บทที่ 74 ความเห็นแก่ตัวของฉินโม่
ฉินโม่ที่อยู่ในสถานการณ์ตกตะลึงได้อย่างเห็นได้ชัด เขาฟังน้ำเสียงเสิ่นอีเวยออก จากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ : “ได้ คุณบอกผมมาว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน เดี๋ยวผมไปหา”
ห้านาทีผ่านไปฉินโม่ก็มาอยู่ตรงหน้าเสิ่นอีเวย
ตอนที่เขาเห็นสีหน้าที่ขาวซีดของเสิ่นอีเวยและดูจากอาการของเสิ่นอีเวยแล้ว สีหน้าของเขาแสดงความห่วงใยออกมาอย่างชัดเจน เขารู้ดีอยู่แก่ใจ: “อาการป่วยกำเริบใช่ไหม?”
เสิ่นอีเวยใช้พลังที่มีน้อยนิดพยักหัวรับ : “น่าจะใช่ เดิมฉันอยากจะอธิบายเรื่องเมื่อกี้ให้คุณเข้าใจแต่ต้องขอโทษด้วยเพราะตอนนี้ฉันไม่หลงเหลือแรงไว้แล้ว”
ในสายตาของฉินโม่ได้แต่ทุกข์ใจยังต้องประคับประคองและพูดปลอบ : “เรื่องนี้วันหลังค่อยพูด คุณหยุดพูดสักพักเก็บแรงเอาไว้เถอะ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปส่งที่โรงพยาบาล”
เฉินโม่พยายามค่อยประคองเสิ่นอีเวยให้ยืนขึ้นมา หล่อนไม่คิดว่าอาการป่วยของตัวเองที่กำเริบในครั้งนี้จะรุนแรงได้ถึงขนาดนี้ มันเจ็บจนตอนนี้ยังไม่ได้ดีขึ้นมาเลย ต้องไปปรึกษากับคุณหมอลู่ดูสักครั้ง
เสิ่นอีเวยเจ็บจนไม่สามารถเดินได้ ฉินโม่เลยต้องอุ้มหล่อนขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หล่อนพยายามปฏิเสธแต่อาการป่วยของตัวเองในขณะนี้มันไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
“เรื่องด่วนในตอนนี้คือรักษาให้หายเจ็บก่อน โรงพยาบาลที่หลู่วี่หมิงทำงานอยู่ก็อยู่ห่างจากที่มากนัก ผมจะหาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆก่อน”
ฉินโม่อุ้มเสิ่นอีเวยขึ้นแล้วเดินอย่างเร่งรีบในน้ำเสียงนั่นมีการหายใจไม่ทันซ่อนอยู่บ้าง
เสิ่นอีเวยพยายามกัดริมฝีปากผงกหัวตอบ : “ขอบคุณ”
ในที่สุดทั้งสองก็หาโรงพยายาลที่ใกล้ที่สุดเจอ คุณหมอจัดยาบรรเทาอาการปวดให้เสิ่นอีเวยและเมื่อตรวจอาการดูก็เลยรู้ว่าเสิ่นอีเวยเจ็บมาได้สักพักแล้ว
ฟังจากน้ำเสียงคุณหมอแล้ว หล่อนไม่รู้จะตอบยังไงดีเพราะหล่อนไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องอาการป่วยของตัวเอง เลยได้แต่ส่งสายตาของความช่วยเหลือไปยังฉินโม่ ฉินโม่ก็ตอบรับอย่างเข้าใจเลยเข้าไปช่วยพูดกับคุณหมอให้
จากอาการเจ็บป่วยอย่างหนัก ทางโรงพยาบาลเลยจัดเตรียมเตียงพักชั่วคราวให้ หล่อนนั่งพิงบนเตียงผู้ป่วยแล้วยื่นมือออกมารับน้ำอุ่นที่ฉินโม่ส่งมาให้และดื่มน้ำกินยาลงไป น้ำอุ่นๆนั่นลื่นไหลเข้าสู่ลำคอ
ฉินโม่นั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย สีหน้าท่าทางเหมือนกำลังจะสั่งสอนเด็กน้อยที่ไม่ค่อยเชื่อฟังสักเท่าไหร่ : “อีเวย คุณยังคิดที่จะต่อเวลาไปอีกนานเท่าไหร่? การรักษาตัวในโรงพยาบาลที่มีหมอเฉพาะด้านโดยตรงมันจะดีต่ออาการป่วยของคุณมากนะ”
สายตาของเสิ่นอีเวยหวั่นไหวนิดๆ หล่อนรู้ว่าฉินโม่กำลังมองตัวเองอยู่เลยได้แต่แกล้งทำเป็นดื่มน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงอาการตื่นกลัว เอาเข้าจริงร่างกายก็เป็นของตัวเองทำไมหล่อนจะไม่ข้าใจ?
เสิ่นอีเวยก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ฉินโม่พยายามเตือนสติตัวเองอยู่นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นเพื่อนกับคุณหมอลู่เขาคงแอบคุยกันเรื่องอาการป่วยของเธออยู่บ้าง คุณหมอลู่เองรู้เรื่องอาการป่วยเธอเป็นอย่างดี
แต่สำหรับเสิ่นอีเวยแล้วการที่นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อยืดชีวิตให้ยาวขึ้นอีกนิด จะไม่ดีกว่าหรอ หากตัวเองใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้พยายามทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ
ท้ายสุดแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีใดรักษาอาการของตัวเองผลสุดท้ายมันก็คือ –การตาย
เสิ่นอีเวยก้มหัวดื่มน้ำอย่างเงียบๆ หล่อนไม่คิดจะตอบคำถามของฉินโม่ เพราะหล่อนรู้ว่าเขาเป็นคนใจดีชอบคิดแทนคนอื่น เขาต้องเข้าใจกับสภาพจิตใจของหล่อนแน่ๆ
แน่นอนว่าฉินโม่ได้แต่มองเสิ่นอีเวยที่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา ในใจเลยเข้าใจความหมายของหล่อนเลยไม่ได้ซักถามต่อ ได้แต่ยื่นมือออกมาลูบหัวหล่อนเบาๆ: “เฮ้อ ไม่รู้จะทำยังไงกับคุณดี”
เสิ่นอีเวยเงยหน้ามองฉินโม่ที่อบอุ่นและพยายามหลบสายตาทอประกายของเขา หล่อนไม่กล้าทำอะไรที่จะทำให้เขาเข้าใจผิด
ขนตาเสิ่นอีเวยสั่นเล็กน้อย : “จริงๆแล้วฉันรู้สึกผิดกับคุณมาก ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยก็สร้างความลำบากให้คุณจนถึงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม”
ฉินโม่หัวเราะอย่างอบอุ่น : “เจ็บจนคิดเรื่อยเปื่อยไปแล้วหรอ? อยู่ดีๆก็พูดเรื่องโง่ๆขึ้นมาได้ ที่ผมดีกับคุณ ผมเต็มใจนะ คุณไม่ต้องรู้สึกว่ามาสร้างความลำบากให้ผมหรอก”
ฉันกลัวว่าท้ายที่สุดแล้วฉันจะทำให้คุณผิดหวังในตัวฉัน
ประโยคนี้เสิ่นอีเวยไม่ได้พูดออกไป เพราะหล่อนไม่ยินยอมที่จะทำลายมิตรภาพที่กั้นอยู่ ก็เหมือนกับการทำลายกระดาษที่คั่นหน้าต่างเอาไว้ในเวลาที่ผิดแบบนี้ เพราะหล่อนรู้ดีว่ามันไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ใครเลย
หล่อนมองฉินโม่แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สีหน้าเหมือนรอยยิ้มของเด็กน้อยที่ใสซื่อไปยังฉินโม่ เขาก็มองเห็นและรับรู้
หลังจากกินยาบรรเทาอาการปวด เสิ่นอีเวยรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง วันนี้ผ่านเรื่องราวมามากมายหล่อนเหนื่อยเลยเอนหลังนอนบนเตียงผู้ป่วยเล็กๆจนหลับไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ฉินโม่ได้ปลุกเธอได้แต่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆเตียงผู้ป่วยตลอด
เวลาเกือบสามทุ่มเสิ่นอีเวยก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาสีหน้าหล่อนขาวซีดไปทั่วใบหน้า ในใจเขาทุกข์ใจ ตอนนั้นเอง โทรศัพท์ที่วางอยู่หัวเตียงก็ดังขึ้น
ฉินโม่หยิบมาดูก็เห็นชื่อสามตัวแสดงอยู่บนหน้าจออย่างชัดเจน‘เซิ่งเจ๋อเฉิง’
เขาขมวดคิ้วขึ้น เงยหน้ามองเสิ่นอีเวยที่ยังคงนอนหลับไม่ตื่น โทรศัพท์ที่อยู่ในมือสั่นอยู่ในอากาศสักพัก จนเขาเกิดอาการเห็นแก่ตัวขึ้นมาเพราะเขาไม่อยากปลุกคนที่อยู่ข้างหน้าให้ตื่น
เขาไม่ได้กดตัดสายทิ้งแต่ปรับให้เป็นโหมดเงียบแทนแล้วก็วางลงบนหัวเตียงดังเดิม สักพักหน้าจอก็ดับลง ในใจฉินโม่ถือว่าโล่งอกไปที
แต่ไม่ถึงสิบวินาที เซิ่งเจ๋อเฉิงก็โทรศัพท์เข้ามาอีกรอบ สีหน้าของฉินโม่ดูซับซ้อนขึ้น ตอนที่เขามองชื่อนั่น สายตาที่อบอุ่นของเขาค่อยๆเยือกเย็นขึ้นมาแทนที่
ในใจผุดวิธีสร้างเรื่องทุเรศขึ้นมา ฉินโม่รู้ว่าตัวเองไม่ควรทำแบบนี้ แต่ลึกๆในใจกลับมีพลังงานลึกลับซ่อนอยู่บอกว่าเขาควรทำแบบนี้
ในที่สุดก็ไม่ต้องลังเลอะไรอีกต่อไป นิ้วมือเรียวยาวกดรับโทรศัพท์แทน
“ฮัลโหล” เสียงทุ้มต่ำที่เอื้อนเอ่ยออกมาดังชัดเจนในห้องพักผู้ป่วยที่เงียบงัน
เสียงปลายสายไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นไปตามที่คาดเอาไว้
“เสิ่นอีเวยล่ะ?” เสียงเซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังควบคุมเสียงให้ปกติ ฉินโม่รู้ว่าเขาเดาออกว่าเป็นตัวเองที่รับสายแทนแถมเขาก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบัง
เขาหันไปมองใบหน้าคนป่วยที่นอนหลับสนิทที่อยู่ข้างหน้า ริมฝีปากขยับพูดโพล่งออกมา : “เธอนอนหลับไปแล้ว”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้พูดต่อเหมือนว่ากำลังวิเคราะห์เสียงทางฝั่งฉินโม่อย่างละเอียด ตอนที่ในใจรับรู้กับคำตอบนั้นอย่างชัดเจน เขาก็โมโหกระฟัดกระเฟียดตัดสายทิ้ง
ฉินโม่มองหน้าจอโทรศัพท์ในสายตาของเขาแทบไร้ความรู้สึก
หลังจากเซิ่งเจ๋อเฉิงวางสายไปได้สิบนาทีเสิ่นอีเวยก็ตื่นขึ้นและถามเขาอย่างงัวเงีย : “ฉันหลับไปนานเท่าไหร่แล้วคะ?”
ฉินโม่ยิ้มตอบ : “นานมาก เป็นไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นมาบ้างไหมล่ะ?”
“อืม ดีขึ้นมาก”
หล่อนยกแขนดูเวลา ตอนนี้เวลาก็ปาเข้าสามทุ่มกว่าเข้าไปแล้วในใจเกิดอาการตกใจขึ้นมา : “ดึกขนาดนี้แล้ว ต้องกลับบ้านแล้วแหละ”
ฉินโม่พยักหน้ารับ : “ผมไม่ไว้ใจให้คุณขับรถ ไป เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง”