บทที่ 225 ฉันคิดถึงเธอ
ช่วงเวลานั้นราวกับถูกหยุดเอาไว้ ผ่านไปสามวินาทีหลินเวยมี่ถึงรู้สึกตัวอีกครั้ง รีบร้อนผละตัวออกจากอ้อมกอดของฉู่เฉินซี สีหน้าซีดเผือดไม่รู้จะพูดอะไรดี
ส่วนทางเดวิดที่ยืนอยู่หน้าประตูกับฉู่เฉินซีนั้นกลับไม่มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเลย อีกทั้งยังทำตัวเหมือนทองไม่รู้ร้อน
“เดวิด นายนี่โผล่มาได้ผิดเวลาจริงๆเลยนะ” ฉู่เฉินซีเหลือบไปมองเขาทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาฉายแววแห่งความเชือดเฉือน
เดวิดแอบหัวเราะทีหนึ่ง ปิดประตูพร้อมกับพูดขึ้น “นายก็ไม่ได้ทักทายฉันก่อนว่าพวกนายตอนนี้กำลัง…….”
คำพูดหยุดลงอย่างรู้จังหวะ ทำให้หน้าของหลินเวยมี่แดงขึ้นกว่าเดิม ราวกับลูกสะใภ้ที่ทำความผิด หลบอยู่หลังของฉู่เฉินซีไม่กล้าโผล่หน้าออกมา
เพราะยังไงสถานภาพสมรสระหว่างเธอกับเดวิดก็ยังคงอยู่ ณ เวลานี้กลับทำแบบนี้กับฉู่เฉินซียังไงภายในใจก็ต้องรู้สึกผิดอยู่แล้ว
“เดวิด พวกเรา…..”
คำพูดหลุดออกจากปากแต่กลับไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไงดี มองไปทางเดวิดทีหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง สีหน้าของเดวิดไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย แล้วยังหยิบเอาองุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากินหน้าตาเฉย
“เวยมี่ ไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะ หลายปีมานี้ต้องขอบคุณเธอนะ เรื่องของพวกเธอฉันก็รู้ดี วันนี้ฉันจะเตรียมสัญญาหย่าให้เอง”
คำพูดของเดวิดยิ่งทำให้หลินเวยมี่รู้สึกไปต่อไม่ถูก ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อเดวิด เพราะยังไงช่วงเวลาที่เธอเดือดร้อนที่สุดเดวิดก็เป็นคนช่วยเหลือเธอเอาไว้
เหมือนว่าเดวิดจะดูความคิดของหลินเวยมี่ออก เลยยิ้มออกมา “เวยมี่ เธอแนะนำให้ฉันได้รู้จักกับเย่หนิง ฉันยังไม่รู้ว่าจะขอบคุณเธอยังไงดีเลยล่ะ”
“เย่หนิง ?” หลินเวยมี่อ้าปากค้าง มองไปทางเดวิดอย่างไม่อยากจะเชื่อ ภายในหัวปรากฏเรื่องราวที่เย่หนิงพูดกับเธอเมื่อหลายวันก่อน”
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเย่หนิงจะทำให้เดวิดกลับตัวกลับใจได้
“อืม ตอนนี้ฉันรู้สึกสนใจหล่อนมาก” ใบหน้าของเดวิดปรากฏแววสบายใจ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เต็มไปด้วยความหมองหม่น
“เรื่องที่ควรพูดก็พูดจบแล้วใช่ไหม” ฉู่เฉินซีสีหน้าถมึงทึงจ้องไปทางเดวิดที่มีท่าทางสบายๆ เมื่อคิดถึงตอนที่ถูกขัดจังหวะเมื่อกี้แล้ว ในใจก็รู้สึกเดือดขึ้นมา ทำให้น้ำเสียงที่ออกมาฟังดูย่ำแย่ไปด้วย
เดวิดยิ้มอย่างเย้ยหยัน ทำท่าทางเหมือนว่าอ่านเขาออกหมดแล้ว “ดูท่าว่ามีคนอยากจะไล่ฉันไปสินะ”
“ไม่ใช่นะ” หลินเวยมี่รีบร้อนตอบกลับไป “เดวิด ทานข้าวเย็นด้วยกันนะ”
เดวิดกำลังคิดจะพยักหน้าตอบ แต่เหลือบไปเห็นสายตาที่รุกโชนของฉู่เฉินซี สัญชาตญาณบอกเขาว่าการอยู่ที่นี่ต่อไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก
“ช่างเถอะ ฉันยังมีธุระต้องไปทำต่อ เดี๋ยวฉันจะให้คนส่งสัญญาหย่ามาให้ แต่ยังไงงานวิวาห์ของพวกเธอฉันก็ต้องไปเข้าร่วมอยู่แล้ว วางใจเถอะ ฉันจะต้องเตรียมอั่งเปาชิ้นใหญ่ไปให้แน่นอน”
หลินเวยมี่เม้มปาก สายตามองตามหลังเดวิดที่เดินจากไป สักพักถึงรู้สึกโล่งอก เมื่อกี้นี้ช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน ดันถูกเดวิดเห็นฉากแบบนั้นเข้า เธอรู้สึกอยากตายจริงๆ
“ทำไมหน้าเธอแดงขนาดนี้” ฉู่เฉินซีหยิกแก้มเธอพร้อมพูดขึ้น
หลินเวยมี่ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ทำเสียงหึในลำคอก่อนเดินเข้าห้องครัวไป
“นายจะอยู่กินข้าวเย็นหรือเปล่า”
“ไม่ล่ะ ฉันต้องกลับ” ถึงฉู่เฉินซีจะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังเดินตามหลินเวยมี่เข้าไปในห้องครัว
“นายจะไปไม่ใช่เหรอ เข้ามาทำไม” หลินเวยมี่มองเขาอย่างสงสัย ก่อนจะหมุนตัว “ช่วยฉันผูกสายผ้ากันเปื้อนหน่อย”
ฉู่เฉินซีผูกเป็นโบให้เธอ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ “ถ้าไม่ใช่เพราะมีธุระที่บ้าน ฉันก็อยากจะอยู่ข้างๆเธอต่อนะ”
“ฉันไม่ได้ให้บริการอาหารและที่พักนะ เชิญนายบริการตัวเอง” หลินเวยมี่เอ่ยปากพูดขึ้น ไม่มีความคิดที่จะหยุดเขาเอาไว้เลยสักนิด
“ให้ฉันเช่าสักหน่อยเป็นไง” เขาเชยคางเธอขึ้นมา แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม
หลินเวยมี่ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “ไม่ให้เช่า”
“ผู้หญิงใจร้าย เธอจะเตะฉันออกไปหรือไง” ฉู่เฉินซีก้มหน้าลงจูบเธออย่างดูดดื่ม ราวกับว่ายังชิมรสชาติของเธอไม่พอยังไงอย่างนั้น
หลินเวยมี่ถูกเขาดูดจนเริ่มรู้สึกซาบซ่าน เลยใช้มือน้อยๆผลักเขาเบาๆ
“มันจั๊กจี้”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันมารับเธอ” ฉู่เฉินซีหยิกแก้มของเธอพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
หลินเวยมี่ชะงักไปครู่หนึ่ง คิดขึ้นได้ว่าคงต้องไปเจอกับรั่วหรานแน่ๆ เลยรีบพยักหน้ารับ
ฉู่เฉินซีเพิ่งจะจากไป แต่หลินเวยมี่กลับรู้สึกตื่นเต้นมาก ในที่สุดก็จะได้เจอรั่วหรานแล้ว ไม่รู้ว่าหล่อนจะเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่ จะเกลียดเธอหรือเปล่า
อีกอย่างไม่รู้ว่าจะถามว่าทำไมถึงต้องทอดทิ้งเธอดีหรือเปล่า คำถามมากมายค่อยๆออกมาจากภายในใจ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกมีความสุขที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจได้
ฉู่เฉินซีก้าวเข้าไปในห้องรับแขก มีคนมากมายนั่งอยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นการปรากฏตัวของฉู่เฉินซีต่างก็หยุดเสียงสนทนาลงทันที
คุณท่านแก่ฉู่นั่งอยู่ตรงกลางโซฟา ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างไม่แยแสว่า “นายไปที่ไหนมา ไม่รู้หรือไงว่าฐาลี่กับElisจะมา”
“ผมลืมไป” ฉู่เฉินซีตอบกลับเบาๆ แล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟาอีกด้านหนึ่ง
ฐาลี่กับElisนั่งอยู่ด้วยกัน ฉู่ชิ่งเจ๋อนั่งอยู่ข้างๆฐาลี่ ฉู่เฟยหยางนั่งบนโซฟาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
“พี่ใหญ่ ฐาลี่ ยินดีกับพวกคุณด้วยนะ” ฉู่เฉินซีเอ่ยปากแบบไม่จริงใจนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มองพวกเขาในแง่ดีนัก
ฐาลี่พยักหน้าอย่างสง่างาม บนใบหน้าไม่เผยความรู้สึกใดๆ บรรยากาศรอบตัวดูสง่างาม แต่กลับมองไม่เห็นแววแห่งความยินดีเลย
“เฉิน นายเป็นอะไรของนาย นี่นายไปหานังจิ้งจอกนั่นอีกแล้วใช่ไหม นายไม่รู้หรือว่าหลังจากที่พี่เลิกกับนายแล้วเธอเสียใจมากขนาดไหน” Elisเอ่ยถามอย่างดุดัน ทำให้ห้องรับแขกที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบงันเข้าไปอีก
จนในที่สุดก็จับความรู้สึกผิดปกติได้ Elisถึงตระหนักได้ว่าตัวเองพูดเรื่องที่ไม่สมควรเข้าแล้ว เลยรีบหยุดปาก
ฉู่ชิ่งเจ๋อมองดูพวกเขา แล้วกุมมือของฐาลี่เอาไว้ด้วยกัน “Elis ที่ฉันกับพี่สาวของเธออยู่ด้วยกัน ก็เพราะว่าเธอเต็มใจ อีกอย่างระหว่างพวกเราก็ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ต่อไปเธอห้ามพูดเรื่องเมื่อก่อนขึ้นมาอีกนะ”
Elisเงยหน้าขึ้นมองมือของพวกเขาที่จับกันแน่น แล้วพยักหน้าตอบอย่างเงียบๆ
“ต่อไปฉันก็จะเป็นพี่เขยของเธอแล้วนะ จำไว้ให้ดีล่ะ” ฉู่ชิ่งเจ๋อพูดพร้อมรอยยิ้ม
Elisนิ่งเงียบไม่ตอบรับ แต่สีหน้านั้นบ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายอย่างชัดเจน
“พี่ใหญ่ ที่มาครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อเตรียมงานแต่งหรอกเหรอ รีบจัดงานแต่งให้เรียบร้อย จะได้สบายใจสักที”
ฉู่เฟยหยางพูดขึ้น
ทำให้สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่คุณท่านแก่ฉู่ รอที่จะฟังคำสั่งจากปากเขา
คุณท่านแก่ฉู่จิบชาอย่างเชื่องช้า ดวงตาขุ่นมัวที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆนั้นมองตรงไปที่ฐาลี่ “แล้วคนในครอบครัวของพวกเธอว่ายังไงบ้าง”
“คนในครอบครัวของพวกเราสนับสนุนการแต่งงานของฉันกับชิ่งเจ๋ออย่างเต็มที่ค่ะ เพราะยังไงพวกเราก็อายุไม่ใช่น้อยๆกันแล้ว” ตอนที่ฐาลี่พูดถึงคำสุดท้ายเธอก็เผลอเหลือบมองไปที่ฉู่เฉินซี
เขานั่งเงียบๆอยู่บนโซฟา บนใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น ราวกับกำลังฟังคนแปลกหน้ากำลังพูดอยู่ และความหวังสุดท้ายก็ได้ดับสูญไปในทันที
“ถ้าอย่างนั้นก็ดำเนินการตามแผนเดิมของพวกเธอเองเลยแล้วกัน” คุณท่านแก่ฉู่เอ่ยปากอย่างไม่ใส่ใจ
บนใบหน้าของฉู่ชิ่งเจ๋อปรากฏรอยยิ้มขึ้น รีบหันไปมองทางฐาลี่ แต่สีหน้าเธอกลับมีแต่ความขุ่นเคือง มองไม่เห็นแววของความดีใจเลยสักนิด
ใจของเขาดิ่งลงทันที คำพูดของหลินเวยมี่ดังขึ้นในใจ ตอนนี้ฐาลี่กำลังรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรจะแต่งงานกับเขาดีหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เขาก็ต้องเหนี่ยวรั้งฐาลี่เอาไว้
บนโต๊ะอาหาร ก็ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจหรือไม่กันแน่ ที่จัดที่นั่งของฐาลี่กับฉู่เฉินซีให้อยู่ตรงข้ามกัน ฐาลี่นั่งกินอาหารเงียบๆ แต่สายตากลับคอยมองไปทางฉู่เฉินซีเป็นระยะๆ
ขอแค่เขาเอ่ยปากพูดว่าไม่ให้เธอแต่งงานกับฉู่ชิ่งเจ๋อ เธอก็จะไม่แต่งทันที
แต่นอกจากฉู่ชิ่งเจ๋อจะนั่งกินอาหารอย่างเงียบๆแล้ว ก็ไม่ได้เหลือบมองเธอเลยแม้แต่น้อย
ในใจรู้สึกหดหู่ บนใบหน้าเองก็มองไม่เห็นอารมณ์ดีใจใดๆเลย
“เป็นอะไรไป” ฉู่ชิ่งเจ๋อบีบมือของเธอที่อยู่บนโต๊ะ ภายในคำพูดแฝงด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ไม่สบายหรือเปล่า สีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีเลย อีกอย่างก็ไม่ค่อยพูดค่อยจามาทั้งวันแล้ว”
“ฉันสบายดี ขอบคุณ” ฐาลี่รีบชักมือของตัวเองกลับมา ฝืนยกมุมปากขึ้น
ฉู่ชิ่งเจ๋อสีหน้าแข็งทื่อทันที แล้วจ้องเขม็งไปทางฉู่เฉินซี
เหมือนว่าฉู่เฉินซีจะสัมผัสได้ถึงสายตาเคียดแค้นของเขา เลยเผลอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
วินาทีต่อมาเขากลับยกแก้วขึ้น แล้วยกแก้วไปทางฉู่ชิ่งเจ๋อ ก่อนจิบไวน์เข้าไปอึกหนึ่ง
ฉู่ชิ่งเจ๋อจ้องเขม็งไปทางพวกเขาสองคน อารมณ์หดหู่ แล้วยืนขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันกินเสร็จแล้ว”
Elisมองไปทางผู้ชายที่กำลังเดินขึ้นไปชั้นบน เผลอเบ้ปากออกมา “พี่คะ คนๆนี้นิสัยแย่จริงๆเลย พี่แน่ใจเหรอคะว่าจะแต่งงานกับเขา”
ฐาลี่ถลึงตาใส่Elisที่ปากไม่มีหูรูดไปหนึ่งที แล้วพูดเตือนเสียงเบา “อย่าลืมสิว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไร อย่าพูดอะไรไม่สมควรตอนอยู่ข้างนอกสิ”
เมื่อถูกฐาลี่สั่งสอน หน้าเล็กๆของElisก็ซีดเผือดไปทันที ก่อนก้มหน้ากินอาหารอย่างขุ่นเคือง
บนโต๊ะอาหารแต่ละคนต่างก็ตกอยู่ในความคิดคนละอย่าง เมื่อกินข้าวอย่างเงียบงันจนเสร็จก็แยกย้ายกันขึ้นไปชั้นบนทันที
ฉู่เฉินซีอดรนทนไม่ไหวรีบโทรไปหาหลินเวยมี่ทันที เขาติดพิษของหลินเวยมี่เข้าแล้วจริงๆ
แค่ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาก็เริ่มคิดถึงเธออีกแล้ว
“เวยมี่เหรอ ฉันคิดถึงเธอ”
“ฉู่เฉินซี พวกเราเพิ่งเจอกันเองนะมีอะไรให้น่าคิดถึงกัน” น้ำเสียงหดหู่ของหลินเวยมี่ที่อยู่ฝั่งนั้นลอยเข้ามา เห็นได้ชัดว่ายังคงติดอยู่กับเรื่องที่เดวิดเข้ามาเห็นฉากนั้นของพวกเขาทั้งสอง
“ก็คือคิดถึงเธอไง อยากจะบินไปอยู่ข้างกายเธอจริงๆ น่าเสียดายที่ผู้หญิงใจร้ายอย่างเธอไม่ยอมรับฉันไว้” ฉู่เฉินซียิ้มน้อยๆ กำลังทอดน่องอยู่ในสวนดอกไม้แห่งจินตนาการ
“นายอย่ามานะ ที่นี่ไม่มีที่ให้นายอยู่หรอก อีกอย่างฉันยังไม่ได้อธิบายให้เสี่ยวหลงฟังเลย นายมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาบ่อยๆมันไม่ค่อยดี” หลินเวยมี่พึมพำเสียงเบา
“ถ้าอย่างนั้นภารกิจของเธอในคืนนี้ก็คือการทำให้เสี่ยวหลงรู้จักฉันในวันพรุ่งนี้ รู้ว่าฉันก็คือพ่อของเขา” ฉู่เฉินซีออกคำสั่ง “ยังไงถ้าเธอไม่ยอมพูด ฉันก็จะบอกว่าตอนนั้นเธอเป็นคนที่ไม่ยอมรับผิดชอบแล้วยังแอบพาเขาหนีไป ไม่ยอมให้พวกเราสองพ่อลูกได้พบเจอกัน”
“ฉู่เฉินซี นี่นายขู่ฉันอีกแล้วนะ”
ฟังเสียงคำรามของหลินเวยมี่ที่อยู่ในโทรศัพท์ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ค่อยๆหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ
“เฉิน ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” เงาของคนๆหนึ่งเข้ามาขวางอยู่ตรงหน้าเขา มองไปทางเขาด้วยสีหน้าเด็ดขาด
“เวยมี่ เดี๋ยวค่อยคุยกันตอนเจอกันพรุ่งนี้ ฉันวางก่อนนะ” ฉู่เฉินซีวางสายอย่างอาลัยอาวรณ์ มองไปทางElisด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วพูดอย่างเบื่อหน่าย “ มีอะไรก็รีบพูด ฉันยังมีธุระอีก”
“เรื่องเกี่ยวกับพี่สาวฉัน” Elisสูดหายใจเข้าลึก แล้วจ้องตาเขา “เฉิน ความรู้สึกที่พี่มีต่อนายมันลึกซึ้งมาก นายจะทอดทิ้งเธอแบบนี้ไม่ได้นะ”
ฉู่เฉินซีรู้สึกแค่ว่าคำพูดหล่อนช่างนำขำ เอ่ยปากอย่างเย็นชา “เลือกจะแต่งงานกับใครมันก็เป็นการตัดสินใจของพี่สาวเธอ เธอคิดว่ามาหาฉันตอนนี้ แล้วฉันจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างนั้นเหรอ”