ตอนที่ 31 ไปเจรจาต่อรองด้วยตัวเอง
เมื่อเซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินคำพูดของเสิ่นอีเวย ความรู้สึกอันคับแค้นก็ค่อยๆคลายลง เรื่องถ้วยยาของเสิ่นหุ้ยที่ถูกฉีดยาโรคเบาหวานก่อนหน้านี้ เขาได้ทำการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้เป็นคนทำ
เพียงแต่คนที่เป็นคนทำเรื่องนี้จริงๆเป็นใครนั้น เขายังตรวจสอบไม่ได้ชั่วคราว
อันที่จริงหลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่กี่วัน ในตอนนั้นเสิ่นอีเวยถูกตัวเองคุมขังให้อยู่แต่ในคฤหาสน์ ต่อมาหลังจากผ่านการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดในคฤหาสน์ ก็พบว่าเสิ่นอีเวยแทบจะไม่ได้หนีออกไปไหนเลย ถ้าหากจะบอกว่าผู้ชายที่ปลอมตัวเป็นหมอคนนั้นเป็นเสิ่นอีเวยจ้าง คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลาไม่สอดคล้องกัน
เมื่อเซิ่งเจ๋อเฉิงคิดถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจจะมอบโอกาสให้ผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง และคิดเสียว่าสำหรับเรื่องของวันนี้ถือว่าเธอไม่เจียมเนื้อเจียมตัวก็แล้วกัน
ทันใดนั้นในหัวสมองก็ผุดโผล่ภาพเหตุการณ์ตอนที่เธอถูกผู้ชายคนอื่นไปส่งถึงที่โรงพยาบาล จากนั้นก็ค่อยๆเกิดความรู้สึกร้อนระอุอย่างรุนแรง
เสิ่นอีเวยจ้องมองเซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างไม่คลาดสายตา ขณะเดียวกันก็เฝ้ารอความหวังอันริบหรี่จากแววตาที่ไม่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ในที่สุดเธอก็ได้ยินเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดว่า”อีกสองวัน ผมน่าจะเจรจาหารือกับนักธุรกิจคนนั้น ถ้าหากคุณต้องการบริษัทของแม่คุณคืน สามารถเข้าร่วมได้ แต่เมื่อถึงตอนนั้นอย่าคาดหวังให้ผมช่วย เพราะคุณจะต้องไปเจรจาด้วยตัวเอง
ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน แววตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงเต็มไปด้วยความรังเกียจและการดูถูก เพียงแต่ครั้งนี้สำหรับเสิ่นอีเวยแล้ว นี้ถือเป็นโอกาสที่จะต้องคว้าให้ได้
เมื่อมาถึงวันงานเลี้ยง เสิ่นอีเวยกับเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เข้าร่วมด้วยกัน
สถานที่จัดงานเลี้ยงคือโรงแรมกิจการค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ระหว่างทางเดินไปที่ห้อง ในใจของเสิ่นอีเวยก็รู้สึกเป็นกังวล นี้เป็นครั้งแรกสำหรับเธอในการเจรจาหารือเพื่อทำการร่วมมือกับคนอื่น เพื่อให้มีเปอร์เซ็นความสำเร็จเพิ่มสูงขึ้น เธอจึงเอ่ยปากพูดว่า”ท่านประธานที่มาเจรจาของคืนนี้มีรูปร่างหน้าตาอย่างไรหรอ?”
สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงมืดครึ้ม และพูดเสียดสีว่า”ผู้หญิงมารยาร้อยเล่มเกวียนอย่างคุณ สามารถทำเรื่องน่าอับอายกับคนมากมายได้ ถ้าหากบอกว่าคุณไม่มีกลอุบายอะไรเลย ผมคงไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด ในเมื่อคุณมีแผนอุบายมากมายแบบนี้ ผมกลัวว่าคนอื่นจะตกหลุมพรางคุณมากกว่านะ”
เมื่อเสิ่นอีเวยได้ยินคำพูดทิ่มแทงหัวใจของเซิ่งเจ๋อเฉิง ก็เกิดความรู้สึกเกลียดขึ้นมา ขณะที่จะเอ่ยปากโต้เถียง โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดู คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสายของฉินโม่
เสิ่นอีเวยหยุดชะงักชั่วขณะ เมื่อดึงสติกลับมาได้ก็รีบมองเซิ่งเจ๋อเฉิง อันที่จริงเซิ่งเจ๋อเฉิงได้ชำเหลือบมองเห็นชื่อบนหน้าจออันทิ่มแทงหัวใจแล้ว และตอนนี้ในใจก็เกิดสุมไฟอันร้อนรุ่มแล้ว เมื่อหันมามองเสิ่นอีเวยอีกครั้ง แววตาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เสิ่นอีเวยกัดฟันไว้อย่างแน่น และกดรับสาย”ฮาโหล”
เสียงของคนในโทรศัพท์มีน้ำเสียงอ่อนโยนมาก”ได้ข่าวว่าคุณป่วยหรอ เป็นยังไงบ้าง ร่างกายดีขึ้นหรือยัง?”
ขณะที่เสิ่นอีเวยถือโทรศัพท์พูดคุยก็มองเซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังโมโหด้วย ทำให้เธอคิดไม่ออกว่าจะตอบว่ายังไงดี
ทันใดนั้นโทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็ถูกกระชากออกไป เสิ่นอีเวยร้องอุทานด้วยความตกใจ แต่โทรศัพท์มือถือกร่วงตกลงบนพื้นเข้าอย่างแรง ชั่วพริบตาหน้าจอก็ดับลง
“คุณทำอะไร!”
ดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงเผยรัศมีอำมหิต เมื่อก้าวเท้าเดินเข้ามาหนึ่งก้าวก็บีบจับคางของเสิ่นอีเวยไว้”ผมจำได้ว่าครั้งก่อนผมได้ตักเตือนคุณแล้วว่า อย่าใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่น เสิ่นอีเวย คุณนี่ไม่รู้จักพอจริงๆเลยนะ!”
เสิ่นอีเวยเบิกตากว้างด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ ประโยคว่าไม่รู้จักพอนี้ได้ทำร้ายศักดิ์ศรีของเสิ่นอีเวยไปหมดแล้ว และยังทำร้ายหัวใจของเธอจนปนปี้
“เซิ่งเจ๋อเฉิง ทำไมคุณถึงพูดกับฉันแบบนี้ด้วย ตั้งแต่แต่งงานกับคุณมาสองปี ฉันยังไม่เคยทำเรื่องผิดอะไรต่อคุณเลย”
มือของเซิ่งเจ๋อเฉิงสะบัดหนึ่งที”ไม่ต้องมาอธิบาย ในเมื่อคุณเก่งกาจเรื่องหว่านเสน่ห์ผู้ชายนัก เดี่ยวผมจะเฝ้ารอดูคุณทำการเจรจาธุรกิจแบบไหน”
ระเบียงทางเดินมีพนักงานผ่ายไปผ่านมาอย่างไม่ขาดสาย และพวกเขาก็ชำเหลือบมองสองคนนี้ที่กำลังทะเลาะเบาะแว้งกันด้วย เมื่อเสิ่นอีเวยเห็นคนมากก็ไม่อยากโต้เถียงอะไรกับเซิ่งเจ๋อเฉิงต่อแล้ว เธออดกลั้นความโกรธเบื้องที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจเอาไว้”เรื่องนี้ค่อยคุยกันทีหลัง คนข้างในน่าจะรอนานแล้ว”
เมื่อก้าวเท้า เสิ่นอีเวยพบว่าขาของตัวเองเริ่มชาแล้ว ตอนแรกก็ไม่เห็นเป็นอะไร ช่างน่าขันและน่าสมเพชนัก อารมณ์ของตัวเองสามารถแปรปรวนและปั่นป่วนเพียงเพราะคำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิง
วินาทีที่เปิดประตูห้อง เสิ่นอีเวยก็เห็นคนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมดื่มชาอยู่ เธอคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่รับช่วงบริษัทที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดไว้จะเป็นเซียวหันถิง
ไม่เหมือนกับตอนพบเจอกันครั้งที่แล้วเลย ครั้งที่แล้วเสิ่นอีเวยแทบจะไม่ได้สังเกตเซียวหันถิงเลย ในเวลานี้คนนี้สวมชุดสูทสีน้ำเงินทั้งตัว ถ้าหากไม่มองดวงตาอันเป็นประกายคู่นั้น ตอนนี้เซียวหันถิงคงดูสง่าและดูมีบารมีมากแล้ว
เสิ่นอีเวยคิดไม่ถึงว่าจะพบเจอเขาที่นี้อีกครั้ง เพียงพริบตาเดียวเธอก็นิ่งอึ้งไปเลย
เซียวหันถิงยืนขึ้นจากที่นั่งด้วยความกระตือรือร้น จากนั้นก็เดินเข้ามาหาเสิ่นอีเวย พร้อมยื่นมือออกมา”คุณเสิ่น พวกเราเจอกันอีกแล้วนะครับ”
เสิ่นอีเวยยื่นมือจับมือไว้ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มจางๆขึ้น
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ด้านข้าง
“ที่แท้เป็นท่านประธานเซียวเป็นคนที่จะรับช่วงต่อของบริษัทฮวาหยูนการออกแบบชุดแต่งงาน”
เซียวหันถิงยิ้มแย้ม”ใช่แล้ว รายละเอียดของสถานการณ์ท่านประธานเซิ่งได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับผมแล้ว ได้ยินมาว่านี้เป็นบริษัทฯประกอบอาชีพของคุณแม่คุณเสิ่นตอนมีชีวิตอยู่หรอครับ ประธานเซิ่งได้ลดราคาสามเท่าของตลาดโอนถ่ายบริษัทแห่งนี้ให้กับผมครับ ไม่ทราบว่าคุณเสิ่นคิดว่ายังไงครับ?”
เสิ่นอีเวยรู้สึกหัวใจร้อนรุ่ม ภายในดวงตาเปล่งประกายความขุ่นเคืองขึ้น เธอหันหน้าถามเซิ่งเจ๋อเฉิงว่า”ลดราคาลงสามเท่าของตลาดหรอ? คุณกำลังล้อเล่นหรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงหัวเราะประชดหนึ่งทีออกมา และพูดว่า”บริษัทแห่งนี้ผมซื้อมาแล้ว ดังนั้นจะตั้งราคาขายเท่าไหร่ก็อยู่ที่ผมเป็นคนกำหนด ต่อให้ผมจะยกให้ฟรีๆ คุณก็เข้ามาก้าวก่ายไม่ได้”
เสิ่นอีเวยโกรธจนขากรรไกรล่างสั่นเทา จู่ๆเสียงของเธอก็ปรับโทนสูงขึ้น”ฉันไม่ยินยอม!”
แม่เคยเป็นนักออกแบบชุดแต่งงานที่มีชื่อเสียงขนาดนั้น ความสามารถและชื่อเสียงเกียรติยศของเธอล้วนเป็นประจักษ์ในสายตาผู้คน ก่อนที่เธอจะมีชื่อเสียง บริษัทแห่งนี้นับว่าเป็นหัวใจทั้งหมดของแม่ ผู้หญิงที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเธอตั้งความคาดหวังสูงมากต่อบริษัทแห่งนี้ แต่สุดท้ายกลับมาตายในกองไฟกับสามีคนที่เป็นทนายที่เก่งกาจเหมือนกัน
เซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนจะดูถูกความตั้งของแม่เธอ ดังนั้นเสิ่นอีเวยเลยไม่ยอม!
เซียวหันถิงมองดูภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า ในใจรู้สึกตกใจ โลกภายนอกเล่าลือแค่ว่าความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาของตระกูลเซิ่งไม่ค่อยดี แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะรุนแรงถึงขั้นนี้ได้ แต่เมื่อมองผู้หญิงร่างบอกบางทีก็อยู่เบื้องหน้า ก็พบว่าเธอโกรธจนหน้าแดงก่ำแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขา…จะเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา
โดยเฉพาะเมื่อเห็นสีหน้าอันพาลของเซิ่งเจ๋อเฉิงในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกร้อนรุ่มเพิ่มขึ้น พวกเขาทั้งสองล้วนเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการธุรกิจ ดังนั้นย่อมไม่มีใครยอมใครอยู่แล้ว เซียวหันถิงยิ้มเยาะเย้ยในใจ จากนั้นก็เดินเข้ามาหาคนสองคนที่กำลังทะเลาะกันหนึ่งก้าว