได้
คุณท่านแก่ฉู่ถือซิการ์อยู่ในมือ สายตาที่ขุ่นมัวคู่นั้นมองประเมินกู้จุนเฟิง ภายในดวงตาฉายแววชื่นชมอย่างเปิดเผย
“เจ้าหนู ฉันชื่นชมนายมาก ความยึดมั่นของนายคนธรรมดาคงทำไม่ได้ง่ายๆ แต่ฉันเดาไม่ออกว่าความตั้งใจของนายคืออะไร เพื่อเป็นศัตรูกับพวกเราอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ ไม่ ไม่ ผมไม่มีกำลังจะไปเป็นศัตรูกับพวกคุณหรอก ผมก็แค่พยายามช่วยเหลือคนในครอบครัวของผมออกมา”
คุณท่านแก่ฉู่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าครอบครัวที่เขาพูดคืออะไรกันแน่ “ครอบครัว? ช่วยพูดให้ละเอียดหน่อยได้ไหม”
“แปดปีก่อนตระกูลฉู่ของพวกคุณเอาตัวแม่ของผมไป ผมก็แค่อยากจะช่วยแม่ของผมออกมาเท่านั้น” กู้จุนเฟิงพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ภายในห้องเงียบสงัด ดวงตาคุณท่านแก่ฉู่ฉายแววแห่งความสงสัย บ่งบอกว่าไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย ทางฉู่เฉินซีเองก็เช่นเดียวกัน ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าที่กู้จุนเฟิงพูดหมายความว่ายังไง
พวกเขาไม่ได้เอาตัวแม่ของกู้จุนเฟิงมาเลย แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน
“ดูท่าว่านายคงมาหาผิดคนแล้วล่ะ พวกเราไม่ได้เอาตัวแม่ของนายไป” คุณท่านแก่ฉู่ถอนหายใจครั้งหนึ่ง แล้วสูบซิการ์เข้าไป “คนที่ติดต่อกับนายคือใคร”
“หลินซินหยาน” กู้จุนเฟิงสีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ถึงแม้หลายปีที่ผ่านมาเขาจะเตรียมตัวเพื่อรับผลที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังแอบมีความหวังอยู่บ้าง หวังว่าคุณแม่ของเขาจะยังอยู่
ตอนนี้เวลานี้ใจของเขากลับเย็นไปแล้วกว่าครึ่ง ไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้มันยังไงกันแน่ ทำไมคุณท่านแก่ฉู่ถึงไม่รู้เรื่องแม่ของเขาเลยสักนิด”
คุณท่านแก่ฉู่สีหน้าย่ำแย่ ล้วงโทรศัพท์ออกมากดโทรออกไป
ผู้ชายสามคนนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร เฝ้ารอให้เวลาผ่านไปทีละนาทีๆ
ต่างคนต่างความคิด ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้ง ฉู่ชิ่งเจ๋อกับฉู่เฟยหยางทั้งสองคนเดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง เมื่อพวกเขาเห็นกู้จุนเฟิงเข้า สีหน้าก็แสดงความประหลาดใจออกมาทันที
“คุณพ่อ เกิดอะไรขึ้นครับ” ฉู่เฟยหยางเดินเอื่อยๆเข้าไปตรงหน้าคุณท่านแก่ฉู่แล้วถามขึ้น
ส่วนฉู่ชิ่งเจ๋อก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศไม่ปกติตั้งแต่เข้ามาในห้อง ดังนั้นจึงแค่ยืนอยู่เงียบๆไม่ขยับเขยื้อน
“พวกนายเป็นคนจับตัวแม่ของเขาไปหรือเปล่า” คุณท่านแก่ฉู่เอ่ยปากถาม สีหน้าดูแย่มาก
ทั้งสองคนที่ถูกถามยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่ ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์นี่มันอะไรกันแน่
“ผมไม่รู้” ฉู่ชิ่งเจ๋อเปิดปากพูดอย่างหนักแน่น บ่งบอกว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยจริงๆ
ส่วนฉู่เฟยหยางขยับปาก แต่นานสองนานก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“แพล้ง!” คุณท่านแก่ฉู่ผลักแก้วคว่ำไปตรงหน้าฉู่เฟยหยาง แล้วถามเสียงเข้ม “หรือว่านายเป็นคนทำ”
“ผมจำไม่ได้แล้ว” ฉู่เฟยหยางสะดุ้งโหยง สีหน้าขาวซีด
“จำไม่ได้” สีหน้าของคุณท่านแก่ฉู่ยิ่งบึ้งตึงเข้าไปอีก “หลินซินหยานเป็นลูกน้องของใครในพวกนายสามคน”
ฉู่เฟยหยางเงยหน้าด้วยใบหน้าซีดเผือด เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว “ผมติดต่อกับเธออยู่….”
เขาพึ่งจะพูดจบ วินาทีต่อมาก็ถูกกระชากคอเสื้อไว้แล้ว กู้จุนเฟิงจ้องเขาเขม็ง ถามด้วยเสียงเข้ม “นายไม่รู้ นายใช้รูปของคุณแม่มาข่มขู่ฉันตั้งนานหลายปี นายยังไม่รู้อีกอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันไม่เคยเห็นใครโง่เท่านายมาก่อนเลย รูปภาพคนตายนายก็ยังเชื่ออีก” ฉู่เฟยหยางชำเลืองมองเขา ดวงตาฉายแววดูถูก
สมองของกู้จุนเฟิงขาวโพลนไปในทันที หมัดถูกปล่อยออกไปโดยสัญชาตญาณ พุ่งเข้าใส่ใบหน้านั้นเต็มแรง เขาคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะกลายเป็นจุดจบที่เลวร้ายที่สุดไปจริงๆ
แม่ของเขาได้จากไปนานแล้ว
“ไอ้คนสารเลว”
ที่เหลือทั้งสามคนไม่มีใครเข้าไปช่วยเลย ปล่อยให้กู้จุนเฟิงที่กำลังโมโหรัวหมัดใส่ฉู่เฟยหยาง
คุณท่านแก่ฉู่สูบซิการ์คำหนึ่งท่าทางครุ่นคิด สีหน้าย่ำแย่ เรื่องของลูกชายทั้งสามคนเขาไม่เคยไปถามอะไรมาก คิดไม่ถึงจริงๆว่าวันนี้จะก่อเรื่องแบบนี้ออกมาได้
กู้จุนเฟิงมองคนในห้องด้วยสีตาเยือกเย็น แล้วหัวเราะเสียงเย็นออกมา “คนตระกูลฉู่ ฉันจะไม่ปล่อยไว้สักคนแน่”
เมื่อพูดจบ ก็เดินออกจากห้องไปอย่างเชื่องช้า
ส่วนอีกด้านหนึ่ง พ่อบ้านหลี่โน้มลงพูดพึมพำเสียงเบาอยู่ข้างหูคุณท่านแก่ฉู่ ทันใดนั้นสีหน้าของคุณท่านแก่ฉู่ก็ดูปล่อยวางลง
ตอนที่กู้จุนเฟิงมาที่นี่ พวกเขาก็ส่งคนไปทำการช่วยเหลือ และตอนนี้หลินเวยมี่กับรั่วหรานก็ถูกช่วยออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉู่เฉินซีมองไปที่ฉู่ชิ่งเจ๋อด้วยสีหน้าซับซ้อน ครู่ใหญ่ถึงได้เปิดปากขึ้น “พี่ใหญ่ พี่เล่นแรงไปหรือเปล่า กู้จุนเฟิงไม่ใช่คนที่ใครจะเล่นด้วยได้หรอกนะ”
เขารู้ว่าฉู่เฟยหยางทำทุกอย่างตามคำสั่งของฉู่ชิ่งเจ๋อ เรื่องแม่ของกู้จุนเฟิงชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องเป็นฝีมือของฉู่ชิ่งเจ๋อ
ฉู่ชิ่งเจ๋อสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยปากอย่างไม่แยแส “ใครจะไปรู้ตอนจบของเรื่องราวล่ะ คุณแม่ร่างกายไม่แข็งแรง ทนรับแรงกระทบกระเทือนไม่ไหว ดังนั้นมันก็แค่อุบัติเหตุเท่านั้นแหละ”
“อุบัติเหตุ?” ฉู่เฉินซีทำเสียงเย็นในลำคอ สีหน้าดูไม่ดีนัก “ยังไงก็ชีวิตคนๆหนึ่ง ถ้าฉันเป็นกู้จุนเฟิง ต่อให้ฉันต้องตาย ฉันก็ต้องลากนายไปลงหลุมด้วย”
สีหน้าฉู่ชิ่งเจ๋อเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ทันที ริมผีปากเม้มกันแน่น แต่ไม่ได้โต้แย้งอะไร ยังไงเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่ว่าใครก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
ฉู่เฉินซีเดินออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา ความกังวลทั้งหมดหล่นลงพื้น ก้าวเท้ายาวๆด้วยความเร่งรีบกลับไปที่บ้าน ตอนนี้เขาแทบจะทนไม่ไหวอยากจะไปเฝ้าอยู่ข้างกายหลินเวยมี่ จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องอันตรายขึ้นกับเธออีกแม้แต่น้อย
ภายในบ้านพัก หลินเวยมี่กับน้าหรานนั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งสองคนกุมมือกันแน่น จนตอนที่ถูกช่วยออกมาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่
“หลินเวยมี่ เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ฐาลี่เดินเอื่อยๆขึ้นมาชั้นบน ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “น้าหราน คุณออกไปพบลูกสาวไม่ใช่เหรอคะ”
คำพูดเดียวนั้นทำให้คนสองคนที่นั่งอยู่ถึงกับนิ่งอึ้ง น้าหรานรีบหันหน้าไปมองคนที่นิ่งอึ้งเช่นเดียวกันอย่างหลินเวยมี่ น้ำตาแห่งความตื่นเต้นไหลรินออกมา
“เวยมี่ ที่แท้เธอก็คือเวยมี่”
ส่วนทางหลินเวยมี่นั้นนิ่งอึ้งไปแล้ว คิดไม่ถึงจริงๆว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าที่แท้ก็คือคนที่เธอตามหามาโดยตลอด รั่วหราน? แล้วทั้งสองคนยังมีประสบการณ์ถูกลักพาตัวไปพร้อมกันอีก
การพบกันครั้งแรกของพวกเธอช่างน่าพิศวงจริงๆ ภายในใจรู้สึกตื้นตันเป็นที่สุด ตื้นตันจนเธอไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี
“รั่ว…..” หลินเวยมี่เปิดปาก แต่กลับพบว่าไม่รู้ควรเรียกเธอว่ายังไง คือว่า “แม่” นั้นราวกับกลายเป็นคำที่ออกเสียงยาก ไม่ว่ายังไงก็พูดไม่ออก
“ฉันเป็นแม่ของเธอไง เด็กน้อย ในที่สุดก็ได้เจอเธอ” รั่วหลานสวมกอดเธอด้วยความตื้นตัน คำพูดเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม “เด็กน้อย ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่าชีวิตนี้จะได้เจอเธออีก ลูกของฉัน”
หลินเวยมี่เองก็กอดตอบหล่อน ภายในใจอ่อนระทวย แนบชิดอยู่ในอ้อมกอดของหล่อนแล้วเอ่ยปากเสียงแผ่วเบา “แม่…..”
ช่วงเวลาที่ทั้งคู่กอดกันแน่นนั้นก็ได้ร้องไห้โฮออกมา ฐาลี่ที่มองดูฉากนี้อยู่ ก็เผยรอยยิ้มจากใจออกมา
ฉู่เฉินซีรีบเดินเข้ามา เมื่อมองเห็นผู้หญิงทั้งสองคนที่ปลอยภัยไร้รอยขีดข่วน ก็โล่งอกขึ้นมา
ฐาลี่เดินเอื่อยๆลงมายืนอยู่ข้างตัวเขา เอ่ยขึ้นเสียงเบา “คิดไม่ถึงเลยว่าโลกนี้จะมีเรื่องที่บังเอิญได้ขนาดนี้ ที่แท้หลินเวยมี่ก็คือลูกสาวของน้าหรานอย่างนั้นเหรอ”
ฉู่เฉินซียิ้มอ่อนๆ สีหน้าสบายใจ โลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง เขายังจำได้ ว่าตอนนั้นเขาก็ไล่ตามพิมพ์ผีเสื้อของหลินเวยมี่ไปนั่นเอง
เพียงแต่เขาเองก็คิดไม่ถึง ว่าตัวเองจะถูกหลินเวยมี่จับกุมตัวได้แบบนี้ แล้วจากนั้นก็หนีไม่พ้นกรงขังของเธออีกเลย แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่คิดจะหนีจากเธออีกแล้ว
ผู้หญิงคนนี้ เขาจะปกป้องด้วยชีวิต