บทที่ 243 ผู้ชายที่ไม่พอใจ
หลินเวยมี่เอามือเท้าคาง สีหน้าเผยความรู้สึกเหน็ดหน่ายออกมา แล้วก็จามหนึ่งที เธอจึงเอามือถือขึ้นมาดู พอเห็นคนที่นัดไว้ยังไม่มา ตอนนี้เธอรอไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆแล้ว
“ขอบคุณด้วยนะ ลูกฉันโวยวาย ฉันเลยมาสาย” จากนั้นก็มีโจ่วซินเข้ามาข้างในโดยเร็ว ใบหน้าของเธอเผยความรู้สึกเกรงใจออกมา
เธอกับแต่ก่อนต่างกันมาก การแต่งกายของเธอดูเรียบง่ายขึ้นมามาก และสีหน้าก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนแต่ก่อน และพอดูๆแล้วก็รู้สึกสบายตาขึ้นมา
“หลายวันมานี้เสี่ยวเสว่ไข้ขึ้น เขาก็ไม่อยู่ข้างกายด้วย ฉันเลยมาสาย” โจ่วซินทำนัยน์ตาที่ดูผิดหวัง และพยายามกระตุกมุมปากขึ้นเพื่อมองหลินเวยมี่
หลินเวยมี่ทำสีหน้าที่นิ่งเฉย ใบหน้าไม่ได้เผยสีหน้าใดๆออกมา และก็ไม่ได้หัวเราะเยาะเธอเหมือนที่เธอคิดไว้ ในใจลึกๆจึงรู้สึกผ่อนคลายลง แล้วถามขึ้นต่อ “เวยมี่ เธอกลับมาประเทศมา ได้เจอเขามากี่ครั้ง?”
“เจอไม่กี่ครั้งหรอก โจ่วซิน หรือว่าเธอยังนึกว่าเราจะมีอะไรกันเหมือนแต่ก่อน?” หลิยเวยมี่ถามขึ้นตรงๆ ถึงแม้น้ำเสียงจะฟังไม่ออกว่าเธอรู้สึกดีหรือแย่ ทว่าเหมือนเธอดูสับสนและอดทนไม่ไหว
“ไม่ใช่ เธอเข้าใจผิดไปแล้ว ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” โจ่วซินจึงอธิบายขึ้นโดยเร็ว ภายใต้ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เขาไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว ฉันแค่อยากจะได้ข่าวจากเธอว่าเขาไปไหนกันแน่ เรื่องที่เขาออกจากงานก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โจมตีเขาอย่างถาโถมมากๆ”
หลินเวยมี่กระตุกขึ้นขึ้นเล็กน้อย “เธอบอกว่าเขาออกจากงานหรอ?”
“อืม ช่วงก่อนเขาออกจากงาน เวยมี่ ไม่ว่าจะยังไง ถ้าเขาจะมาหาเธอ ก็รบกวนเธอไปตักเตือนเขาที” โจ่วซินจึงพูดขึ้นโดยเร็ว
หลินเวยมี่พยักหน้า พอนึกถึงวันนั้นที่เจอกู้จุนเฟิงที่โรงพยาบาล เขาก็รู้สึกผิดหวังมากๆ ที่แท้ก็เพราะเหตุนี้นี้เอง
เขาพยายามสักแค่ไหนจึงจะได้นั่งตำแหน่งนั้นในวันนี้ จู่ๆก็ได้ออกจากงาน ก็คงจะทำร้ายเขามากๆ
หลินเวยมี่นอนอยู่บนโซฟาแล้วใช้หมอนลงศรีษะไว้ ใบหน้าเล็กๆเต็มไปด้วยความเหนื่อยและอ่อนเพลีย ช่วงนี้เธอก็ไม่รู้ว่าทำไม ทำไมถึงรู้สึกว่าเหนื่อยแบบแปลกพิลึก และรู้สึกง่วงมาก
มือใหญ่ๆที่แสนอบอุ่นจึงมาจับเอวของเธอไว้ แล้วอุ้มขึ้นขึ้นมา
หลิยเวยมี่จึงพึมพำด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย สองมือคล้งคอของเขาไว้ ใบหน้าเล็กๆไปแนบชิดกับแผงอกของเขา พร้อมพึมพำด้วยเสียงค่อย “ทำไมกลับมาแล้วล่ะ?”
“งานบริษัทยุ่งมาก” ฉู่เฉินซีช้อนตัวของเธอขึ้น แล้วอุ้มเธอไปชั้นบน “ทำไมไม่กลับห้องนอนล่ะ?”
ใบหน้าเล็กน้อยรู้สึกงง “ทีแรกฉันอยากรอคุณ……”
“หมูน้อยที่แสนขี้เกียจ” ฉู่เฉินซีผลักประตูเข้าไป แล้ววางเธอลงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็โยนเสื้อคลุมไปข้างๆ แล้วนอนลงข้างเธอพลางมองเธอ
เธอหลับตาลง แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ มือเล็กๆกอดเอวของเขาไว้ ทั้งตัวของเธอเข้าไปแนบชิดกับแผงอกของเขา
“คุณนี่แหละหมูจอมขี้เกียจ” เธอพึมพำเสียงต่ำ ปลายจมูกของเธอได้สูดดมกลิ่นของเขา ทำให้เธอรู้สึกวางใจมาก
ฉู่เฉินซีทำสีหน้าที่เคล้าด้วยความดีใจ ลมหายใจอันแผ่วร้อนของเธอส่งผ่านเสื้อและไปกระทบลงบนผิวของเขา ทำให้ใจของเขารุ่มร้อน นัยน์ตามองยังไปคอเสื้อของเธอ แล้วรู้สึกเร้ารุ่นขึ้นมา
มือใหญ่ๆที่แสนแผ่วเบาจึงค่อยๆเลื่อนขึ้นไปข้างบน
“อย่าขยับ” เธอพึมพำอย่างทนไม่ได้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วพร้อมกับทำสีหน้าไม่พอใจ
ฉู่เฉินซีหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ยกตัวเธอขึ้น
จึงทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา หลินเวยมี่เลยถลึงตาพร้อมกับมองไปด้วยความอึ้งทึ่ง
ฉู่เฉินซีหรี่ตาลงมองเธอ แล้วค่อยๆขยับเอว ทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น
“ผู้ชายสารเลว ฉันเหนื่อยจะตายแล้ว” หลินเวยมี่กัดฟันแล้วอยากจะปีนออกจากบนเรือนร่างของเขา เขากลับกดเธอไว้
“เป็นเด็กดีหน่อย ยัยผู้หญิงหัวดื้อ” เขาหัวเราะเสียงเบา ความอ่อนโยนห่อหุ้มเขาไว้ ทำให้เขารู้สึกเส้นประสาททุกเส้นถูกกระทบ
หลินเวยมี่ไม่ให้ความร่วมมือเลยสักนิด และกำลังจะหลับตานอน
วันที่สอง หลินเวยมี่ลืมตาขึ้นแล้วยังหาวไปหนึ่งที จากนั้นก็มองผู้ชายที่อยู่ข้างกาย แล้วตบหลังเขาแรงๆ
“ไอ้สารเลว! คุณชอบลวมลามฉัน”
ฉู่เฉินซีใช้มือใหญ่โอบเธอเข้ามากอด ใบหน้าอันหล่อเหลาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ “เวยมี่ คุณลืมไปแล้วหรอว่าคุณติดอะไรผมอยู่?”
“อะไร?” หลินเวยมี่ถามอย่างน่าทึ่ง เมื่อคืนเธอแค่หลับไปก่อน นอกจากนี้เธอก็ลืมไปแล้วว่าเธอติดค้างอะไรเขาไว้
ฉูเฉินซีไม่พูดไม่จา แล้วมอนิ่งคิสเธออย่างอ่อนโยน
“อรุณสวัสดิ์” เขาคลายยิ้มร่าเริงออกมา
“ฉู่เฉินซี คุณยังกล้าเล่นใหญ่แบบนี้ ฉันจะ…….”
“คุณจะทำอะไร? แลกด้วยร่างกายหรอ?” ฉู่เฉินซีหรี่ตาลงแล้วสังเกตมองเธอ จากนั้นก็พยักหน้า “ได้ ผมจะฝืนใจยอมรับมันนะ”
หลินเวยมี่มองเขาด้วยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย จากนั้นพึมพำเสียงเย็นชาสั้นๆ แล้วก็รีบวิ่งไปที่วิ่งห้องน้ำ
“ฉู่เฉินซี คุณรู้เรื่องของกู้จุนเฟิงหรือเปล่า?”
เสียงของเธอดังขึ้นจากห้องน้ำ สองมือของฉู่เฉินซีกำลังหนุนหัวของเขาอยู่ นัยน์ตาของเขาจึงดูดื้อรั้นขึ้นมา จากนั้นกลับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สนใจอะไร “กู้จุนเฟิงเป็นอะไรไป? คุณยังจะเป็นห่วงเขาหรอ?”
“ไม่ใช่ โจ่วซินมาหาฉัน แล้วบอกว่าเขาออกจากงาน คุณรู้ว่าทำไมไหม?”
“ผมไม่ไปสนใจศัตรูหัวใจของผมหรอก” ฉู่เฉินซีพึมพำด้วยเสียงเลือดเย็น จากนั้นก็พูดด้วยความไม่พอใจ
มือที่กำลังแปรงฟันของหลินเวยมี่จึงหยุดชะงักไป นัยน์ตาเคล้าด้วยความกังวลใจ พอนึกถึงนัยน์ตาที่สิ้นหวังของกู้จุนเฟิงในวันนั้น ในใจของเธอจึงรู้สึกไม่สบายมาก และกำลังรู้สึกเขากำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง
“กู้จุนเฟิง…….”
“อย่าทำให้ผมได้ยินชื่อที่ทำให้รำคาญใจเลย!” ฉู่เฉินซีจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแล้วขัดคำพูดของเธอ
หลินเวยมี่ถอนหายใจแล้วไม่พูดอะไรมากอีก แล้วแปรงฟันด้วยความขุ่นเคืองใจ
อาหารเช้ายังคงเป็นหลินซินหยานเป็นคนเตรียม หลินเวยมี่จึงรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย
“ซินหยาน วันข้างหน้าก็ไม่ต้องเตรียมอาหารเช้าแล้ว เธอยังต้องทำงาน นอนเยอะๆหน่อยเถอะ”
“ไม่เป็นไร ฉันชินไปแล้ว” หลินซินหยานยิ้มพลางยื่นนมแก้วหนึ่งให้เธอ
หลินเวยมี่มองรอยยิ้มของเธอ ในใจจึงรู้สึกทนไม่ไหว
“เวยมี่ ตอนบ่ายไปหาผมที่บริษัทนะ” ฉู่เฉินซีก้าวเท้าใหญ่แล้วเดินลงมา จากนั้นโน้มตัวลงหอมเธอหนึ่งที พลางทำนัยน์ตาที่เปล่งประกาย “ผมไปทำงานก่อนะ”
หลินเวยมี่หน้าแดงไปถึงลำคอ จากนั้นก็มองหลินซินหยาน กลับสังเกตเห็นว่าเธอทำสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ใดๆ แล้วกินอาหารไป เหมือนไม่เห็นพวกเขากำลังสวีทกัน
จากนั้นเธอจึงถลึงตามองเขาด้วยความเกลียดชัง แล้วพึมพำขึ้น
“คุณพี่ พวกพี่ยังคงรักกันเหมือนเดิม แล้วคิดว่าจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?” หลินซินหยานถามด้วยรอยยิ้ม
แก้มของหลินเวยมี่แดงขึ้นมา แล้วส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ได้กำหนดเลย ไม่แน่ใจ”
หลินซินหยานมองเธอด้วยความลุ่มลึก จากนั้นก็ก้มหน้าลงแล้วเผยนัยน์ตาที่เลือดเย็นออกมา
“ก๊อกๆ”
“เข้ามา” ฉู่เฉินซีเอ่ยปากพูดอย่างไม่ก้มหน้า น้ำเสียงเรียบเฉย
หลินเวยมี่ยกกาแฟหนึ่งแก้วแล้วตามเข้าไป จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะ
“ไม่มีเรื่องอะไรก็ออกไปเถอะ” น้ำเสียงอันเย็นชาไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่นิดดังขึ้น เรือนร่างแผ่รังสีความน่าเกรงขามออกมา
หลินเวยมี่คลี่ยิ้มอันร่าเริงแล้วมองเขา “งั้นผมไปจริงๆแล้วนะ”
ฉู่เฉินซีจับมือของเธอไว้ แล้วใช้แรงดึงเธอเข้าไปกอด แล้วจับคางของเธอเบาๆ “ทำไมตอนนี้ก็มาแล้ว? ผมยังยุ่งไม่เสร็จเลย”
“คุณไม่อยากเห็นฉันมากขนาดนี้เลยหรอ?” หลินเวยมี่ตบมือของเขาอย่างไม่พอใจ
“ไม่ใช่ ผมอยากจะดึงคุณแล้วมัดติดกับผมต่างหาก” ฉู่เฉินซีจูบเธออย่างลุ่มลึก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“มัด?” หลินเวยมี่จ้องตาเขา แล้วหยิกเขาหนึ่งที
เขาจึงยิ้มแล้วก้มหน้ามาจูบเธอ
“คุณชายสาม…….” ป่ายเฉิงผลักประตูเข้ามาในออฟฟิศ พอเห็นพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน สีหน้าของเขาจึงแดงก่ำเหมือนตับหมูสด
“เข้ามาไม่รู้จักเคาะประตูหรือไง?” ฉู่เฉินซีมองป่ายเฉิงด้วยหน้าดำหน้าแดง จากนั้นก็ทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ป่ายเฉิงกระตุกมุมปากขึ้น จากนั้นก็ถอยหลังไปเคาะประตู
หลินเวยมี่พยายามที่จะออกจากออฟฟิศ ฉู่เฉินซีกลับกอดเธอไว้มากกว่าเดิม เรือนร่างแผ่รังสีความโกรธออกมา
หลินเวยมี่จึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาด้วยความไม่เต็มใจ ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นไม่หยุด
“เหอะๆ ท่านประธานฉู่…….” นอกไม่ตูได้ยินเสียงของป่ายเฉิงดังขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก
หลิยเวยมี่จึงได้ทำนัยน์ตาที่ร้องขอเขา จากนั้นเธอจึงไปนั่งบนโซฟาแล้วเล่นเกมส์อยู่
“ท่านประธานฉู่ครับ นี่เป็นเอกสาร……”ป่ายเฉิงมองหน้าเขาเพียงแวบเดียว จากนั้นก็ไม่ได้ยื่นให้เขา “เอกสารนี้ผมรู้สึกว่ามันมีปัญหา ผมจะเอาไปแก้ก่อน พวกคุณทำต่อเถอะ และจะไม่ให้คนอื่นมารบกวนอีก”
ป่ายเฉิงพูดจบก็รีบเพ่นหนีออกไป แล้วปิดประตูด้วยความระวัง
“ไปเถอะ” ฉู่เฉินซีนั่งงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง
“ฉันจะไปทำอะไร?” หลินเวยมี่ถามเขาโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้น และจดจ่อกับเกมส์ที่เล่นอยู่
“งานแต่งของฉู่ชิ่งเจ๋อ ไปเลือกชุดกัน” ฉู่เฉินซีเอ่ยพูดง่ายๆ แล้วกระตุกยิ้มอันแปลกพิลึกขึ้น
ฉู่เฉินซีจูงมือของเธอแล้วค่อยเดินเข้าไปในห้าง และเห็นพนักงานขายยืนเรียงกันเป็นแถว เพื่อที่จะต้อนรับพวกเขา
“ท่านประธานฉู่ อยากถามท่านว่าท่านต้องการซื้ออะไรคะ? ทางเรามีพนักงานมืออาชีพในแต่ละด้านคอยแนะนำคะ” ผู้จัดการยิ้มอย่างร่าเริงพลางพูดประจบสอพลอต่อหน้าเขา
“ไม่ต้อง เดี๋ยวเราจะดูเอง” ฉู่เฉินซีพูดขึ้นด้วยเสียงนิ่งเฉย จากนั้นก็จูงมือหลินเวยมี่ไว้แล้วขึ้นชั้นสอง
“วันนี้เป็นวันอะไรกัน? ในห้องแม้แต่คนสักคนก็ไม่มี?” หลินเวยมี่ถามด้วยความแปลกใจ
“มีเยอะทำให้น่ารำคาญ”
หลินเวยมี่กระตุกมุมปากขึ้น แล้วก็รู้ทันทีว่าทำไมถึงไม่มีคน
“นี่ หน้าคุณหมองจนดูแย่มาก ยิ้มหน่อยสิ อย่าทำสีหน้าที่ดูไม่พอใจสิ” หลินเวยมี่จับแก้มของเขา แล้วคลายยิ้มออกมา
“ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไร” เขาโอบเอวของเธอไว้ แล้วดึงเข้าไปในอ้อมกอด “เมื่อคืนผู้หญิงคนนั้นที่ไม่รู้ตัวเองเป็นหรือตายขอผม? ผมกลัวจนต้องอาบน้ำเย็นสามรอบ”
“งั้นคุณไม่ใช่ว่าพอใจแล้วหรือไง?” หลินเวยมี่พูดด้วยเสียงเบา
ฉู่เฉินซูก้มลงมากัดหูของเธอ แล้วกระซิบข้างหูของเขาด้วยเสียงดัง “แค่ครั้งเดียว……”
หลินเวยมี่หดคอของตัวเองให้สั้นลง และพยายามหลบเลี่ยงเขา ใบหน้าเล็กๆของเธอแดงขึ้นมาทันที