ตอนที่ 1931
หนึ่งวันผ่านไป
ในที่สุดเซี่ยปิงก็ขับเคลื่อนยานดาราจักรมาถึงที่ดาวฟ้าดิน
“ศิษย์น้องเซีย ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ครั้งนี้ที่เข้าไปในพื้นที่ของแผนผังโชคชะตาราศี เจ้าได้รับการเก็บเกี่ยวที่ดีหรือไม่?”
ทันทีที่กลับมาถึงดาวฟ้าดิน ผู้นํานิกายจูเซียนและคนอื่นๆก็ออกมาต้อนรับทักทายเซี่ยปิง แต่ละคนต่างก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ก็ดีในระดับหนึ่ง ได้พบกับโชคลาภเล็กๆน้อยๆ”
เซี่ยปิงก็พูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
พบโชคลาภเล็กๆน้อยๆ?!
ผู้นํานิกายจูเซียนและคนอื่นๆก็กัดมุมปาก ก่อนหน้านี้พวกเขาก็จดจําได้ถึงโชคลาภมากมายที่เซี่ยปิงได้รับมา รวมถึงพัฒนาการที่รวดเร็วของเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดว่าครั้งนี้เซี่ยปิงจะได้รับโชคลาภเล็กๆน้อยๆมา
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อลองสังเกตดูดีๆ เจ้าเด็กนี่ก็เหมือนจะพัฒนาเลื่อนขั้นขึ้นมาในระดับกฏเทวรูปขั้นกลาง เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเลื่อนขั้นขึ้นมาในระดับกฏเทวรูปขั้นเริ่มต้น ไม่คาดคิดว่าตอนนี้จะเลื่อนขั้นขึ้นไปอีกแล้ว
ความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้เรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก แม้แต่การเปิดประตูยานอวกาศก็ไม่ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
ทว่าเมื่อคิดได้เช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกหดหูขึ้นมา ครั้งนี้ที่เข้าไปในพื้นที่ของแผนผังโชคชะตาราศี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปลอดภัย ปราศจากผู้บาดเจ็บล้มตายและไม่ได้พบเจอเข้ากับเจ้าปีศาจร้ายอู๋ตี้นั่น
ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ครอบครองสมบัติมามากนัก ได้รับการเก็บเกี่ยวเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
เดิมทีพวกเขาก็ต้องการเข้าร่วมการประมูลของอู๋ตี้และครอบครองเม็ดยาแห่งโชคชะตามา ไม่คาดคิดว่าจะถูกเจ้าอู๋ตี้นั่นขับไล่ออกมา บอกว่าไม่อนุญาตให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าร่วมการประมูล ท้ายที่สุดพวกเขาจึงไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆมา
นี่เรียกได้ว่าไม่ต่างไปจากการกลับมามือเปล่า เป็นการใช้ระยะเวลาหลายเดือนไปอย่างสูญเปล่า
เมื่อเปรียบเทียบตนเองกับเซี่ยปิงแล้วนั้น พวกเขาก็คิดว่าตนเองใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม เซี่ยปิงก็คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน หากผู้อาวุโสบางคนของนิกายฟ้า ดินครอบครองเม็ดยาที่อยู่ข้างในพื้นที่ของแผนผังโชคชะตาราศีมาได้ มันจะส่งผลเสียต่อทางนิกายเป็นแน่
“จริงสิ ครั้งนี้ที่พวกเราออกมาหาเจ้าเพราะมีบางอย่างให้เจ้าช่วย”
ผู้นํานิกายจูเซียนก็พูดตรงเข้าประเด็นทันที
“มีเรื่องอะไร?”
เซี่ยปิงเอ่ยถาม
“ในหนึ่งเดือนข้างหน้าจะมีการทดสอบสําหรับบรรดาลูกศิษย์หน้าใหม่ เป็นการทดสอบที่เจ้าก็เคยผ่านมาแล้ว เป็นการเข้าไปหาประสบการณ์และสังหารพวกเดม่อนในโลกแห่งอบิส” ผู้นํานิกายจูเซียนก็พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้เจ้าก็เป็นยอดฝีมือในระดับกฏเทวรูปแล้ว มีสถานะเป็นผู้อาวุโสของนิกายฟ้าดิน มีคุณสมบัติและหน้าที่ในการช่วยเหลือบรรดาลูกศิษย์ของนิกายฟ้าดิน”
ผู้อาวุโสของนิกายฟ้าดิน?!
เซี่ยปิงก็จ้องมองอย่างวอกแวก เขาคิดว่าความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์คนหนึ่งเท่านั้น เข้าร่วมการทดสอบต่างๆจากบรรดาผู้อาวุโสและทําภารกิจต่างๆที่ทางนิกายได้มอบหมายให้
ทว่าตอนนี้จู่ๆตนเองก็ได้กลายเป็นผู้อาวุโส ไม่คาดคิดว่าจะถูกมอบหมายหน้าที่ให้จัดการดูแล การทดสอบของศิษย์หน้าใหม่ที่กําลังจะมาถึง การเปลี่ยนแปลงของบทบาทเช่นนี้ทําให้เขารู้สึกว่า เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน
โดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว เขาก็เติบโตจนมาถึงขั้นนี้แล้ว จากต้นกล้าเติบโตกลายเป็นต้นไม้ มีอิทธิพลในระดับหนึ่ง มีสิทธิ์ที่จะแบกรับและรับผิดชอบชีวิตของผู้คนมากมาย
“เป็นสถานที่ปิดผนึกของโลกอบิสที่ข้าเคยเข้าไปก่อนหน้านี้หรือไม่?”
เซี่ยปิงเอ่ยถามขึ้นมา
“ไม่ใช่ เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่ง สถานที่ปิดผนึกที่เจ้าเคยเข้าไปก่อนหน้านี้ เป็นเพราะว่าแผนการของพวกเดม่อนในตอนนั้นจึงทําให้ค่ายกลผนึกเสียหายไป มันจึงอยู่ในสภาวะฟื้นฟูซ่อมแซมไม่สามารถที่จะใช้ช่องทางนั่นได้ไปอีกนับร้อยปี”
ผู้นํานิกายจูเซียนก็กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “ดังนั้นนิกายจํานวนมากจึงได้ตกลงตัดสินใจร่วมกันที่จะดําเนินการทดสอบในสถานที่ปิดผนึกเดม่อนอีกแห่งหนึ่ง ถึงอย่างไรสถานที่เหล่านี้ก็มีอยู่ทั่วทั้งจักรวาล”
เขาก็ได้อธิบายกับเซี่ยปิงไป
“แต่ข้าต้องเดินทางไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นในศูนย์กลางของจักรวาลไม่ใช่หรือ? บางที่อาจจะไม่มีเวลารับหน้าที่นี้” เซี่ยปิงก็บ่งบอกถึงข้อสงสัยของตนเอง อาจจะไม่มีเวลาทําหน้าที่นี้
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะต้องกังวล มันยังมีเวลาอยู่ ตารางการเดินทางไปที่ศูนย์กลางของจักรวาลจะเป็นอีกสามเดือนข้างหน้า เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนที่ผ่านการทดสอบในทางตะวันออกของจักรวาลจะรวมตัวและเดินทางไปพร้อมกัน”
“หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะไม่หลงลืมเวลา เพราะเมื่อใดที่พลาดโอกาสนี้ไป เจ้าจะสูญเสียคุณสมบัติในการเข้าสู่ศูนย์กลางของจักรวาลและสูญเสียสิทธิในการเข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้น”
“ถูกต้อง เพราะถึงอย่างไรดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นก็ไม่ใช่ที่ที่หมาแมวที่ไหนจะเข้าร่วมได้ในฐานะที่คนบ้านนอกห่างไกลอย่างเจ้ามีโอกาสที่จะเข้าร่วม เจ้าก็ควรที่จะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากและภาคภูมิใจในตนเอง”
ในตอนนี้ก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาจากระยะที่ห่างออกไป ราวกับเป็นเสียงกลองดังสนั่น ถ่ายทอดเข้าไปในสู่โสตประสาทของทุกคน
ซูซู ซู่!!
ทันใดนั้นภาพเงาจํานวนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเซี่ยปิง มีอยู่ประมาณสิบคน แต่ละคนต่างก็สวมใส่ชุดสีขาว ดูมีภูมิฐานและสูงส่ง
พวกเขาก็มีสีหน้าที่ยโสโอหังและหยิ่งผยองอย่างมาก ราวกับไม่เห็นคนอื่นๆอยู่ในสายตา เป็นกลุ่มคนที่หยิ่งทะนงอย่างไม่ต้องสงสัย
“พวกเจ้าเป็นใครกัน?”
เซี่ยปิงก็หรี่ตาลง สามารถมองเห็นได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่ลูกศิษย์ของนิกายฟ้าดิน
“พวกเราคือลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้น!”
กลุ่มของคนชุดขาวเหล่านี้ก็มีสีหน้าที่หยิ่งผยอง บ่งบอกสถานะของตนเองออกไป มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้น เชิดหน้าชูตา มองดูกลุ่มผู้คนของนิกายฟ้าดินด้วยสายตาที่เหมือนกับกําลังมองคนบ้านนอกก็ว่าได้
บางคนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนว่าจะรู้สึกอึดอัดกับอากาศของที่นี่มาก
ผู้นํานิกายจูเซียนและคนอื่นๆก็มีสีหน้าที่นิ่งเฉย พวกเขาก็รู้มานานแล้วว่ากลุ่มลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นจะเดินทางมาที่ดาวฟ้าดินของพวกเขา ในความเป็นจริงกลุ่มลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นเหล่านี้ก็มาถึงที่นี่เพื่อมาเยี่ยมเยียนเฟิงซิงอวี่ จ่างหาว และเมิงเฉินชุนทั้งสามคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและพักรักษาตัวอยู่ที่นี่
“เป็นอย่างนี้นี่เอง พวกเจ้าคือกลุ่มคนที่ก่อนหน้านี้ถูกเจ้าอู๋ตี้นั่นอัดจนนี่ราด หวาดกลัวจนขี้หดตดหาย สิ่งประดิษฐ์เซนต์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นก็เกือบที่จะตกไปอยู่ในมือของเขา ข้าได้ยินเรื่องราวของพวกเจ้ามามากมายที่เดียว”
เซี่ยปิงก็นึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน
อะไรนะ?!
เมื่อได้ยินคําเหล่านี้ กลุ่มลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นก็มีสีหน้าที่ซีดลง เจ้าบัดซบนี้ช่างรู้จักการจี้ปมจริงๆ การที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้แตกต่างไปจากการตบใบหน้าของพวกเขาแม้แต่น้อย ไม่ได้ให้ความเคารพพวกเขาเลย
ผู้นํานิกายจูเซียนและคนอื่นๆก็กัดมุมปาก พวกเขาก็รู้ว่าเซี่ยปิงเป็นบุคคลอย่างไร ยอมตายดีกว่าถูกผู้อื่นข่มเหง แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะกล้าฉีกหน้าของกลุ่มลูกศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นเหล่านี้ต่อหน้าต่อตาทุกคน
“เซี่ยปิง เจ้ากําลังพูดอะไรกัน ใครกันที่ถูกอัดจนนี่ราด หวาดกลัวจนขี้หดตดหาย เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าปีศาจร้ายอู๋ตี้นั่นเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวแค่ไหน ข้าก็รู้สึกได้ลางๆ บางทีเจ้านั่นอาจจะไม่ใช่มนุษย์ ทว่าเป็นเดม่อนที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมาจากอบิส!”
ลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นคนหนึ่งก็ตะโกนออกมา พยายามแก้ต่างให้ตนเอง เขาตัดสินใจที่จะกุแต่งเรื่องขึ้นมาเกินจริงเพื่อให้ตนเองดูดีขึ้น กล่าวหาว่าเจ้าอู๋ตี้เป็นเดม่อนที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งแฝงตัวอยู่ในคราบมนุษย์ หาเหตุผลที่ฟังขึ้นสําหรับความล้มเหลวของพวกเขา
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ? เหตุใดข้าถึงได้ยินมาว่าเจ้าอู๋ตี้เป็นเพียงมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในระดับกฏเทวรูปเท่านั้น ทว่าพวกเจ้าที่มีสิ่งประดิษฐ์เซนต์กลับหลบหนีกันออกไป ต่อให้จะนํากลุ่มคนมากมายไปรุมล้อมเขา ก็ยังพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ เมื่อข้าได้ยินข่าวนี้ก็ตกใจจนคางตก ไม่คาดคิดว่าบรรดาลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นจะตกต่ําจนถึงขั้นนี้ ข้าก็แอบสงสัยว่า พวกเขาเป็นพวกไร้น้ํายาที่ใช้เส้นสายในการเข้าไปหรือไม่”
เซี่ยปิงก็บ่งบอกว่าตนเองได้ยินข่าวลือมามากมาย
เขาก็มองกลุ่มลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นเหล่านี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า มีสีหน้าที่เคลือบแคลงใจ คิดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นอาจจะมีขนาดใหญ่เกินไป มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนจะใช้เส้นสายเข้าไปได้ เข้าไปทางประตูหลัง
“ผายลม พวกเราต่างก็เป็นผู้ที่มีความสามารถที่แท้จริง มีที่ไหนที่จะต้องใช้เส้นสายในการเข้าไป สายตาของเจ้ามันคืออะไรกัน เจ้ากําลังมองอะไร เจ้ากําลังสงสัยว่าพวกเราเป็นบุคคลไร้น้ํายาพวกนั้นหรือ?!”
กลุ่มลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ไม่สบอารมณ์อย่างมาก
ไม่คาดคิดว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของแผนผังโชคชะตาราศีจะทําให้ชื่อเสียงของพวกเขาเสียหายจนถึงขั้นนี้ แม้แต่บุคคลจากสถานที่ห่างไกลทุรกันดารเช่นนี้ ก็เริ่มที่จะสงสัยในพลังอํานาจของพวกเขาลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้น
ในเวลานี้พวกเขาก็รู้สึกเกลียดชังเจ้าอู๋ตี้อย่างถึงที่สุด หากไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าบัดซบนั่น เป็นไปได้อย่างไรที่ชื่อเสียงของพวกเขาจะถดถอยถึงขั้นนี้
ในความเป็นจริง หลังจากที่ถูกเจ้าอู๋ตี้อัดจนหวาดกลัวขึ้หดตดหายในพื้นที่ของแผนผังโชคชะตาราศีนั้น อํานาจบารมีของพวกเขาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นก็หายไป สีหน้าของคนอื่นๆที่มองพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก มองข้ามพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้มีสีหน้าท่าทางที่เคารพชื่นชมเหมือนกับก่อนหน้านี้อีกแล้ว
เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือโลกแห่งความเป็นจริง ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมเป็นที่เคารพ
หากปราศจากพลังอํานาจ ใครกันที่จะเคารพชื่นชมอีก ชื่นชมจากต้นกําเนิดงั้นรึ? ในจักรวาลนี้ผู้คนที่มีต้นกําเนิดดีๆก็มีมากมายเกินไปจริงๆต่อแถวเรียงยาวกันไปไกล