บทที่ 66 ผู้ชายที่เอาแต่ใจ
เสิ่นอีเวยทนไม่ไหวเลยคายออกมาแล้วรีบยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่ๆ
ดูลักษณะอาการของเสิ่นอีเวย เซิ่งเจ๋อเฉิงถึงกลับหน้าเปลี่ยนสี : “เสิ่นอีเวยนี่หมายความว่าไง?”
เสิ่นอีเวยได้แต่เงยหัวมองเขาแล้วหัวเราะอย่างเขินๆ : “เอ่อ คุณลองชิมหน่อยไหม?”
สีหน้าเขาไม่พอใจ น้ำเสียงก็เริ่มโมโหนิดๆ : “ดึกดื่นขนาดนี้ ฉันใจดีทำกับข้าวให้กินเธอยังจะคายมันออกมาอีก?”
เสิ่นอีเวยมองหน้าเขาก็กลัวว่าเขาจะโกรธขึ้นมาจริงๆเลยรีบอธิบาย: “เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้หมายความว่างั้น ครั้งแรกเป็นเรื่องปกตินี่ ฉันกับข้าวครั้งแรกก็กินไมได้!”
สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ดูไม่ได้หนักกว่าเดิม หล่อนรู้ตัวเลยว่าตัวเองโคตรโง่จริงๆรู้ว่ามีปืนก็ยังจะวิ่งเข้าไปทางปืน
พอแล้วๆ ขึ้นบนบ้านไปนอนเงียบๆดีกว่าพยายามหาเรื่องที่ไม่มีความสุขน้อยลงไปได้ก็ยังดีแต่ยังไม่ทันที่จะยืน เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยืนขึ้นมาก่อนแล้ว เขาใช้สายตาเยือกเย็นมองมายังเสิ่นอีเวยแล้วเอาช้อนเล็กๆที่มือโยนลงบนโต๊ะอย่างแรง : “ฉันจะแข่งกับเธอ?”
เสิ่นอีเวยพูดไม่ออกสักพัก คืนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงทำไมงอแงเหมือนเด็กน้อยจัง?
เธอเก็บตะเกียบอย่างเรียบร้อยแล้วเดินเข้าห้องครัวหลังจากนั้นก็ขึ้นห้องด้านบนไป
ตอนเดินถึงหน้าประตูห้องตัวเองหล่อนเดินเข้าไป แต่ด้านหลังกลับมีเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ดังมาจากทางเดิน : “ เสิ่นอีเวย เธออยากตายหรอ?”
ตอนนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ยอมให้เสิ่นอีเวยนอนในห้องนอนของหล่อนเองถึงแม้ว่าหล่อนจะเข้าไปอยู่ในห้องนอนแล้วก็ตามที เซิ่งเจ๋อเฉิงก็จะอุ้มเธอไปนอนที่ห้องเขาแทน
เสิ่นอีเวยคิดถึงเรื่องที่หล่อนว่าเขาเรื่องฝีมือในการทำอาหารเลยไม่อยากจะต่อกรกับเขาสักเท่าไหร่ ไม่งั้นคนที่ขาดทุนคือตัวเอง เลยยอมออกจากห้องนอนของตัวเองแล้วเดินไปยังห้องนอนที่อยู่ข้างๆห้องคือห้องนอนของเซิ่งเจ๋อเฉิง
ในความเป็นจริงหลังการแต่งงานที่ผ่านมาสองปี เวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองคนนั้นน้อยถึงน้อยมาก เสิ่นเอีเวยแทบไม่ต้องหวังลมๆแล้งๆเลย
โชคชะตานั้นก็ประหลาดเสียใจ สิ่งที่พึงอยากได้มาโดยตลอดกลับไม่ได้มันมา อยู่ดีๆสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังไว้บางทีก็หล่นมาอยู่ปัจจุบันทันด่วน ทำให้คุณแทบตั้งมือรับไว้ไม่ทัน
ความรู้สึกอบอุ่นแบบมาโดยฉับพลันมันเป็นแบบนี้เอง ไม่มีวี่แววใดๆปรากฏมาก่อน ขนาดเสิ่นอีเวยยังตั้งตัวรับไม่ทัน
เสิ่นอีเวยมองเขาที่กำลังถอดเนคไทอยู่ ใจเริ่มหวั่นไหวเลยพูดออกไป : “ขอบคุณมากที่เมื่อคืนคุณมาช่วยฉันไว้”
เขามือค้างไว้ ศีรษะเขาที่ต่ำลงอยู่ตอนนั้นก็ไม่ได้ตอบสนองกับคำพูดใดๆของเสิ่นอีเวย เสิ่นอีเวยก็ไม่รู้ว่าตัวเองดูอะไรผิดไปหรือเปล่า อยู่ดีเหมือนเซิ่งเจ๋อเฉิงคิดอะไรออกมือที่เขาจับเนคไทอยู่เขายิ่งรีบผูกให้แน่นขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยเหมือนโกรธอยู่
ใจเสิ่นอีเวยเริ่มตื่นเต้น เพราะหล่อนคาดได้ว่าการกระทำของเขาเมื่อครู่มันเปลี่ยนไปเพราะอะไร
ตอนนั้นที่หมี่ย่าหาผู้ชายมาสามคนก็เลยคิดได้
ปีนั้นที่เสิ่นหุ้ยเกิดเรื่องขึ้นไม่ใช่เพราะว่าเรื่องทำนองเดียวกับแบบนี้หรอกหรอ?
เสิ่นอีเวยไม่กล้าที่จะพูดต่อ เอาเข้าจริงหล่อนก็ไม่กล้าพูดร้อยปอร์เซนต์ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงคิดเรื่องเดียวกันกับหล่อนอยู่หรือเปล่า แต่สิ่งที่หล่อนมั่นใจก็คือตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี
เขากลายเป็นคนเดิมของเขา เงียบขรึมทำให้คนจับทางไม่ได้
ณ เวลานั้นเสิ่นอีเวยรู้ตัวว่าตัวเองกลัวมาก หล่อนกลัวว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะถกเรื่องเสิ่นหุ้ยมาคุย ชื่อนี้เป็นชื่อที่ระเบิดคั่นกลางเธอและเซิ่งเจ๋อเฉิงไว้ เซิ่งเจ๋อเฉิงที่ปกติก็ไม่แสดงอารมณ์โกรธหรือมีความสุขใดๆออกมา ประโยคที่หล่อนขอบคุณเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นไม่มีคำตอบรับ เสิ่นอีเวยอยู่ดีๆก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันดูน่าเบื่อไปเสียหมด
ทั้งคู่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย
เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้พูดสนทนาต่อเตรียมตัวที่จะเข้านอนแต่ได้ยินเซิ่งเจ๋อเฉิงพูด : “พรุ่งนี้ยังไม่ต้องไปทำงาน รอให้แผลหายดีก่อนค่อยไป”
ในใจของเสิ่นอีเวยเต้น ‘ตึกตัก’ประโยคแรกที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดออกมามันทำให้หล่อนฟังความหมายผิด คิดว่าตัวเองไม่ต้องไปทำงานที่บริษัทเซิ่งซื่อต่อไปแล้ว ที่ไหนได้หากไม่ทำตามสิ่งที่ตัวเองขยันหมั่นเพียรจนได้มามักจะล้มเหลวอยู่เสมอ
เสิ่นอีเวยก็อยากจะปฏิเสธเขาในตอนแรกแต่คิดได้ว่าที่หน้าตัวเองมีแผลอยู่ถ้าไปบริษัทคงจะไปสร้างประเด็นให้ทุกคนที่บริษัทแน่ๆ เลยทำนิ่งแบบตกลง
ทั้งคืนเซิ่งเจ๋อเฉิงไปนอนที่ห้องหนังสือเขาไม่ยอมให้เสิ่นอีเวยกลับไปห้องของตัวเองแต่ตัวเขาเองกลับไม่นอนที่ห้องตัวเองเหมือนกัน
ทั้งคืนไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
วันที่สองเสิ่นอีเวยตื่นตามเวลาปกติที่ถึงเวลาต้องตื่นไปทำงาน หล่อาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปจากห้องนอน
ทางเดินเงียเชียบ หล่อนไม่ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากห้องหนังสือเลยคิดว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงคงไปทำงานแล้ว เสิ่นอีเวยเดินลงมาจากห้องแล้วเจอกับป้าเฉินคนรับใช้
“คุณเสิ่นทำไมตื่นเช้าล่ะค่ะ? คุณชายบอกว่าเมื่อคืนคุณได้รับบาดเจ็บมาไม่รู้ว่าหายดีหรือยัง?”
เสิ่นอีเวยพยักหน้ายิ้มๆ : “ไม่ได้เกิดปัญหาอะไรใหญ่นักหรอกค่ะ ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
ป้าเฉินพยักหน้าเหมือนจะคิดอะไรออกขึ้นมา หล่อนยิ้มแล้วพูด : “แม้ว่าคุณชายกับคุณเสิ่นปกติทะเลาะกันอยู่บ่อยๆแต่ว่าเวลาที่คับขัน คุณชายมักจะเป็นห่วงคุณอยู่เสมอ”
เสิ่นอีเวยตกใจหน่อยๆเพราะเธอชอบกับประโยคนี้ : “ป้าเฉินทำไมคิดแบบนั้นขึ้นมาได้คะ?”
“ก็เรื่องเมื่อคืน ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว คุณชายอยากรู้ว่าคุณกลับบ้านหรือยังเลยโทรศัพท์กลับมาที่บ้านโดยเฉพาะ ตอนนั้นป้าเป็นคนรับสายเอง ตอนที่คุณชายทราบว่าคุณยังไม่กลับมาถึงบ้าน น้ำเสียงในสายโทรศัพท์กับรีบร้อนขึ้นมาอย่างชัดเจน”
เสิ่นอีเวยรู้สึกประหลาดใจ ว่าแล้วว่าทำไมจึงมีสายของเซิ่งเจ๋อเฉิงเข้ามาตอนที่วิกฤติในตอนนั้น เพราะว่าเก่อนหน้านั้นเขาโทรศัพท์กลับมาที่บ้าน งั้นที่หล่อนคิดว่าเขาทำตัวเหมือนเป็นห่วงเป็นใยหล่อนได้ใช่ไหม?
แต่ยังไงโทรศัพท์นั่นก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตหล่อนไว้
เสิ่นอีเวยพยักหน้าเบาๆ: “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”
ป้าเฉินพูดต่อ: “ใช่ค่ะ เมื่อวานตอนบ่ายคุณหลินโทรศัพท์มาบอกว่าตอนกลางคืนไม่ต้องจัดเตรียมกับข้าวไว้ให้คุณชายเพราะคุณชายมีงานเลี้ยงต้องไปคุยกับหุ้นส่วน คุณเสิ่นก็คงทรายดีว่า คุณชายอายุไม่เยอะแต่เรื่องงานเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เรื่องงานสำคัญขนาดนั้นที่คุยกับหุ้นส่วนเมื่อคืน เขาคงคิดถึงคุณต้องห่วงคุณแน่นอน”
เสิ่นอีเวยเหมือนถูกตีหัวหนึ่งที ดูจากสถานการณ์เมื่อคืนตอนที่หล่อนรับสายโทรศัพท์เขาแล้ว เขาควรทิ้งเรื่องงานแล้วบึ่งมาแน่ๆไม่งั้นคงมาช่วยหล่อนไม่ได้เร็วขนาดนี้หรอก
ตามที่ป้าเฉินพูดมา ตอนนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังคุยกับหุ้นส่วนคนอื่นอยู่ เขายกเลิกงานที่สำคัญขนาดนั้นแล้วรีบมาช่วยหล่อนหรอ เขาปล่อยวางได้จริงหรอ? เสิ่นอีเวยถึงกับงง ตามที่หล่อนรู้ว่าหล่อนอยู่ตรงไหนในใจเขา เขาไม่ควรทำแบบนี้ได้เลย
หากเปลี่ยนมาเป็นเสิ่นหุ้ยถึงจะพูดได้ว่าจะเป็นไปตามนั้น เพราะ – หล่อนเป็นแสงพระจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่ในหัวใจของเขา