บทที่ 233 อย่างโจ่งแจ้ง
หลินเวยมี่นั่งอยู่หลังรถอย่างเงียบๆ คำพูดของฉู่เฉินซีเมื่อกี้ไม่รู้ว่าหมายความว่ายังไงกันแน่ ไม่รู้ว่าเขายังโกรธอยู่หรือเปล่า
มองใบหน้าเขาผ่านเงาสะท้อนในกระจก เขายังคงทำหน้าบึ้งตึง ดูไม่ออกเลยสักนิดว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ในรถเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ ขนาดเสี่ยวหลงเองก็ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาด และเอาแต่นั่งนิ่งๆไม่พูดไม่จา
นิ้วมือของฉู่เฉินซีเริ่มขาวซีด คิ้วขมวดกันแน่น บนหน้าผากมีเหงื่อผุดบางๆ ใบหน้าซีดเผือดผิดธรรมชาติ
กระเพาะปวดตุบๆ เขาไม่สามารถกินของเผ็ดได้เลยสักนิดจริงๆ ตอนนี้เขารู้สึกปวดกระเพาะมาก เขานี่หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉู่เฉินซีขมวดคิ้วแล้วกดรับสาย
“อืม เดี๋ยวฉันกลับไป”
กดวางสายไปอย่างไม่แยแส สีหน้าซีดเผือดขึ้นกว่าเดิม เขาไม่ได้ใส่ใจสายโทรศัพท์เมื่อกี้ แล้วก็คิดไม่ถึงด้วยว่าทำไมElisถึงได้มาใส่ใจเรื่องที่เขาจะกลับหรือไม่กลับบ้านด้วย
ฝั่งElisที่วางสายไป บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด สายตาตกอยู่ที่น้ำผลไม้สองแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ หยิบเอายาสีขาวสองแผ่นขึ้นมาอย่างระมัดระวังใส่ลงไปในแก้ว
แล้วถือแก้วใบหนึ่งขึ้นไปบนห้องหนังสือชั้นบน
“ก๊อก ก๊อก”
“ใคร” เสียงที่ฟังดูเหน็ดเหนื่อยของฐาลี่ลอยออกมา
“พี่คะ ฉันเอง” Elisแอบหัวเราะเงียบๆ จากนั้นก็ผลักประตูเดินเข้าไป “พี่คะ ยังไม่หายยุ่งอีกเหรอคะ เหนื่อยแล้วใช่ไหม ฉันเอาน้ำผลไม้มาให้พี่ค่ะ”
ฐาลี่ส่งยิ้มให้Elis “ขอบใจ”
Elisยื่นน้ำผลไม้ไปให้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นี่เธอกำลังช่วยพี่สาวอยู่นะ ขอแค่ผ่านคืนนี้ไป ฉู่เฉินซีจะต้องกลับมาอยู่กับพี่แน่
แล้วเมื่อถึงตอนนั้นพี่จะต้องขอบคุณเธอแน่ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของElisก็กว้างขึ้นกว่าเดิม
ถึงแม้เมื่อก่อนเธอจะเคยยั่วยวนฉู่เฉินซีอยู่ในมุมมืด แต่นั่นก็ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากฐาลี่เท่านั้น ฐาลี่เป็นผู้หญิงเข้มแข็ง น้อยมากที่จะมายุ่งกับเธอ ทำให้เธอยิ่งอยู่ก็ยิ่งดื้นรั้น ถึงขั้นที่ไม่ว่าฐาลี่จะมีอะไร เธอก็จะต้องแย่งชิงกับฐาลี่
ดังนั้น เธอก็ยังอยากให้ฉู่เฉินซีกับฐาลี่ได้อยู่ด้วยกัน แบบนั้นตอนแย่งชิงมาจะได้มีความหมาย
ส่วนหลินเวยมี่ หล่อนไม่เหมาะสมกับฉู่เฉินซีเลยสักนิด และไม่เหมาะสมที่จะให้เธอไปแย่งชิงด้วย
คิดอยู่แบบนั้น ก็เดินออกจากห้องหนังสือ แล้วเดินลงไปชั้นล่างพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อถึงชั้นล่างของบ้านหลินเวยมี่ ฉู่เฉินซีจอดรถแล้วแต่กลับไม่ยอมขยับ สีหน้าซีดเผือดแล้วพูดกับพวกเธอ
“พวกเธอขึ้นไปเถอะ ฉันจะกลับแล้ว”
หลินเวยมี่นึกว่าเขายังโกรธอยู่ ก็เลยอุ้มเสี่ยงหลงลงจากรถ สีหน้าก็หดหู่มาก
หลังจากเดินไปได้สองก้าว ก็หันกลับไปมองเขา เขายังคงไม่ขยับ และยังมองมาที่เธอเงียบๆ
“เสี่ยวหลง ลูกรอหม่าม้าอยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวหม่าม้าไปคุยกับพ่อสักหน่อย” หลินเวยมี่วางเสี่ยวหลงลงอีกข้างแล้วรีบเดินไปที่หน้ารถ
“ฉู่เฉินซี นี่นายยังโกรธอยู่อีกเหรอ”
“เปล่า” เขาฝืนยกมุมปาก มือยังกุมอยู่ตรงกระเพาะ แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ เขาอยากไปจากที่นี่เพียงเพื่อไม่อยากให้หลินเวยมี่เป็นห่วง
“เปล่า แต่นายหน้าบึ้งตลอดทางเนี่ยนะ” หลินเวยมี่พูดอย่างเคืองๆ “ฉันก็แค่คุยกับกู้จุนเฟิงแค่คำสองคำเองนะ นายถึงกับต้องโมโหขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมนายถึงได้ขี้หึงขนาดนี้”
“เอาเถอะ เอาเถอะ หายโกรธได้แล้ว ฉันผิดไปแล้วโอเคไหม” ฉู่เฉินซีเบ้ปากอย่างเหนื่อยหน่าย สีหน้ายิ่งอยู่ยิ่งย่ำแย่
“นายเมินฉัน ยังบอกว่าไม่โกรธอีก คำพูดของนายเย็นชาขนาดนี้ ชัดเจนเลยว่ายังโกรธอยู่” หลินเวยมี่พูดต่ออย่างไม่ยอมลดละ
“ฉัน…..” เหงื่อบนใบหน้าของฉู่เฉินซีไหลเยอะกว่าเดิม สีหน้าย่ำแย่ คิ้วขมวดกันแน่น
“นายเป็นอะไรไป” ตอนนั้นเองหลินเวยมี่ถึงพบว่าเขาไม่ปกติ รีบร้อนถามออกไป
“ปวดกระเพาะ ไม่เป็นไร” ฉู่เฉินซีฝืนยิ้มออกมา เหงื่อยังผุดออกมาไม่หยุด
หลินเวยมี่รีบมองไปที่เขา น้ำเสียงรีบร้อนเจือไปด้วยเสียงบ่น “ปวดกระเพาะแล้วทำไมไม่รีบบอกล่ะ ลงมา เดี๋ยวฉันขับรถพานายไปส่งที่โรงพยาบาล”
ฉู่เฉินซีลงจากรถแล้วเข้าไปหลังที่ด้านหลังรถ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอดกลั้น “รีบส่งเสี่ยวหลงขึ้นไปบนห้องก่อน”
บนใบหน้าของหลินเวยมี่ฉายแววร้อนรน ในใจก็รู้ว่าฝีมือการขับรถของตัวเองแย่มาก เลยไม่อยากพาเสี่ยวหลงไปเผชิญอันตรายด้วย
“รอฉันก่อนนะ”
ฉู่เฉินซีมองดูหญิงสาวที่สีหน้าร้อนรนอุ้มเสี่ยวหลงจากไป มุมปากก็ค่อยๆยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ อากาศที่ร้อนอบอ้าวเมื่อช่วงบ่ายถูกเมฆฝนบดบังไปแล้ว สีดำเป็นแถบๆ และเต็มไปด้วยความกดอากาศ หลินเวยมี่อยู่เฝ้าฉู่เฉินซีที่ถูกให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล เขาหลับตา แต่สีหน้าก็ดีกว่าตอนที่พึ่งมาถึงมากแล้ว ในใจแอบรู้สึกว่าโชคดีแล้ว ยังดีที่เธอโทรหาเย่หนิงให้ไปช่วยดูเสี่ยวหลงก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงต้องรีบกลับไปดูอีก
“ฝนกำลังจะตก” เธอทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง สีดำเป็นแถบๆในความมืดมิด
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น ฉู่ชิ่งเจ๋อดันประตูออก ถึงได้พบว่าไฟในคฤหาสน์ดับ ขมวดคิ้วแล้วเดินคลำทางไปห้องรับแขก เดิมทีนัดฐาลี่ว่าจะไปดูชุดแต่งงานด้วยกัน แต่ไปถึงครึ่งทางกลับพบว่าอากาศไม่ดี แต่ว่าเขาก็ยังมาที่นี่
ห้องรับแขกเงียบมาก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เขานั่งลงบนโซฟา ยกมือปลดเนกไท อากาศร้อนอบอ้าว ในห้องรับแขกราวกับเตาอบไอน้ำ
ดวงตาเหลือบไปเห็นน้ำผลไม้บนโต๊ะ เลยยกขึ้นดื่มอย่างไม่คิดก่อนเลย
ในความมืด Elisดันประตูออก จากชั้นบนมีเงาคนมองลงมาด้านล่าง และเอ่ยถามเสียงเบา
“นั่นเฉินเหรอ พี่สาวรอนายนานแล้วนะ บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับนาย”
ฉู่ชิ่งเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าย่ำแย่ขึ้นมา ฐาลี่จะหาฉู่เฉินซีทำไม
ไม่ได้เหลียวแลElis แต่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกโมโห ก็เลยเดินขึ้นไปแล้วตรงไปที่ห้องของฐาลี่
แค่มือเตะโดนประตู ประตูก็เปิดค่อยๆเปิดออกแล้ว ภายในความมืดมองไม่เห็นอะไรเลย เพียงแต่กลับได้กลิ่นหอมของอะไรบางอย่าง
เขารู้สึกคอแห้งขึ้นมา และไฟในตัวก็ลุกโชนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ขมวดคิ้วเบาๆ เขาไม่ใช่ผู้ชายเรื่อยเปื่อย แต่วันนี้เป็นอะไรไป ทำไมถึงได้รู้สึกรุนแรงเป็นพิเศษ
ประตูค่อยๆปิดลง เขารีบร้อนกลับตัว แต่กลับถูกร่างกายที่ร้อนผ่าวกอดเอาไว้แน่น ไม่รอให้เขาได้เปิดปาก จูบอันเร่าร้อนก็โถมเข้าใส่เสียแล้ว
เขาอยากจะผลักเธอออก แต่ทันใดที่มือสัมผัสโดนตัวเธอสมองก็ขาวโพลนไปหมด เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้า
“ร้อนจัง” เสียงครางแผ่วเบาทำให้ฉู่ชิ่งเจ๋อตื่นขึ้นในชั่วพริบตา และรู้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ใคร แต่เป็นฐาลี่
“ครื้น”
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นพร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดลงมา แสงสว่างชั่วพริบตานั้น ทำให้ฉู่ชิ่งเจ๋อมองเห็นผู้หญิงตรงหน้าที่แนบติดบนตัวเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าทรงเสน่ห์ จือปาก สายตาเย้ายวน ไฟร้อนลุกโชน ดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอดทันที
เสียงคำราวดังขึ้นทั้งคืนไม่หยุดหย่อน เคล้ากับเสียงฝนที่โปรยปราย เกิดเป็นท่วงทำนองหนึ่งขึ้นมา
ฝนตกทั้งคืน เวลาเดียวกันนั้นหลินเวยมี่ก็เฝ้าฉู่เฉินซีทั้งคืน เมื่อให้น้ำเกลือหมดขวดเขาก็หลับลึกไปทั้งอย่างนั้น หลับลึกมาก จนลืมไปเลยว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล
หลินเวยมี่หาวออกมาทีหนึ่ง ลุกขึ้นมามองไปนอกหน้าต่าง แสงสว่างห่อหุ้ม โลกภายนอกถูกฝนชำระล้างจนสะอาด ขนาดอากาศเองก็ยังสดชื่นขึ้นมาด้วย
“ฉันนอนอยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยเหรอ” เสียงแหบพร่าปนเกียจคร้านของฉู่เฉินซีดังขึ้น
หลินเวยมี่หันหลังกลับ แล้วรีบพุ่งไปข้างตัวเขา “นายเป็นยังไงบ้าง กระเพาะยังเจ็บอยู่ไหม”
เขาส่ายหัว แล้วดึงตัวหลินเวยมี่มาข้างตัวเขา แล้วจูบเบาๆไปหนึ่งที “ขอบตาคล้ำออกมาแล้ว ดูแลฉันทั้งคืนเลยเหรอ”
“เปล่า ฉันก็นอน” หลินเวยมี่ขยับตัวอย่างอึดอัด ทั้งตัวของเธอซุกอยู่ในอ้อมกอดเขา
“นายปล่อยฉันก่อน เดี๋ยวมีคนเห็นเข้ามันน่าอายนะ”
“มีอะไรน่าอายกัน” เขาส่ายไปมาเบาๆ
นี่มันยั่วกันอย่างโจ่งแจ้งเลยนี่นา หลินเวยมี่ถลึงตาใส่เขาไปหนึ่งที ไม่ยอมอ่อนข้อ เลยเลียนแบบเขากัดเบาๆหนึ่งคำ
มือเล็กทาบลงบนอกเขา ลืมไปหมดแล้วว่าที่นี่คือที่ไหน
ทั้งสองคนกำลังเล่นกับไฟ มือของฉู่เฉินซีล่วงล้ำเข้าไปในปกเสื้อของเธอ
“เตียงสิบสามคะ คุณกลับบ้านได้แล้วค่ะ” เสียงประตูเปิดดังขึ้น นายพยาบาลคนหนึ่งมองดูพวกเขาทั้งสองอย่างชะงักงัน หน้าเล็กๆแดงขึ้น ยืนอยู่หน้าประตูอย่างอ้ำอึ้ง
ทั้งสองคนแข็งทื่อไปทั้งตัว และหลินเวยมี่ก็ซุกอยู่ในอกของฉู่เฉินซีไม่กล้าเงยหน้า ขายหน้าที่สุด ถูกคนเห็นเข้าซะแล้ว
“ยังดูไม่พอเหรอ” เสียงเย็นยะเยือกของฉู่เฉินซีดังขึ้น
นางพยาบาลถึงได้สติขึ้นมา รีบเร่งกลับหลังเดินออกไป และยังเผลอชนเข้ากับที่จับประตู แต่ก็ไม่ได้หยุดฝีเท้าอันร้อนรนของหล่อนไว้ ทั้งคนวิ่งออกไปอย่างทุลักทุเล
เสียงหัวเราะของฉู่เฉินซีดังขึ้น เขาตบบ่าของหลินเวยมี่เบาๆ “ทำไม ยังอยากจะให้คนมาล้อมดูพวกเรามากกว่านี้อีกเหรอ”
หน้าเล็กๆของหลินเวยมี่แดงขึ้นมา กระสับกระส่ายทำอะไรไม่ถูก รีบดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของเขาแล้วยืนขึ้น ก้มหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป “งั้นก็รีบไปกันเถอะ”
ฉู่เฉินซีสวมเสื้อคลุมแล้วเดินตามออกไปพร้อมรอยยิ้ม
แสงอาทิตย์ส่องผ่านริมหน้าต่างลงไปที่เตียงใหญ่ เสื้อผ้าถูกถอดกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ในอากาศยังคงมีกลิ่นอายหลังการร่วมรักแผ่กระจายอยู่เต็มไปหมด ทั้งดิบคาวแต่ก็ทรงเสน่ห์
ทั้งสองคนโอบกอดกันแน่น บนร่างของหญิงสาวเต็มไปด้วยรอยจูบสีม่วงคล้ำ เหมือนกำลังเล่าขานความบ้าคลั่งของเมื่อคืน
ขนตาของฐาลี่กระตุกครั้งหนึ่ง แล้วลืมตาขึ้น
สิ่งที่สะท้อนเข้าดวงตาคือใบหน้าหลับสนิทของฉู่ชิ่งเจ๋อ สงบนิ่งแต่ลุ่มลึก ไม่ได้เต็มไปด้วยความกดดันเหมือนที่ผ่านมา เหมือนว่าจะคิดอะไรขึ้นมาได้ รีบร้อนลึกขึ้นมานั่ง ผ้าห่มร่วงลงจากตัว เธอมองดูรอยจูบบนตัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ และสติหลุดในทันที
ที่แท้ ความฝันเมื่อคืนก็คือเรื่องจริง
ในสมองมีภาพความบ้าคลั่งของเมื่อคืนไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ใบหน้าเล็กของฐาลี่เปลี่ยนเป็นซีดเผือดขึ้นทันที แววตาว่างเปล่า ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะต้องได้พบเจอเรื่องแบบนี้เข้าสักวันไม่ช้าก็เร็ว แต่ว่าในใจเธอก็ยังรังเกียจ
“ตอนนี้จะร้องไห้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ” เสียงที่เยือกเย็นไร้ความรู้สึกดังขึ้น
ฐาลี่หันกลับไปมอง หน้าบึ้งตึงจ้องไปที่ฉู่ชิ่งเจ๋อที่พึ่งตื่นขึ้นมา แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ขนาดคำพูดกล่าวโทษก็ยังพูดไม่ออก เพราะว่าเธอก็ยังจำได้อย่างเลือนราง ว่าเมื่อคืนเธอเป็นคนเริ่มก่อน
“ฐาลี่ ในเมื่อพวกเราก็อยู่ด้วยกันแล้ว ไม่ว่าในสมองหรือในใจของเธอก็ห้ามมีผู้ชายคนอื่นอีก จำเอาไว้นะ” ฉู่ชิ่งเจ๋อกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก เขาไม่ได้ลืมว่าผู้ชายที่ฐาลี่เชิญมาเมื่อคืนคือฉู่เฉินซี แต่ไม่ใช่เขาฉู่ชิ่งเจ๋อ