ตอนที่ 22 ผู้ชายแปลกหน้า
เสิ่นอีเวยตกใจวูบ เธอจ้องมองสวี่อันฉิงอย่างไม่วางสายตา และในใจก็เกิดสุมไฟโทสะขึ้น
“สวี่อันฉิง! คุณตั้งใจวางยาในแก้วของฉันไม่พอ ยังกล้ามายั่วยุฉันต่อหน้าอีกด้วยหรอ คุณคิดว่าฉันไม่กล้าบอกคุณหรอ?”
สวี่อันฉิงยิ้มแย้ม “อย่ากระบวนกระวายขนาดนั้น ฉันก็แค่หยอกล้อเท่านั้น ถ้าหากฉันอยากกลั่นแกล้งคุณจริงๆ ก็แค่หาและมอบรูปภาพเหล่านี้ให้บริษัทสื่อมวลชนหนึ่ง แค่นี้คุณก็จะมีชื่อเสียงแล้ว? แต่น่าเสียดาย แต่ก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เห็นชัดเจนว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่รักคุณ แต่ทำไหมเขายังปกป้องคุณอยู่”
ถึงแม้จะพูดออกมาขณะยิ้มแย้ม แต่ในดวงตาของสวี่อันฉิงกลับฉายแววตาขุนเคืองขึ้น
เสิ่นอีเวยหยุดชะงัก “คุณหมายถึงอะไร?”
“ในคืนนั้นฉันนัดเจอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงที่หวยหยวน ก็เพื่อนำรูปภาพอันน่าตื่นตานี้ให้เขาดู ให้เขารู้ว่าภรรยาของเขาอยู่ข้างนอกเสเพลขนาดไหน
ตอนแรกฉันนึกว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะพอใจกับรูปภาพเหล่านี้ และคงจะทะเลาะกับคุณจนถึงขั้นหย่าร้าง เพราะฐานะของตระกูลเซิ่งนับว่ามีความสำคัญมาก ไม่อาจถูกลูกสะใภ้มาเหยียบหยามแบบนี้ได้
แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเตือนว่า หากฉันนำรูปภาพเหล่านี้ไปเปิดโปงจะต้องได้รับการชดใช้ในสิ่งที่ทำ”
ในใจของเสิ่นอีเวยเกิดความขุนข้องใจ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกสมน้ำหน้า “ฉันขอเตือนให้คุณระมัดระวังพฤติกรรมหน่อย เพราะกล้องวงจรปิดที่โรงแรมไม่ใช่ของตกแต่ง”
สวี่อันฉิงยิ้มอย่างหยาดเยิ้ม “สองปีไม่เจอกัน คุณก็ยังคงโง่เขลาเหมือนเดิมเลยนะ! ในเมื่อฉันคิดอยากกลั่นแกล้งคุณ แล้วฉันจะเปิดโอกาสให้คุณจับช่องโหว่ของฉันได้อย่างไรกันเล่า โชคดีที่ครั้งนี้คุณมีเซิ่งเจ๋อเฉิงคุ้มครองอยู่ แต่ครั้งหน้าคุณอาจจะไม่โชคดีอย่างนี้อีกแล้วล่ะ!”
พูดจบประโยคนี้ สวี่อันฉิงก็ลุกขึ้นและเดินจากไป
ส่วนเสิ่นอีเวยยังคงนั่งโกรธเคืองตัวสั่นอยู่ตรงที่เดิม เธอคิดไม่ออกจริงๆว่าทำไหมสวี่อันฉิงกล้าถึงขั้นนี้ได้ เพราะเห็นได้ชัดว่าแทบจะไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องให้เธอแบกหน้ามาประชดประชันเลย เธอคิดอะไรอยู่? คงเป็นเพราะนิสัยไม่อยากยอมแพ้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแน่เลย แต่ตอนนี้เธอยังไม่สามารถ เธอยังไม่สามารถแก้แค้นสวี่อันฉิงได้
ความจริงที่เสิ่นหุ้ยประสบพบเจอมาคือพ่อและแม่ตาย บางทีสวี่อันฉิงอาจจะรู้เรื่องนี้
พ่อและแม่เป็นคนฉลาดขนาดนั้น ทำไหมในตอนนั้นถึงไม่สังเกตเห็นว่าในบ้านมีแก๊สรั่วไหล? สุดท้ายพวกเขาทั้งสองก็หนีออกมาไม่ได้ แต่ในทางกลับกัน…เป็นเสิ่นหุ้ย คิดไม่ถึงว่าคนที่นอนหลับลึกตั้งแต่ไหนแต่ไรเป็นคนหนีออกมาได้
ตกลงว่าเป็นเพราะตะโกนร้องไม่ทัน หรือเป็นเพราะเธอที่ไม่ได้ตะโกนร้องเลยกันแน่?
เสิ่นอีเวยคิดว่าเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่คาดการณ์ยาก แต่ในตอนนั้นเธอพยายามแล้ว แต่กลับมองไม่ทะลุหมอกควันที่หนาแน่น
ขณะที่เธอขบคิดอยู่นั้น มือถือของเซิ่นอีเว่ยก็ดังขึ้น
เมื่อหันมามองก็พบว่าเป็นเซิ่งเจ๋อเฉิงโทรมา เธอชะงักชั่วครู่ “ฮาโหล?”
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงแฝงด้วยความขุนเคืองอันมหาศาลกดทับขึ้น “ให้เวลาคุณสิบนาที มาถึงบริษัท”
เสิ่นอีเวยไม่ทันโต้ตอบกลับก็ถูกวางสาย ทำไหมจู่ๆเซิ่งเจ๋อเฉิงถึงเรียกเธอไปหา?
หลังจากผ่านไปสิบนาที รถยนต์ของเซิ่นอีเว่ยก็มาจอดหน้าประตูห้องโถงของบริษัทเซิ่งซื่อ
ฝีเท้าของเสิ่นอีเวยเดินตรงเข้าข้างในอย่างรวดเร็ว จนกระตุ้นความสนใจของฝูงชนที่อยู่ระหว่างทาง งานแต่งงานที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ของเธอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงเมื่อสองปีที่แล้ว คนเกือบทั่วทั้งเมืองล้วนรับรู้หมดแล้ว
ก่อนหน้านี้เสิ่นอีเวยเคยทำงานอยู่ที่บริษัทเซิ่งซื่อช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้ทุกคนในบริษัทไม่มีใครไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของภรรยาและประธานของพวกเขาไม่ค่อยดีนัก อีกอย่างทั้งสองคนก็มักจะทะเลาะเบาะแว้งกันด้วย
ดังนั้นการปรากฏตัวของเสิ่นอีเวยครั้งนี้ในบริษัทเซิ่งซื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจของผู้คน
เมื่อลิฟท์หยุดชั้นที่สิบสี่ เสิ่นอีเวยก็เดินออกมา เมื่อรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นก็เกิดเสียงดังฟังชัดขึ้น
เสิ่นอีเวยผลักประตูห้องทำงานของเซิ่งเจ๋อเฉิงออก และเห็นร่างเงาสีดำของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ตรงมุมเบื้องหน้าหน้าต่าง
เขาสวมชุดสูทสีดำทั้งตัว และเขายังคงดูสูงส่งและมีบารมี แต่รอบบริเวณร่างกายกลับแพร่รัศมีเย็นชาจนทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
แต่ก็แค่ร่างเงา เสิ่นอีเวยติดตามร่างนี้มานานหลายปีจนชินแล้ว
“คุณเรียกให้ฉันมามีเรื่องอะไรค่ะ?”
ในที่สุดเซิ่งเจ๋อเฉิงก็หันหน้ามา ดวงตาเย็นชาคู่นั้นหรี่ตาลง และขากรรไกรของเขาก็แน่นจนเห็นลายเส้นอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังโมโห
เสิ่นอีเวยไม่รู้เลยว่าตัวเองไปทำอะไรให้เขาโมโห ขณะที่เตรียมตัวจะซักถาม ก็เห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดกับคนในโทรศัพท์ว่า “พาเขาเข้ามา”
เซิ่งเจ๋อเฉิงแทบจะไม่มองมาที่เสิ่นอีเวยเลย
เสิ่นอีเวยหันหน้ามองอย่างสงสัย เมื่อเห็นผู้ช่วยพิเศษหลินอวี้เดินเข้ามา และข้างหลังก็มีผู้ชายคนหนึ่งตามมาด้วย
ซิ่งเจ๋อเสิ่นชี้มาที่เสิ่นอีเวย และถามผู้ชายคนนั้นว่า “ใช่เธอไหม?” ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามองเสิ่นอีเวยสักพัก ก่อนจะพยักหน้าต่อเนื่อง “ใช่ใช่ใช่ ใช่เธอเลย!”