บทที่ 234 สิ่งที่รักในการทำ
หลินเวยมี่นั่งอยู่ภายในร้านอาหารเช้าด้วยดวงตาที่แดงระเรื่อ เธอเงยหน้าขึ้นมองฉู่เฉินซีจากนั้นก็หลบตาลงอย่างรวดเร็วทันใจ แก้มของเธอชมพูตุ่นๆ แค่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ก็รู้สึกประหม่าแล้ว
“กินโจ๊กอะไร?”ฉู่เฉินซีถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แล้วแต่ค่ะ”หลินเวนมี่ตอบกลับเสียงเบา
ฉู่เฉินซียิ้มแล้วส่ายหน้า มองดูเธออย่างไม่รู้จะทำยังไง “คุณเป็นคนแล้วนะ ทำไมยังหน้าบางแบบนี้”
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นแล้วถลึงตาให้เขา บ่นพูดพึมพำ “หน้าของฉันจะบางแค่ไหรก็ถูกคุณทำให้หนาหมดแล้ว”
ฉู่เฉินซีส่ายหน้า ก้มหน้าลงกินโจ๊ก ใบหน้าที่ซีดขาวดูมีชีวิตขึ้นมาก “เวยมี่ เดี๋ยวคุณกลับบ้านเองนะ ผมมีเรื่องต้องไปทำต่อ”
“ทำไมรู้สึกว่าช่วงนี้คุณยุ่งยังเบยคะ?” หบินเวยมี่ขมวดคิ้วเป็นปมแบ้วเอ่ยถาม
“คุณไม่อยากให้ผมไปขนาดยั้นเลยหรอ ถ้างั้นผมก็จะอยู่กับคุณต่อ ทำในสิ่งที่พวกเรารัก” ฉู่เฉินซียิ้มร้ายให้กับเธอ
“ไม่มีความจริงจังเลยสักนิด!” หลินเวยมี่ก้มหน้ากินโจ๊กของตัวเอง ไม่อย่างนั้นเอาแต่ถูกฉู่เฉินซีแซว แก้มที่เมื่อกี้ไม่ง่ายเลยกว่าอุณหภูมิจะลดลงได้ตอนนี้ก็พุ่งสูงขึ้นมาอีก
“ฮ่าๆ ผู้หญิงชอบผู้ชายเลวไม่ใช่หรอ? คุณไม่ชอบ?” ฉู่เฉินซีพูดโดยไม่สะทกสะท้าน แววตาของเขาเคล้าไปด้วยความสุข
หลินเวยมี่นั่งเงียบแล้วกินอาหาร ทำเหมือนเขาเป็นเหมือนอากาศ ไม่สนใจและไม่พูดเถียงเขา
ฉู่เฉินซีก็ไม่ได้วุ่นวายอีก เขามองดูเธออย่างเงียบๆ แววตาของเขาดูลึกซึ้ง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“จริงด้วย ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะรู้” หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม
“เรื่องอะไร?”
“คุณรู้ไหมคะว่าฉันเป็นลูกของรั่วหรานกับใคร? ฉันรู้สึกว่าคุณท่านแก่ฉู่และรั่วหรานไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ ทำไมพวกเขาต้องปิดบังฉันเอาไว้?” หลินเวยมี่เอ่ยถามด้วยความสงสัย เรื่องนี้ยิ่งคนอื่นไม่บอกเธอ เธอก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด เหมือนมีก้างปลาตำโดนใส่ตัว มันทั้งทรมานและไม่สามารถทนได้
สีหน้าของฉู่เฉินซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาจ้องมองมาที่เธอเงียบๆ นานครู่หนึ่งกว่าจะถามขึ้น “พวกเขาว่ายังไงบ้าง?”
“จะบอกฉันในอนาคตข้างหน้า” หลินเวยมี่เบ้ปากด้วยความไม่พอใจ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยการคิดวิเคราะห์อย่างหนัก “แต่ว่าฉันอยากจะรู้ตอนนี้ ผู้ชายคนนั้นต้องเป็นคนสารเลวอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมรั่วหรานถึงไม่ยอมพูดถึง”
“ในเมื่อพวกเขาบอกว่าจะบอกกับคุณในวันข้างหน้า ผมเองก็ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมากมาย คุณก็คิดว่าเขาคือผู้ชายสารเลวแล้วกัน” ฉู่เฉินซีพูดอธิบายด้วยความเบี่ยงหนักให้กลายเป็นเบา
หลินเวยมี่มองดูเขาเงียบๆ อยากจะขอร้องให้เขาพูดความจริง แต่เหมือนว่าเขาจะรู้ว่าหลังจากนี้เธอจะทำอะไร เขาก็เลยใช้นิ้วมือวางไว้ตรงริมฝีปากของเธอ
“ผมไปก่อนนะ คุณห้ามอยู่กับผู้ชายคนไหนที่ผมเกลียด เข้าใจไหม?” แววตาของฉู่เฉินซีเต็มไปด้วยการข่มขู่ น้ำเสียงของเขาเคล้าไปด้วยคำสั่ง
หลินเวยมี่มองดูเขาด้วยความน่าสงสาร นานครู่หนึ่งกว่าจะพยักหน้า
“เชื่อฟัง กลางคืนผมจะไปหาคุณ แต่งตัวให้สวยๆหน่อยนะ พวกเราขึ้นไปดูดาวบนดาดฟ้าด้วยกัน” ฉู่เฉินซียิ้มจนพูดจบ จากนั้นโค้งตัวลงไปหาเธอ
ยังไม่รอให้เธอมีปฏิกิริยาตอบกลับ ริมฝีปากของเขาก็จุมพิตลงมา เขาจุมพิตลงมาแผ่วเบาแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของหลินเวยมี่แดงก่ำ แดงไปจนถึงคอ ผู้ชายคนนี้สมควรตาย ตอนนี้อยู่ที่สาธารณะ เขายังกล้าขัดข้อห้ามถึงขนาดนี้!
แต่ว่าเขากลายเป็นคนที่โรแมนติกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้อยากจะขึ้นไปดูดดาวบนดาดฟ้ากับเธอ…….
พึ่งคิดได้ถึงตรงนี้ อารมณ์ของเธอก็ถูกคำพูดของฉู่เฉินซีขัดขึ้น
“ผมรู้สึกว่าดาดฟ้าที่บ้านคุณไม่เลว”
ใบหน้าของหลินเวยมี่แดงระเรื่อมากกว่าเดิม ผู้ชายคนนี้สมควรตายจริงๆ!ทำเป็นพูดว่าอยากไปดูดาว แต่ความเป็นจริงนั้นคืออยาก……
ฉู่ซื่อกรุ๊ป ฉู่เฉินซีนั่งเงียบๆในห้องทำงาน ตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขามีผู้ชายใส่แว่นนั่งเอาไว้ เขามองดูแล้วเหมือนคนมีความรู้มาก
“คุณชายสามครับ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป หุ้นของฉู่ชิ่งเจ๋อจะมากกว่าคุณนะครับ พวกเราควรจะทำอะไรบางอย่างรึเปล่าครับ?” ใบหน้าของผู้ชายใส่แว่นเคล้าไปด้วยความอบอุ่น เขาพูดอย่างผ่อนคลาย
“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ควรจะทำอะไรนั้นไม่มีวันน้อยไปแม้แต่เรื่องเดียว” ฉู่เฉินซีกล่าวพูดอย่างมีเลศนัย มุมปากของเขากระตุกยิ้มขึ้นมา
ผู้ชายใส่แว่นค่อยๆลุกขึ้นยืน หยักไหล่อย่างไม่สนใจแม้แต่น้อย “แน่นอนว่าผมไม่ได้กังวล ผมเป็นแค่พนักงานบัญชีตัวเล็กๆคนหนึ่ง การแก่งแย่งชิงดีของพวกคุณนั้น แผนการต่างๆในการแย่งชิงผมเองก็ขี้คร้านที่จะยุ่ง”
ฉู่เฉินซีกระตุกยิ้มมุมปาก ทำงานอยู่ในฉู่ซื่อกรุ๊ปจะทำไปวันๆได้ยังไง?
โทรศัพท์สั่นพักหนึ่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วมองดูข้อความ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
บนดาดฟ้า หลินซินหยานในชุดเดรสสีแดงยื่นนิ่งๆ ลมพัดมาแรงมาก ทำให้ผมของเธอถูกพัดปลิวทั้งหมด มองดูจากที่ไกลๆนั้น ช่างเป็นภาพที่สวยงาม
ฉู่เฉินซีเดินไปยังบนดาดฟ้าช้าๆ สีหน้าเย็นชาหล่อเหลานั้นมองไปที่เธอ “บอกว่าไม่ให้คุณมาหาผมไม่ใช่หรอ?”
“คุณชายน้อย ฉัน……” หลินซินหยานมองดูใบหน้าที่เย็นชาและหล่อเหลา ทว่ากลับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยพูดอะไรดี สีหน้าของเธอดูเกร็งเล็กน้อย “คุณคิดจะทำแบบนี้จริงๆหรอคะ?”
“เรื่องที่ผมตัดสินใจแล้วนั้นคุณไม่มีสิทธิถาม หน้าที่ของคุณคือฟังคำสั่ง พวกเขาไม่ได้สงสัยในตัวคุณใช่ไหม?”
“ไม่ค่ะ” หลินซินหยานมองดูฉู่เฉินซีด้วยความหลงใหล ด้วยแววตาเปล่งประกาย
ฉู่เฉินซีมองดูเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ กล่าวพูดเสียงทุ้ม “นอกจากจะมีเรื่องจำเป็น ไม่อย่างนั้นไม่ต้องมาหาผม”
หลินซินหยานมองดูชายหนุ่มที่เดินจากไป เธอรีบก้าวเท้าไปด้านหน้าสองก้าวแต่ก็หยุดฝีเท้าเอาไว้ แววตาของเธอเคล้าไปด้วยความผิดหวัง
ภายในบ้านตระกูลฉู่ Elisยิ้มแล้วเปิดประตูห้องของฐาลี่ สายตาของเธอหยุดลงตรงชุดเจ้าสาวที่อยู่กลางห้อง บนชุดเจ้าสาวที่ขาวสะอาดนั้นมีดอกกุหลาบไม่เล็กไม่ใหญ่รวมตัวกัน ตรงเกสรดอกไม้ประดับด้วยเพชร ช่างเป็นชุดแต่งงานในฝันจริงๆ
“พี่คะ ชุดแต่งงานนี้……” Elisถามด้วยความแปลกใจ จากนั้นมองไปที่ฐาลี่อย่างพิจารณา
ฐาลี่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าหม่นหมอง บนร่างกายของเธอมีแค่ชุดนอนสีแดงกุหลาบ นัยน์ตาของเธอไม่มีความเปล่งประกาย
“ใช่ เป็นชุดเจ้าสาวของพี่สาว เดี๋ยวตอนเย็นไปดูชุดราตรีเป็นเพื่อเธอเอง” เธอพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
สีหน้าของElisดูเกร็งๆ แววตาของเธอมองไปยังรอยคิสมาร์กบนคอของเธอ หรือว่าพวกเขาสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน?
“พี่คะ เมื่อคืนเฉินกลับมาใช่ไหมคะ?” Elisเอ่ยถามอย่างระวัง พร้อมมองดูสีหน้าของเธออย่างพิจารณา
สีหน้าของฐาลี่ไม่เปลี่ยน มองดูเธอนิ่งๆ
อยู่ดีๆElisก็รู้สึกหนาวขึ้นมาทั้งตัว คงเป็นเพราะแววตาของฐาลี่ที่เฉียบคมจนเกินไป ทำให้เธอรู้สึกผิดขึ้นมา ฝ่ามือของเธอมีเหงื่อไหล
“น้ำผลไม้เมื่อคืน……”
“พี่คะ ฉันแค่อยากให้พี่กับเฉินอยู่ด้วยกัน ฉันไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝง” ไม่รอให้ฐาลี่ได้พูด Elisก็รีบพูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย
ฐาลี่คลายยิ้มบางๆ นัยน์ตาของเธอว่างเปล่า มองดูเพดานอย่างไร้เรี่ยวแรง เธอกับฉู่เฉินซีไม่มีวาสนาต่อกันมานานแล้ว ชั่วชีวิตนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก
” พี่คะ ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ฉันแค่อยากจะช่วยพี่ก็เท่านั้น” Elisเขย่าตัวฐาลี่เบาๆ สายตาพลันมองเห็นรอยคิสมาร์กบนร่างกายของเธอ หันหน้าหนีไปทางอื่นด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
“ออกไป” เสียงที่ไร้เรี่ยวแรงของฐาลี่เอ่ยพูดขึ้น
สีหน้าของElisย่ำแย่มากกว่าเดิม เธอไม่รู้ว่าสรุปแล้วตัวเองทำผิดตรงไหน เธอต้องการที่จะจับคู่พวกเขาชัดๆ แล้วทำไมฐาลี่ถึงทำแบบนี้กับเธอ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ภายในใจของเธอก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
“พี่คะ ฉันทำเพราะหวังดีกับพี่ พี่มีสิทธิอะไรมาทำแบบนี้กับฉัน?”
“ฉันรู้ว่าพี่ยังรักฉู่เฉินซี ดังนั้นฉันก็เลย…….”
“แฮ่กๆ” เสียงไอแห้งๆดังออกมาจากนอกประตู
Elisนิ่งค้าง เธอหยุดพูด จากนั้นหันไปมองคนที่อยู่ตรงประตู สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นดูถูกในทันที
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
“ผมมาหาว่าที่ภรรยาของผมมันผิดหรือไง?” ใบหน้าของฉู่ชิ่งเจ๋อเคล้าไปด้วยรอยยิ้ม ในมือของเขาถือขวดเก็บความร้อนเอาไว้ “ถ้าคุณElisไม่มีธุระอะไร รบกวนออกไปด้วย จะได้ไม่ต้องเป็นการรบกวนพวกเรา”
“คุณ!” Elisถลึงตามองดูเขา จากนั้นก็มองไปที่ฐาลี่
“Elis วันนี้พี่ไม่สบาย เธอออกไปเถอะ” ฐาลี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แววตาของเธอเคล้าไปด้วยความเย็นชา
Elisถลึงตามองดูพวกเขาด้วยความโกรธเคือง จากนั้นกระแทกประตูแล้วเดินออกไป
เสียงปิดประตูเสียงดังทำให้ฐาลี่ขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอดูไม่พอใจเท่าไหร่
“กินอะไรหน่อยสิ ผมได้ยินพวกคนรับใช้บอกว่าคุณไม่กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า” ฉู่ชิ่งเจ๋อใช้ช้อนตักโจ๊กแล้วป้อนไปที่ข้างปากของเธอ
การกระทำของเขาดูหว่านเสน่ห์จนเกินไป สีหน้าของฐาลี่นิ่งงันแล้วไม่ขยับแม้แต่น้อย
“ไม่กิน?” ฉู่ชิ่งเจ๋อเอ่ยถามเสียงทุ้ม “หรือว่ากำลังรอฉู่เฉินซี?”
“คุณพูดอะไร?”
“ผมบอกกับคุณแล้ว ว่าที่นี่ของคุณต้องมีผม ลบเงาของผู้ชายคนอื่นไปให้หมด!” ฉู่ชิ่งเจ๋อชี้ไปที่หัวใจของเธอ น้ำเสียงของเขาเคล้าไปด้วยความโมโห
“ฉู่ชิ่งเจ๋อ ฉันตกลงที่จะแต่งงานกับคุณ แต่ไม่ได้บอกว่าจะขายใจของฉัน คุณไม่มีสิทธิมายุ่งว่าฉันจะรักใคร” ฐาลี่พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ น้ำเสียงของเธอนั้นแน่วแน่
“ฐาลี่ อยู่ไหม?” ด้านนอกมีเสียงของหลินเวยมี่ดังขึ้น ตามด้วยเสียงเคาะประตู
สีหน้าของฐานลี่ดูดีขึ้นเล็กน้อย “ฉู่ชิ่งเจ๋อ คุณออกไปเถอะ ฉันยังไม่อยากเห็นหน้าคุณตอนนี้”
ฉู่ชิ่งเจ๋อวางขวดเก็บความร้อนเอาไว้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็เดินก้าวเท้าใหญ่ๆไปที่ประตู เปิดประตูแล้วมองหลินเวยมี่ด้วยสายตาเย็นชา พุ่งตัวออกไป
“ทำไมสีหน้าของเขาถึงแย่แบบนี้? พวกคุณทะเลาะกัน?” หลินเวยมี่เอาเชอร์รี่ในมือยื่นให้กับเธอ แล้วถามด้วยความแปลกใจ
“เปล่า เขาเป็นแบบนี้มาโดยตลอดไม่ใช่หรอ?” ฐาลี่เอ่ยพูดเสียงเรียบ จากนั้นหยิบเชอร์รี่มาจากมือของเธอ ป้อนเข้าปากความรู้สึกเปรี้ยวนั้นทำให้เธอต้องขมวดคิ้ว
“ทำไมเปรี้ยวขนาดนี้”
“เปรี้ยวเปรี้ยวหวานหวานก็ยังโอเคหนิ”
ฐาลี่ถอนหายใจยาวๆ สีหน้าของเธอมีความเสียใจแฝงอยู่ จากนั้นหยิบเชอร์รี่เข้าปาก
“คุณมีเรื่องที่เก็บเอาไว้ในใจ?” หลินเว่ยมีดูออกว่าสีหน้าของเธอไม่ดีนัก จึงเอ่ยถามเสียงเบา “ระหว่างพวกคุณเกิดปัญหาขึ้นใช่ไหม?”
“พวกเราใกล้จะแต่งงานกันแล้ว” ฐาลี่เงยหน้าขึ้นมองหลินเวยมี่ด้วยความตกใจ
ทั้งสองสบกันอย่างเงียบๆ รู้สึกว่าภายในดวงตาของเธอมีความเจ็บปวด อยู่ดีๆหลินเวยมี่ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิด แย่งความสุขของฐาลี่มา
“ขอโทษนะ”
คล้ายว่าคิดขึ้นได้ หลินเวยมี่พูดขอโทษเสียงเบา ถ้าไม่มีเธอ บางทีพวกเขาสองคนคงจะได้รักกันไปแล้ว?
วัยสาวสิบปีของผู้หญิงคนหนึ่งใช้ไปกับฉู่เฉินซี ทว่ากลับไม่มีผลลัพธ์อะไรสักอย่าง เธอไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าสิบปีนี้เป็นแนวคิดยังไง แล้วสำหรับฐาลี่แล้วมีความหมายอะไร
วินาทีนี้ เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวจริงๆ