บทที่ 239 อยากได้ไหม
ฉู่ชิ่งเจ๋อมองเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ ภายใต้ดวงตามีความสงสัยแอบแฝง “เมื่อกี้ผมเหมือนเห็นคุณหลินกำลังพูดคุยกับใครไม่รู้?”
“คุณมองไม่ผิดใช่ไหม? ฉันอยู่ตัวคนเดียวตลอด” หลินเวยมี่พูดด้วยความเกรงใจ และไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเธอถึงช่วยกู้จุนเฟิงปิดบังด้วย และรู้สึกในใจลึกๆว่ากู้จุนเฟิงกำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“อ่อ อาจจะมั้งครับ” ฉู่ชิ่งเจ๋อคลายยิ้ม จากนั้นก็ไม่รู้ว่าคำพูดของเธอเชื่อได้หรือไม่ได้
“งั้นฉันไปแล้วนะ” หลิวเวยมี่ไม่ยอมอยู่กับเขาแม้แต่วินาทีเดียว จากนั้นก็ได้เดินจากไป
หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล จึงได้กวาดสายตามองไปรอบทิศ ไม่เห็นจะเจอคนที่เธอต้องการเจอเลย นัยน์ตาของเธอจึงเต็มไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นก็ค่อยๆเดินไปตรงถนนเพื่อโบกแท็กซี่
จู่ๆก็มีคนมาดึงข้อมือของเธอไว้ ทั้งตัวของเธอจึงถูกลากไปยังซอกซอยที่เปลี่ยว ตลอดทั้งทางหลินเวยมี่อยู่เงียบๆ ตั้งแต่แรกจนจบก็ไม่ได้แสดงทีท่าที่ดูตื่นเต้นหรือหวาดกลัวเลยสักนิด
ตั้งแต่ตอนที่กู้จุนเฟิงดึงตัวเธอไป เธอก็สัมผัสได้ว่าถึงกลิ่นกายของเขา เป็นกลิ่นกายที่คุ้นเคยมาก
“เสี่ยวจื๋อ คุณเป็นอะไรไป?”
“เปล่า” นัยน์ตาของกู้จุนเฟิงเปล่งประกายความไม่เป็นธรรมชาติออก เขานิ่งเงียบแล้วพิงอยู่ตรงกำแพง คางของเขาเงยขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปยังท้องฟ้าที่โปร่งใส นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและความสับสน
ถึงแม้กู้จุนเฟิงจะเป็นผู้ชายที่แน่วบ้าและสุขุมมาโดยตลอด ทว่าเวลานี้ตอนนี้กลับทำให้หลิวเวยมี่รู้สึกได้ว่าถึงความผิดหวังของเขา มันเป๋นเรื่องที่รุนแรงมากๆ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เธอเดินหน้มา แล้วถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้สึกว่าเรื่องมันรุนแรงมากๆ
“เสี่ยวชี และคนในครอบครัวสำคัญกับผมมากๆ” กู้จุนเฟิงเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็กระตุกมุมปากขึ้น “ดังนั้นใครจะทำร้ายญาติของผม ผมก็จะทำทุกวิถีทางในการแก้แค้น”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วแล้วมองเขา ในใจลึกๆรู้สึกว่าแม่ของเขาต้องเกิดเรื่องแน่นๆ ไม่งั้นคำพูดของเขาก็คงไม่รุนแรงถึงขั้นนี้หรอก
“เสี่ยวจื๋อ คุณคิดเผื่อตัวเองหน่อย คิดเผื่อครอบครัวคุณหน่อย ลูกสาวของคุณ และคิดเผื่อฉันหน่อย” หลินเวยมี่ทนไม่ไหวที่จะเข้าไปจูงมือเขา ไม่อยากจะเห็นเขาเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้
หรือเพราะว่าเธอไม่สามารถทนกับการที่คนที่ตัวเองให้ความสำคัญต้องเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นใคร เธอก็ไม่ยอม
ทว่าเธอกลับละเลยไป ความจริงในตอนนี้ก็ยังเป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องเล่าในนิยาย และไม่ใช่มีการอวสานอย่างสมบูรณ์เหมือนดั่งในนิยาย
กู้จุนเฟิงก้มหน้าลงมองเธอ และสัมผัสได้ถึงความกังวลในใจของเธอ ทำให้รู้สึกได้รับการปลอบโยนโดยทันที ชีวิตนี้สิ่งที่เขาไม่เสียใจมากที่สุดก็คือการได้มาพบเธอ
“ดี อย่ากังวลผมเลย จริงๆผมสบายดีมาก” กู้จุนเฟิงขึ้นหน้ามากอดเธอ ทว่าก็เหมือนจะนึกถึงว่าตัวเองต้องเอามือไปวางอีกข้าง จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างอึดอัดใจ
หลิวเวยมี่ขมวดคิ้วขึ้น แล้วขึ้นหน้าไปจับเอวของเขาไว้ จากนั้นก็เอาหัวของเธอมุดเข้าไปตรงหน้าอกของเขา จากนั้นก็ได้ยินอ่อนๆของเขา เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยจนเหมือนสลักไว้ตรงกระดูก
“อย่าให้ฉันรู้สึกเป็นห่วงคุณ ได้ไหม?”
พอผ่านไปตั้งนานก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากเขา นัยน์ตาอันลุ่มลึกของกู้จุนเฟิงเปล่งประกายคราบน้ำตาใสๆ ออกมา หมากล้อมเดินผิดก้าวก็ย่อมพ่ายแพ้ ชีวิตของคนเราก็แบบนี้ เขาจะมีโอกาสที่ถอยหลังได้อีกหรอ?
ความจริงได้บังคับให้เขาไร้ซึ่งหนทางข้างหน้า เขาก็ไม่มีทางเลือก
รอให้หลินเวยมี่จากไป กู้จุนเฟิงก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไปนาน จากนั้นก็ทำสีหน้าที่หม่นหมอง ร่างกายของเขาเผยความเย็นชาออกมา
“ยังไง? จะแอบดูอีกนานแค่ไหน?”
หลินซินหยานก้มหน้าแล้วเล่นมือถืออยู่ เธอมองรูปที่อยู่ข้างบน แล้วกระตุกมุมปากพลางยิ้มกว้าง
“มุมได้มาก สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลินเวยมี่เป็นฝ่ายกอดคุณก่อน” หลินซินหยายพยักหน้าด้วยความพอใจ
“อย่าทำอะไรเธอ!” กู้จุนเฟิงขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่
หลินซินหยานคลายยิ้มพลางเดินมาเข้าใกล้เข้า จากนั้นก็บีบคอเขาไว้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเขา
“กู้จุนเฟิง ตอนนี้แกยังมีสิทธิมาข่มขู่ฉันอีกหรอ?”
“สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงที่สุด เราก็แค่ตายไปด้วยกันเท่านั้น!” กู้จุนเฟิงพึมพำเสียงเย็นชา จากนั้นก็ผลักเธอออก แล้วทำนัยน์ตาที่ไม่สามารรถบดบังความเกลียดชังไว้ได้
หลินซินหยานแสยะยิ้มออกเสียง และไม่ได้สนใจอะไรเลย จากนั้นก็บันทึกรูปไว้ แล้วค่อยๆเอ่ยพูด “กู้จุนเฟิง หรือว่าแกไม่ได้คิดอะไรกับหลินเวยมี่เลย?”
กู้จุนเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ในใจลึกๆมีคนๆนั้นไว้นาน แล้วจะลืมได้ยังไง? แค่เขากำลังหลอกตัวเองเท่านั้น
“ไหนๆก็เป็นแบบนี้แล้ว งั้นก็อย่าพูดคำพูดพวกนั้นที่ทำให้ละลายใจเลย จริงๆแกก็หวังว่าความสัมพันธ์ของพวกแกจะแตกแยกกันนี่แหละ?”
ทีแรกคำพูดที่แสนธรรมดากลับทำให้กู้จุนเฟิงไม่มีอะไรจะสวนกลับ ในใจลึกๆของเขาไม่ได้หวังว่าพวกเขาสองคนจะสามารถอยู่ด้วยกันจริงๆ อย่างน้อยถึงเวลาเขาก็คงมีโอกาส
เขารู้สึกว้าวุ่นใจจนชา จริงๆรู้ว่าตัวเองไม่ควรเดินในเส้นทางทิศทางนี้ ทว่าเขาก็ทนไม่ไหว ดั่งที่คาด ทุกคนต่างก็มีมุมที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง ใครก็ไม่สามารถหันหลังเดินจากไปโดยที่ไม่หวาดกลัวอะไรหรอก
ไหนๆในใจลึกๆ หลินเวยมี่ก็ยังคงต้องคนที่ทำให้เขารู้สึกดี
“พอเถอะ แกแค่เตรียมตัวให้พร้อมในการทำเรื่องของตัวเองก็พอ” หลินซินหยานตบไหล่เขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สะใจ
วินาทีต่อไป ข้อมือก็ถูกจับไว้แน่นๆ เธอจับจ้องเขาด้วยคิ้วขมวด
“ทำไม?”
“หลินซินหยาน คนของเธอไม่มีปัญหาจริงๆหรอ?” น้ำเสียงของเขาเย็นชา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมัวหมองน่ากลัว
“แน่นอนว่าต้องไม่มีปัญหาสิ งานแต่งของพวกเขาเลื่อนให้ช้าลงหนึ่งเดือนแล้ว คุณยังมีเวลาหนึ่งเดือนในการเตรียมตัว หลังจากที่เสร็จภารกิจฉันจะจัดการให้แกออกจากที่นี่” หลินซินหยานอธิบายด้วยเสียงเรียบ
กู้จุนเฟิงจึงจะปล่อยมือเธอ แล้วก้าวเท่าใหญ่ๆออกจากซอกซอยไป
“เพล้ง”
จู่ๆก็มีแก้วกาแฟตกลงบนพื้น แก้วก็แตกเป็นซากๆ กาแฟร้อนๆหกกระจาย กลางอากาศก็ได้กลิ่นแต่กาแฟที่หอมกรุ่น
คนในห้องประชุมไม่มีใครกล้าหายใจแรงๆ ใครก็ไม่รู้ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้มิงค์ตัวหนึ่งถูกยั่วโมโหได้
ฉู่โม่เฉิงทำสีหน้าที่หม่นหมองลง จากนั้นก็มองไปยังรูปในมือถือ มือที่จับมือถือไว้ขาวซีดทันตา เหมือนกำลังกดกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้อย่างรุนแรง
“ท่านประธานฉู่ครับ”ป่ายเฉิงเรียกชื่อเขาขึ้นด้วยความหวังดี ทำให้แสดงให้เห็นว่านี่พวกเขากำลังประชุมอยู่
ฉู่เฉินซีจึงเหลือบตามองด้วยสายตาอันนิ่งเฉย จากนั้นคนรอบข้างรู้สึกเหมือนโดนเข็มพิษแทง
ป่ายเฉิงคลายยิ้มอ่อนๆ แล้วส่ายหัว แต่ว่ากลับไม่ได้ตกใจในความโหดเหี้ยมของเขา
“เลิกประชุมก่อนเถอะ”ป่ายเฉิงคลายยิ้มพลางตะโกนใส่คณะกรรมการทุกคนที่อยู่ในที่ประชุม
ฉู่เฉินซีจึงขยับตัวไปพิงอยู่หลังเก้าอี้ จากนั้นก็หลับตา สีหน้ากลับดูแย่ยิ่งนัก
ป่ายเฉิงจึงได้เอามือถือขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอเห็นรูปในมือถือ จึงถอนหายใจแรงๆ
“คนมักจะบอกว่าผู้หญิงเป็นเหมือนภัยน้ำท่วม คำๆนี้ไม่ผิดเลยสักนิด ท่านประธานฉู่ที่ปกติไม่ชอบแสดงอารมณ์และความรู้สึกของตนเองออกมา ยังเครียดถึงขนาดนี้ จริงๆเลย…….”
“ป่ายเฉิง ถ้าแกยังพูดคำพูดที่ไร้สาระข้างหูฉันอีก แกก็สามารถไปดูคิงคองถึงแอฟริกาได้ทันที” น้ำเสียงของฉู่เฉินซีนิ่งเฉย ฟังไม่ออกว่าเขากำลังโกรธเป็นไฟอยู่
แต่ว่าคนที่เข้าใจเขาดี ก็รู้ว่านี่เป็นอาการที่เขากำลังจะโมโห
“ฉันชอบดูกระเทยที่เมืองไทยมากกว่า” ป่ายเฉิงคลายยิ้มอ่อนๆ “คุณบอกว่าคุณจีบผู้หญิงคนนี้มาหลายปีขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงแม้แต่ความไว้วางใจสักนิดก็ยังไม่มีเลย? ไหนๆก็มีคนตั้งใจส่งรูปมาให้คุณ ก็แสดงว่าเขาอยากจะให้คุณโกรธ และโมโห”
“ทุกคนมักจะบอกว่าผู้ชายจะมีไอคิวต่ำลงศูนย์เมื่อมีความรัก คำๆนี้สมเหตุสมผลจริงๆ”
ฉู่เฉินซีจะเปิดตาขึ้น แล้วเปล่งประกายความโหดเหี้ยมผ่านนัยน์ตาออกมาดั่งหมาป่า
“แกมองฉันแบบนี้ทำไม?” ป่ายเฉิงรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาทันที จากนั้นก็ได้ถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้น”
“เชื่อใจ” ฉู่เฉินซีพูดสองพยางค์นี้ออกมาด้วยเสียงเรียบเฉย จากนั้นก็เอามือถือขึ้นมาดูใหม่ กลับอดกลั้นอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไม่ได้
คนๆนี้เป็นรักแรกของเธอ และเป็นคนที่คอยปกป้องเธอ เธอสามารถทำได้ถึงขั้นไม่สนใจผู้ชายคนนี้ได้ยังไงล่ะ?
ทว่าไม่พูดไม่ได้ว่าคำพูดของป่ายเฉิงนั้นสมเหตุสมผลมากๆ เขารู้สึกโกรธจนใจร้อน เลยไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้
เขาจึงกลับบ้านไปแต่เช้า แต่สังเกตเห็นว่าหลินเวยมี่ไม่อยู่บ้าน เขานั่งอยู่ตรงโซฟาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็จุดบุหรี่หนึ่งมวน กลับไม่ได้สูบ แต่ปล่อยให้ควันฟุ้งกระจายกลางอากาศ
พอเสียงเปิดประตูดังขึ้น สายตาของฉู่เฉินซีก็หันไปมองตรงประตู
หลินเวยมี่ผลักประตูเข้ามา แล้วมองผู้ชายตรงโซฟาด้วยความแปลกใจ “ทำไมคุณกลับมาตอนนี้?”
เขาไม่ได้ตอบกลับ จากนั้นก็ไปจูงมือเธอ แล้วลากตัวเธอมาอยู่ในอ้อมกอด
แค่เธอกลับรู้สึกแปลกถึงความเกรี้ยวโกรธของเขา ทุกอย่างมันน่าแปลกไปหมด
ฉู่เฉินซีจึงได้กระชาเสื้อของเธอออก ทำเหมือนบนเสื้อมีเชื้อโรคที่น่ากระอักกระอ่วน แล้วก็กดตัวเธอลงบนโซฟา
หลินเวยมี่หายใจอ่อนๆ แล้วก็ได้กันมือของเขาไว้ จากนั้นก็มองเขาด้วยความงงงวย
“คุณเป็นอะไรไป?”
ฉู่เฉินซีไม่ตอบกลับ
“ฉะ…….เฉิน” หลินเวยมี่ดิ้นไปดิ้นมาบนโซฟา กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถหนีไปไหนได้
“อืม…….” ใบหน้าเรียวเล็กของเธอแดงก่ำ แล้วเธอก็ร้องออกเสียง ทั้งตัวของเธอเหมือนดั่งน้ำใสๆ ที่ไม่มีแม้แต่พละกำลัง ทำให้เธอไร้ทางสู้
จูบของเขาไล่ไปตามร่างกายของเธอ เหมือนกำลังประกาศว่าตัวเองมีอำนาจสูงสุด และทุกๆจุดตามร่างกายของเธอ เขาก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้
หลินเวยมี่เผยสีหน้าที่แดงอมชมพู ลำตัวก็สั่นเทาไม่หยุด ในใจกำลังอดกลั้นความกลัว และกัดริมฝีปากไว้แน่นๆ
“อยากได้ไหม?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก
นิ้วมือจับมุมปากของเธอไว้ แล้วถามขึ้นต่อ “อยากได้ไหม?”
หลินเวยมี่หน้าแดงไม่กล้ามองเขา กลับรู้สึกนี่เป็นความทุกข์ทรมานสำหรับเธอ และรู้สึกโกรธ
เธอจึงพึมพำด้วยความพอใจไปไม่กี่คำ ใบหน้าเรียวเล็กกำลังโมโหมากๆ
ฉู่เฉินซีมองเธอแล้วใช้แรงเหยียดกายลง
“อืม” เธอหรี่ตาลงแล้วมองเขา เป็นน้ำเสียงที่ไม่สามารถอดกลั้นความทุกข์ทรมานได้อีกต่อไป
มือใหญ่ๆของฉู่เฉินซีโอบเอวของเธอไว้ แล้วพูดด้วยเสียงเรียบเฉย “จับเอวของผมไว้”
หลิวเวยมี่ก็ฟังคำสั่งของเขา จากนั้นท่าของพวกเขาจึงเข้ากันได้มากขึ้น