บทที่ 235 ที่แท้คุณก็ชอบอยู่ด้านบน
ฐาลี่หุบยิ้มลง จากนั้นสีหน้าของเธอก็กลับมาเด็ดเดี่ยวเหมือนก่อนหน้านี้ “หลินเวยมี่ คุณไม่จำเป็นต้องมาขอโทษฉัน ของที่มันไม่ใช่ของฉันต่อให้เฝ้าให้ตายยังไงก็ไม่มีเฝ้าเอาไว้ได้”
หลินเวยมี่นั่งลงด้านข้าง ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่เธอก็ไม่อยากเห็นฐาลี่มีชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข
สายตาของเธอหยุดลงตรงชุดเจ้าสาวที่อยู่ภายในห้อง เป็นชุดเจ้าสาวที่สวยมาก ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
หลินเวยมี่ปอกเปลือกส้มเงียบๆ จากนั้นก็ยื่นส้มให้กับรั่วหราน
“เวยมี่ ลูกอยากรู้จริงๆใช่ไหมว่าพ่อของลูกคือใคร?”
หลินเวยมี่นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองรั่วหราน ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มเล็กน้อย ทว่ากลับไม่สามารถปิดบังความเจ็บปวดเสียใจที่อยู่ภายในจิตใจได้ ถึงขั้นที่ว่าเรื่องนั้นสำหรับเธอแล้วมันคือคำสาป ที่ไม่อยากจะพูดขึ้นมาอีก
“แม่คะ ถ้าเรื่องนี้มันทำร้ายจิตใจแม่มาก หนูก็ไม่อยากรู้แล้วค่ะ” หลินเวยมี่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงแม้ว่าจะสงสัย แต่เธอก็ไม่อยากเห็นรั่วหรานเสียใจ
แววตาของรั่วหรันเคล้าไปด้วยความดีใจ “แต่ว่ายังไงแม่ก็ต้องบอกเรื่องนี้กับลูก เพราะถึงยังไงลูกก็มีสิทธิที่จะรู้”
หลินเวยมี่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆเธอ โดยไม่ได้พูดอะไร
“ตอนที่แม่ยังสาวแม่ตกหลุมรักพี่ฉู่ พี่ฉู่อายุเยอะกว่าแม่มาก แม่ถึงขั้นไม่รู้ด้วยว่าเขามีภรรยาแล้ว จนกระทั่งตอนที่เขาหย่ากับภรรยา แม่จึงมีความหวังขึ้นมา “รั่วหรานถอนหายใจเหมือนกำลังหวนคิดถึงตนเองในตอนนั้น ในทุกวันแม่ต้องดิ้นรนทุกวันท่ามกลางความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง”
“แม่คิดว่าเขาจะเลือกที่จะอยู่กับแม่ แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับเลือกแม่ของเฉิน ด้วยความเสียใจแม่จึงดื่มเหล้า ดื่มจนเมาหนักแล้วถูกพวกอันธพาล……” พูดถึงตรงนี้ รั่วหลานก็กลืนน้ำลายไม่พูดต่อ
เรื่องนี้เธอเก็บซ่อนเอาไว้ในใจมานานหลายปี คนที่รู้เรื่องนี้ต่างก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงไม่มีใครกล้าพูด แต่ทว่ากลับเป็นบาดแผลไปชั่วชีวิตของเธอ
“ในตอนหลังแม่ก็พบว่าตนเองตั้งครรภ์ แม่ไปทำแท้งที่โรงพยาบาล แต่คุณหมอบอกว่ากับแม่ว่า สุขภาพร่างกายของแม่ไม่สามารถทำแท้งได้ สุดท้ายก็เลยเก็บลูกเอาไว้ ภายใต้แรงกดดันต่างๆที่เข้ามาในตอนหลัง จิตใจของแม่ก็พังทลาย” รั่วหลานพูดเสียงเรียบ
“หลายปีมานี้ล้วนเป็นเพราะมีพี่ฉู่คอยดูแล ไม่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นแบบไหนแล้ว”
หลินเวยมี่มองดูรั่วหลานอย่างนิ่งค้าง เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะเป็นจุดจบแบบนี้ และคิดไม่ถึงว่ารั่วหรานจะเคยเจอเรื่องเจ็บปวดมากถึงขนาดนี้มาก่อน
ไม่แปลกที่คุณท่านแก่ฉู่ไม่เคยยอมพูดถึงเรื่องนี้ และไม่ยอมที่จะเห็นเธอ
เธอคือสิ่งที่ได้จากความผิดบาป ไม่ว่าใครก็คงไม่ยินดีที่จะมองมั้ง?
น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ รั่วหรานเองก็เหมือนกัน สะอื้นเล็กน้อย “แม่คะ หลายปีมานี้แม่ต้องทนมามากน้อยแค่ไหน ขอโทษนะคะ ขอโทษนะคะ”
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าตนเองถูกทอดทิ้ง ภายในใจของเธอรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม ตอนนี้มองดูแล้วรั่วหรานต่างหากที่เป็นคนที่ถูกทำร้าย หลายปีที่ผ่านมานี้เธอต้องอดทนมามากน้อยแค่ไหน
“เด็กดี เป็นแค่เรื่องในอดีตเท่านั้น” รั่วหรานตบหลงของเธอเบาๆ หางตามีน้ำตาหยดลงมา ทว่าภายในใจกลับรู้สึกวางใจมาก
พูดความจริงออกมาแล้ว เธอรู้สึกว่าความโศกเศร้าภายในใจของเธอหายไปหมดแล้ว บางทีตลอดหลายปีที่ผ่านมา คงมีแค่วันนี้ที่เธอกล้าเผชิญหน้ากับเรื่องนี้
คุณท่านแก่ฉู่ยืนอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ มองดูทั้งสองที่กอดคอกันร้องไห้ ถอนหายใจยาวๆ
“คุณท่าน คุณรั่วหรานปล่อยเรื่องนั้นไปแล้วจริงๆหรอครับ” พ่อบ้านหลี่ยืนอยู่ด้านหลังคุณท่านแก่ฉู่สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความดีใจ
“น่าจะมั้ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เธอต้องแบกรับมากมายเกินไปแล้ว หวังว่าเธอจะสามารถปล่อยวางได้จริงๆ “คุณท่านแก่ฉู่มองไปที่ทั้งสองคน นานครู่หนึ่งกว่าจะหมุนตัวแล้วเดินออกไป
ตอนกลางคืน หลินเวยมี่ยืนอยู่ตรงระเบียงเงียบๆ นัยน์ตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความเสียใจ ฉู่เฉินซีกระเอมไอหนึ่งครั้ง กระชับเสื้อผ้าให้แน่น
“ฉู่เฉินฉี ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่าความจริงจะเป็นแบบนี้”
ฉู่เฉินซีที่นั่งอยู่ตรงโซฟานั้นในมือของเขามีแก้วไวน์หนึ่งแก้ว จิบไปหนึ่งคำทว่ากลับไม่ได้พูดอะไร
“ตอนนั้นเป็นเพราะว่าคุณรู้เรื่องนี้ ดังนั้นก็เลยเลือกที่จะผลักไสฉัน ไม่ให้รั่วหรานมาทำความรู้จักกับฉัน?”
“เรื่องนั้นส่งผลกระทบต่อจิตใจของรั่วหรานมาก คุณพ่อไม่อยากให้เธอคิดถึงเรื่องนั้นเอง ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือกำจัดสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอดีตทิ้งให้หมด” ฉู่เฉินซีพูดอธิบายเสียงเรียบ
หลินเวยมี่พยักหน้า วางแขนบนหน้าต่างและจับเกยแก้มตนเองเอาไว้ “รู้สึกว่าชีวิตนี้ของรั่วหรานนั้นลำบากมาก ฉันคือที่มาของความผิดบาป!”
“คนโง่” ฉู่เฉินซียิ้มแล้วด่าเสียงเบา
หลินเวยมี่หันไปมองเขา เดินก้าวเท้าใหญ่ๆแล้วไปแย่งแก้วไวน์ของเขาจากนั้นวางลงข้างๆ จากนั้นนั่งลงบนตักของเขาอย่างไม่สนใจ ยื่นมือไปบีบแก้มของเขา
“คุณด่าใครว่าคนโง่คะ?”
“ว่าคุณไง?” เขายิ้มแล้วกอดเธอเอาไว้แน่น นัยน์ตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป? ยั่วยวนผมโดยการให้ผมก่อน?”
หลินเวยมี่หยิกเขา “ทำไมคุณไม่จริงจังเลยคะ?”
ฉู่เฉินซีตบเธออย่างแรง “ผมจริงจังแค่ตอนอยู่บนเตียง อยากจะลองดูไหม?”
ใบหน้าเล็กๆของเธอ ส่ายหัวไปมา “ไม่เอาหรอกค่ะ”
“ไม่ง่ายเลยกว่าคุณจะยั่วยวนผมสักครั้ง ผมจะทำให้คุณพอใจเอง” ฉู่เฉินซียิ้มแล้วกระชากเสื้อของเธอ
“นี่ๆ คุณมันคนลามก” เธอรีบใช้มือหยุดเขาเอาไว้ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยการขอร้อง “คืนนี้อย่าเลยนะคะ ฉันเมื่อยเอวมาก ยังไม่หายเลย”
ฉุ่เฉินซีมองดูสีหน้าร้องขอของเธอ เขาใจอ่อนขึ้นมาในทันที “ถ้าอย่างนั้นคุณทำให้ไฟในร่างกายของผมดับก็ได้”
“ฉันบอกแล้วไงคะว่าวันนี้ไม่ไหวแล้ว” เธอเบ้ปากพูดพึมพำด้วยความไม่พอใจ
“ผมหมายถึงว่าใช้มือ!” พูดจบเขาก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย ลมหายใจอุ่นๆรดอยู่ตรงแก้ม “และแน่นอนว่าถ้าคุณชอบที่จะใช้ปาก ผมก็ไม่มีความคิดเห็นอะไร”
“ฉู่เฉินซี!” เธอร้องเรียกชื่อเขาเสียงดัง ใบหน้าเล็กๆแดงระเรื่อเป็นสีตับหมู เอามือลงไปด้านล่างด้วยความไม่ยินยอม
ตอนที่สัมผัสโดนของเขา มือเล็กๆนั่นก็หยุดลงครู่หนึ่ง ก้มหน้าลงแล้วถอดเข็มขัดของเขาออกอย่างมั่วซั่ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร เข็มขัดถึงถอดไม่ออกสักที
ทำจนเหงื่อแตกไปหมดทั้งหัวก็ยังถอดไม่ได้ สุดท้ายเธอก็เอามือออก สีหน้าของเธอไม่สามารถที่จะทนต่อไปได้แล้วพร้อมพูดพึมพำ “ความต้องการของสวรรค์ โทษฉันไม่ได้นะคะ”
“ในเมื่อพูดแบบนี้ ผมต้องใช้เอวของใครแล้วหรือเปล่า?” ฉู่เฉินซียิ้มเจ้าเล่ห์แล้วมองไปที่เธอ
หลินเวยมี่กระตุกมุมปาก ทำหน้าอ้อนวอน “อย่านะคะ เดี๋ยวฉันทำเองไม่ได้หรือไง?”
ขณะที่พูดนั้นมือน้อยก็คลำเข้าไปอีก
ฉู่เฉินซียิ้มแล้วจุ๊บแก้มของเธอ เข้าไปในคอเสื้อของเธอ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข
ทว่าทางด้านหลินเวยมี่กลับมีสีหน้าที่ไม่พอใจ ทำด้วยความรวดเร็ว เหมือนว่ากำลังลงโทษเขา
“อื้ม ผมชอบความเร็วของคุณ” ฉู่เฉินซีดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไร เขายิ้มแล้วพูดขึ้น
หลินเวยมี่ถลึงตามองดูเขา แขนของเธอเมื่อยไปหมดแล้ว
“ทำไมยังไม่เสร็จอีกคะ?”
ฉู่เฉินซีฟังเสียงของเธอที่พูดขึ้นเบาๆอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาพูดกระซิบอยู่ข้างหูของเธอ “ใช่ว่าคุณไม่รู้หนิ”
หลินเวยมี่หน้าแดงก่ำ ถลึงตามองดูเขา เอาหัวซบลงตรงหน้าอกของเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ช่างเถอะ วันนี้ผมจะปล่อยคุณไป”
ความอุ่นพ่นออกมา หลินเวยมี่จึงโล่งใจ รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างมือ
ลอบด่าฉู่เฉินซีในใจ ผู้ชายคนนี้สมควรตาย!
ฉู่เฉินซียืนพิงอยู่ตรงประตูห้องน้ำ กระตุกมุมปากแล้วยิ้มบางๆ ทว่านัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู
“คุณยืนอยู่ที่นี่ทำไมคะ?” หลินเวยมี่หันกลับไปมองเขา ใบหน้าเล็กๆของเธอตกใจจนซีดขาว
“ฟังคุณด่าผมไง”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันด่าคุณ” จนกระทั่งคำนี้พูดจบหลินเวยมี่พึ่งได้สติขึ้นมา ใบหน้าเล็กๆของเธอแดงก่ำ มองไปที่ใบหน้าของฉู่เฉินซีที่ค่อยๆหน้าดำเคร่งเครียดด้วยความกระอักกระอ่วน
“พูดผิด ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การพูดผิด ฉันรักคุณมากขนาดนี้ จะด่าคุณได้ยังไง” หลินเวยมี่ยิ้มแห้ง ทว่าไม่กล้าเข้าใกล้เขา
“พูดผิด? ผมว่าเมื่อกี้พูดจากใจชัดๆรึเปล่า?” มือใหญ่ของฉู่เฉินซีคว้าขึ้นมา คว้าเธอเข้าไปในอ้อมกอดในทันที
“ในเมื่อคุณไม่เชื่อฟังขนาดนี้ ผมเองก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะแสร้งเป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าคุณ” เขายิ้มแล้วกอดเอวเธอไว้ เดินไปที่เตียงขนาดใหญ่
หลินเวยมี่รีบคว้าแขนของเขาเอาไว้ ถลึงตามองดูเขาด้วยความไม่พอใจ “ฉู่เฉินซี คุณผิดคำพูด!”
“ผิดคำพูดก็ผิดคำพูด” เขายิ้มแล้วทับตัวลงมา
เช้าวันที่สอง หลินเวยมี่มองดูคนที่ยังหลับสนิทด้วยความโมโห รู้สึกไม่พอใจ จากนั้นก็ดึงผมของเขาหนึ่งเส้นด้วยความระมัดระวัง แล้วยัดเข้าไปในจมูกของเขา
เส้นผมยังไม่ทันเข้าใกล้ เขาลืมตาขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นมองไปที่เธอ ไม่เหมือนคนที่พึ่งนอนตื่น
ฉู่เฉินซียิ้ม มือใหญ่วางไว้ตรงเอวของเธอ “ที่แท้คุณก็ชอบอยู่ข้างบนนี่เอง?”
ใบหน้าเล็กๆของหลินเวยมี่ซีดขาว อยากที่จะลงจากบนตัวของเขา แต่มือของเขากลับจับเอวของเธอเอาไว้แน่นๆไม่ให้เธอถอยได้
“คุณตื่นนานแล้วใช่ไหม?” หลินเวยมี่พูดด้วยความแค้น
“ตอนที่คุณขึ้นมานั่งบนเอวของผม ผมก็ตื่นแล้ว ไม่ถือว่าเช้า” เขายิ้ม “คุณทำให้ไฟในร่างกายของผมร้อน คุณต้องรับผิดชอบในการดับไฟนี้”
ใบหน้าเล็กๆของหลินเวยมี่ซีดลง ใช้น้ำเสียงปรึกษาในการเอ่ยถาม “เฉิน เห็นแก่ความตั้งใจอย่างหนักของฉันเมื่อคืน ปล่อยฉันไปเถอะ”
“คุณตั้งใจอย่างหนัก?” ฉู่เฉินซีขมวดคิ้ว “ผู้หญิงที่สามารถนอนได้ระหว่างครึ่งทาง คุณตั้งใจอย่างหนักยังไง?”
แก้มของหลินเวยมี่แดงระเรื่อ หัวเราะแห้งๆเล็กน้อย “ใครบอกให้คุณแข็งแรงขนาดนั้นล่ะ ผู้หญิงตัวน้อยๆอย่างฉันไม่สามารถที่จะทนได้”
“คำพูดนี้น่าฟังจัง ผมยอมปล่อยคุณ” ปล่อยมือที่จับเอวเธอเอาไว้ มองดูใบหน้าเล็กๆของเธอที่กลับมาเป็นปกติแล้วกระตุกมุมปากขึ้นมา
หลินเวยมี่โล่งใจ นอนอยู่ข้างๆเขาอย่างว่าง่าย ไม่กล้าสัมผัสตัวเขาอีก
“มานี่” ฉู่เฉินซีออกคำสั่ง
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยทำตัวซื่อสัตย์หน่อย” เธอขยับเข้าไปนอนบนแขนของเขา
ฉู่เฉินซียิ้มแล้วก้มหน้าทับลงไป ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ที่รัก ชอบจูบอรุณสวัสดิ์ของผมไหม?”
เธอถลึงตามองดูเขาด้วยความไม่พอใจ อดไม่ได้ที่จะตะคอกออกมา “ค่ะ ชอบ ชอบมาก”