บทที่ 69 ทำไมคุณไม่บอกฉัน
เสิ่นอีเวยประหลาดใจเลยอธิบายต่อ : “เมื่อคืนสวี่อันฉิงเป็นคนบอกฉันทางโทรศัพท์ว่าคุณเมาแล้วจะไปส่งคุณที่โรงแรม’’
เซิ่งเจ๋อเฉิงยกแขนขึ้นแล้วขยี้หัวคิ้วแล้วพูดอย่างเงียบๆ: “เสิ่นอีเวยทำไมเธอถึงโง่ได้ขนาดนี้นะ ที่หล่อนบอกอะไรเธอ เธอก็เชื่อหล่อนหมดเลยหรอ? เธอมาที่บริษัทก็มาทำตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ แต่หล่อนเป็นถึงลูกสาวของสวี่โก๋วหมิงแต่ก็ยังถูกเธอกดเอาไว้อยู่ ใจหล่อนอยู่ไม่เป็นสุขแน่นอนแล้วยิ่งจะพลาดโอกาสที่ทำให้เธอโกรธได้จะไม่ไปได้ยังไง?”
เสิ่นอีเวยไม่ได้สนใจที่โดนเขาว่าตัวเองโง่ : “ที่พูดแบบนี้ก็แปลว่าเมื่อคืนหล่อนพูดโกหกหมดเลยหรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเหลียวมองหล่อนแต่ไม่ได้พูดนั่นก็หมายถึงยอมรับ
อารมณ์ของเสิ่นอีเวยดีขึ้นมาก ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนสามีภรรยากำลังทะเลาะกัน ทั้งสองคนเข้าใจผิดกันเมื่ออธิบายจบแล้วก็โผเข้าไปกอดเขา
แต่หล่อนไม่กล้าไม่อยากโดนฟ้าผ่า
เพราะว่าเรื่องพวกนี้จะพูดยังไงดีมันก็เป็นเรื่องระหว่างคนสองคนที่ทะเลาะกัน เรื่องที่คั่นกลางระหว่างพวกเขาไว้ เซิ่วเจ๋อเฉิงและเสิ่นอีเวยต่างรู้ดี
หากว่าช่วงนี้ไม่มีเรื่องก็ไม่ต้องไปถกเรื่องนั้นขึ้นมา แต่ว่าระเบิดมันมีระยะเวลาเสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าระเบิดนั้นจะระเบิดตอนไหน ความสัมพันธ์ของทั้งสองกลับมาดีเหมือนเดิมแล้ว หล่อนไม้กล้าที่จะสร้างปัญหาอีก
เรื่องก็เป็นแบบนี้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เสิ่นอีเวยคิดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
ตอนที่หล่อนกลับมาที่ห้องทำงาน อารมณ์ของหล่อนดีมาก รู้สึกว่ารูปภาพที่ออกแบบยากที่อยู่ในมือมันกลายมาเป็นของที่น่ารักไปเยอะ
ข่าวลือก็เหมือนน้ำมันแทรกซึมไปทั่ว ที่คาดไม่ผิดคือตอนที่เสิ่นอีเวยจะไปเข้าห้องน้ำก็ได้ยินคนกำลังคุยเรื่องตัวเอง
“เห้อ พวกเธอเห็นแผลที่หน้าของผู้อำนวยเสิ่นไหม” เป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง
“เห็น ได้ข่าวว่าถูกคนของหมี่ย่าที่หล่อนไปมาหามาทำร้ายมาเอา”
“ห๊า จริงหรือโกหกเนี่ย? แต่พูดแล้วก็เป็นเรื่องปกติป่ะเพราะว่าหล่อนทำร้ายหมี่ย่าจนถูกท่านประธานไล่ออก เสิ่นอีเวยถูกทำร้ายก็สมน้ำหน้าแล้วแหละ”
เสิ่นอีเวยรู้สึกขบขัน บรรยากาศและหัวใจของคนในสังคมกลับกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?ทุกคนพูดไปเรื่อยคิดไปเองโดยไม่ได้รู้ความจริงอะไรเลย
“พูดอีกก็ถูกอีก ฉันได้ยินเรื่องนี้มานานมาก ท่านประธานไม่ได้รักภรรยาคนนี้จริง ไม่งั้นแล้วทำไมผู้อำนวยการถูกแค้นแก้แล้วทำไมไม่ออกหน้าแทนหล่อน?”
ตอนนั้นก็มีคนตอบกลับ : “แม้ว่าหมี่ย่าแก้แค้นหล่อน แต่เรื่องนี้ถ้าพูดกันแล้วหัวหน้าสวี่ก็เกี่ยวข้องด้วยเหมือนกันใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าหล่อนดูแลคนไม่ดีหรอ แต่ว่าพวกเธอดูท่านประธานนะไม่ได้มีการลงโทษอะไรหล่อนเลย ขนาดการเตือนยังไม่มี ฉันว่านะ เขาแทบไม่ได้ใส่ใจผู้อำนวยการเสิ่นเลย
เสิ่นอีเวยฟังเรื่อพวกนี้แล้วสีหน้าเย็นชาขึ้นมา ที่พูดก็ใช่นะ เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้เรียกสวี่อันฉิงไปคุยเรื่องที่เธอดูแลคนในสังกัดได้ไม่ดี แต่ยังพาหล่อนไปออกงานหุ้นส่วนคนสำคัญอีก หรือว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้สนใจที่เธอถูกทำร้ายจริงๆ
หลายคนต่างออกความเห็น เสิ่นอีเวยที่อยู่ในห้องน้ำรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฟังละครยักษ์ใหญ่อยู่
ในที่สุดเสียงก็ค่อยๆหายไป เสิ่นอีเวยออกมาจากห้องน้ำ หล่อนไม่ได้กลัวการออกมากตอกกลับผู้หญิงพวกนั้นที่ชอบใส่ร้ายป้ายสีไปทั่ว แต่ด้วยนิสัยของหล่อน หล่อนจะไม่สนใจ เรื่องมันเป็นมายังไงสักวันที่น้ำลดตอผุดก็ต้องมีคนรู้เรื่องจริงสักวัน
แค่คิดถึงหมี่ย่า เสิ่นอีเวยไปอยากให้เซิ่งเจ๋อเฉิงทำตามที่พูดออกมาคือเอาหล่อนไปฟ้องศาล หล่อนไม่มีทั้งงานและครอบครัว ตัวเองก็ไม่ได้หวังว่าจะให้หล่อนเจอเรื่องราวมากระทบอีก
เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เสิ่นอีเวยตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ก็ยังทำใจไม่ได้ หากวันนั้นหล่อนรู้ว่าหมี่ย่าเกิดเรื่องขึ้นมาก่อนหน้านั้น หล่อนจะไม่พูดคำพวกนั้นออกมา ในใจของเสิ่นอีเวยคิดมาก
แต่ว่าจะพูดอีกเมื่อก่อนหมี่ย่าเป็นคนของสวี่อันฉิง หล่อนควรจะดูแลหมี่ย่าเยอะกว่านี้
อยู่ดีๆหล่อนก็ส่ายหัวไปมา หล่อนอยากหัวตัวเองโล่งสบายขึ้นมาอีกนิด เพราะอีกสามเดือนก็จะมีการจัดงานการแข่งขันการออกแบบชุดแต่งงาน เสิ่นอีเวยไม่อนุญาตให้ตัวเองไปคิดเรื่องพวกนี้
คืนนั้น เสิ่นอีเวยเลิกงานกลับบ้านที่บ้านเงียบเชียบ หล่อนคิดว่าเขายังไม่กลับมาเลยเก็บของและก็เตรียมตัวทำอาหารเย็นให้ตัวเองกิน
เมื่อทำเสร็จหล่อนเตรียมยกจานวางบนโต๊ะทานข้าว แต่กลับได้ยินเสียงคนเดินลงมาจากชั้นด้านบน เสิ่นอีเวยยื่นหัวออกไปดูเลยรู้ว่าเป็นเซิ่งเจ๋อเฉิง
“ทำไมวันนี้คุณกลับบ้านเร็ว? ไม่ใช่ว่ามีประชุมทางวิดีโอหรอ? ทานข้าวเย็นหรือยัง?” เสิ่นอีเวยถาม
เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดพลาด สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงดูไม่ได้
เสิ่นอีเวยถามสองสามคำถามติดกันแต่เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ยอมตอบ : “ฉันกลับบ้านเมื่อไหร่ต้องแจ้งเธอด้วยหรอ?”
เสิ่นอีเวยถึงกับอึ้งไปสักพักแล้วก็เริ่มคิดว่าช่วงนี้ตัวเองไม่ได้ก่อเรื่องอะไรให้เขาโมโหเลยถาม: “คุณเป็นอะไรไปอีกล่ะ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงชุดอยู่บ้านลักษณะคนเหมือนกับกำลังขี้เกียจแต่ดูสบายๆแต่สายตาเต็มไปด้วยความโกรธอย่างรุนแรงไม่สลายหายไปง่ายๆแน่ : “ฉันถามเธอ คืนนั้นที่เกิดเรื่องครั้งแรกตอนที่เธอโทรฉันตอนนั้นทำไมไม่บอกว่าเกิดเรื่องอันตรายขึ้นกับตัวเอง?”
มือที่อุปกรณ์ทานข้าวอยู่ค้างเติ่งอยู่ในอากาศ ลมหายใจเสิ่นอีเวยหยุดค้างสักพัก เหตุผลคือเรื่องนี้นี่เองที่ทำให้เขาเลยโมโหได้ขนาดนี้?
ดูเหมือนไม่ใช่นิสัยของเซิ่งเจ๋อเฉิงเลย เมื่อก่อนเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องขี้ปะติ๋วแบบนี้เลย
เสิ่นอีเวยนึกถึงเรื่องที่เธอคุยกับป้าเฉินในวันนั้นเลยถาม : “ป้าเฉินบอกคุณหรอ?”
สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงยิ่งเยือกเย็นเข้าไปใหญ่ : “ฉันกำลังถามเธออยู่ ตอบฉันมาก่อน”
ท่ามกลางอารมณ์โกรธของเซิ่งเจ๋อเฉิง ทำให้เสิ่นอีเวยหวาดกลัวจริงๆลองตอบตามน้ำไปอะไรที่ทำให้ตัวเองไม่ต้องทะเลาะกัน
เสิ่นอีเวยวางถ้วยและตะเกียบที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะอย่างเบามือแล้วตอบ : “วันนั้น ตอนเวลาเลิกงานคุณบอกว่าต้องไปคุยงานกับหุ้นส่วนคนสำคัญในคืนนั้น ตอนแรกฉันก็อยากขอความช่วยเหลือ แต่ตอนนั้นฉันคิดว่าคุณกำลังคุยเรื่องงานอยู่เลยไม่อยากรบกวนคุณ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องมองหล่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย : “ตอนที่โทรครั้งแรกเธอถูกคนสะกดรอยตามแล้วใช่หรือไม่ใช่?”
เสิ่นอีเวยพยักหน้ารับไม่หยุดในใจกำลังคาดเดาความโกรธของเซิ่งเจ๋อเฉิงว่าอยู่ระดับไหน
ทันใดนั้น เซิ่งเจ๋อเฉิงก็จ้ำอ้าวมาทางเสิ่นอีเวย หล่อนรับรู้ถึงความโกรธของเขาได้เลยถอยหลังไปหนึ่งก้าวเล็กๆ คางหล่อนถูกฝ่ามือใหญ่ของเขาบีบแน่น เจ็บจนต้องร้องเสียงหลงออกมา
เสิ่นอีเวยจับมือของเซิ่งเจ๋อเฉิงไว้เสียงในลำคอเปล่งเสียงออกมาอย่างขาดหาย : “คุณปล่อยฉํน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้ใส่ใจที่หล่อนกำลังต่อต้านเขาอยู่ ในสายตาคู่นั้นมีแต่ความเดือดดาลมหึมาตั้งแต่แรก : “เสิ่นอีเวย เธอรู้สึกว่าคนอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงนี่ไม่มีปัญญาใช่ไหม? ผู้หญิงของตัวเองก็ปกป้องไม่ได้เลยไม่อยากบอกฉันว่าตัวเองกำลังเจอปัญหาอันตรายอยู่?”