ตอนที่ 112 ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ทั้งสองคนไม่รู้ว่าวิ่งมาไกลขนาดไหนแล้ว เมื่อเซิ่งเจ๋อเฉิงวางตัวเสิ่นอีเวยลงที่พื้น เท้าของเธอถูกรองเท้าสีนิดหน่อย เธอจึงรู้สึกเจ็บจนแทงใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้เธอทนได้แล้วจึงไม่ได้ร้องเจ็บออกมา
เซิ่งเจ๋อเฉิงเอาตัวเสิ่นอีเวยวางไว้ที่หลังต้นสนใหญ่ต้นหนึ่ง เป็นต้นหนาใหญ่ซึ่งแทบจะสามารถบดบังตัวของเสิ่นอีเวยได้ เซิ่งเจ๋อเฉิงหักกิ่งต้นไม้ที่สวยงามมาบดบังทิศทางที่พวกเขาวิ่งผ่านมาดี
เสิ่นอีเวยพิงไปที่ลำต้นแล้วถอนหายใจออกมาอย่างแรง ทรงผมยุ่งเหยิง ดูเหมือนตกอยู่ในสภาพเก้ๆกังๆไปทั้งตัว เธอตั้งใจฟังให้ละเอียด บริเวณโดยรอบเงียบสงัด ไม่มีเสียงของการเคลื่อนไหวใดๆแล้ว เธอจึงเตรียมที่จะพูด เซิ่งเจ๋อเฉิงก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับเธอภายในเวลาอันสั้นเขาก็ได้หันหน้ามา สายตาเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก แววตาเต็มไปด้วยความหมายของการให้ระวังตัว
เสิ่นอีเวยอึดอัดในใจว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าเธออยากที่จะพูด แต่ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่คับขันและสำคัญ เธอคงไม่โง่ที่จะขัดใจเซิ่งเจ๋อเฉิง ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามด้วยเสียงเบาๆว่า “ตอนนี้ควรจะทำยังไงดี?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดด้วยแววตาที่มีสติแน่วแน่ “ตอนนี้พวกเราก็อยู่ที่เดิม พวกเราอยู่ในที่แจ้ง พวกเขาอยู่ในที่ลับ ไม่รู้ว่าพวกนั้นไล่ตามมามั้ย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ได้ยิงปืนมาทางพวกเราบางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามุมมองของพวกเขามีจำกัด ถ้าพวกเราบุ่มบ่าม ยากที่รับรองว่าพวกเขาจะไม่จู่โจมอีกเป็นครั้งที่สอง”
พูดถึงตรงนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็กวาดตามองมาด้วยสายตาอันแหลมคม “ตอนนี้ ถ้าเธอไม่อยากโดนพวกนั้นเก็บศพทางที่ดีก็คือเธอต้องเชื่อฟังฉัน”
ในใจของเสิ่นอีเวยสั่นเครือ คำพูดที่เซิ่งเจ๋อเฉิงได้พูดเมื่อสักครู่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขารู้แล้วว่าพวกคนที่ซุ่มจู่โจมเขาวันนี้ตกลงแล้วมาจากไหน แต่ว่าเสิ่นอีเวยไม่ได้ถาม เพราะว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่บอกเธอแน่นอน
ปีนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงอายุ29ปี เมื่อเขาอายุ22ก็กลับมาจากอเมริกาและรับช่วงต่อบริษัทเซิ่งซื่อ ผู้ชายที่มีประสบการณ์หลายปีอยู่ในแวดวงธุรกิจเช่นนี้ ถ้าจะพูดว่าเขาไม่มีศัตรูแม้แต่คนเดียว คงจะไม่มีใครเชื่อ และคนพวกนั้นที่มาซุ่มโจมตีในวันนี้ ไม่แน่ก็อาจเป็นหนึ่งในศัตรูทั้งหลายของเขา
เพียงแต่วิธีการที่โหดเหี้ยมรุนแรงเช่นนี้ เสิ่นอีเวยยังคิดว่าเป็นเรื่องยากที่คนปกติจะพบเจอ เวลาระหว่างนั้นเธอรู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย
เปรียบเทียบกับเสิ่นอีเวย เซิ่งเจ๋อเฉิงกลับแสดงออกอย่างสงบไม่สะทกสะท้านอะไรมาก สีหน้านิ่งเหมือนปกติ มองไม่ออกถึงความลุกลี้ลุกลนแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าคนที่เอาตัวเข้าไปอยู่ในป่าหลบหนีลูกกระปืนเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่เขา
“พวกนายขึ้นมาได้แล้ว ดูตำแหน่งของพวกเขาให้ดี พวกเขาน่าจะอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้”
เสียงที่ใจเย็นดั่งน้ำของเซิ่งเจ๋อเฉิงดังขึ้นข้างหู เสิ่นอีเวยเงยหน้ามอง เขากำลังคุยโทรศัพท์
คนที่เขาคุยด้วยน่าจะเป็นหลินอวี้ เรื่องที่มาเซ่นไหว้น่าจะถูกจัดการมาก่อนแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เขามาเซ่นไหว้พ่อกับแม่ของตนเอง ดังนั้นน่าจะประมาณว่าไม่อยากให้ใครรู้ คนของเขาน่าจะรับคำสั่งเขาแล้วรออยู่ที่ตีนเขา
ทันใดนั้นท้องน้อยของเสิ่นอีเวยรู้สึกเจ็บออกมา เธอไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงแค่เอามือลูบคลำ น่าจะเป็นเพราะว่าเมื่อสักครู่วิ่งอย่างเร็วเลยทำให้เจ็บ ในเวลานั้น ความสนใจของเธออยู่ที่ตัวของเซิ่งเจ๋อเฉิง
เธอเข้าใจเหตุผลอย่างหนึ่งมาโดยตลอด ถ้าหากอยากฟังในเรื่องที่ตนเองอยากรู้คำตอบจริงๆออกมาจากปากเขา จริงๆแล้วสภาวะแวดล้อมของทั้งสองคนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
เสิ่นอีเวยกล้าแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ ถ้าหากเธอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงพรากจากกันในพื้นที่ที่อันตรายตอนนี้ พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสจับมือเดินด้วยกันไปข้างหน้าเหมือนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาอีก และในตอนนี้สภาวะแวดล้อมและช่วงเวลาคับขันที่สำคัญเช่นนี้ จึงเหมาะที่สุดที่จะถามในสิ่งที่ตนเองอยากรู้
“เซิ่งเจ๋อเฉิง”
หลังจากที่ไตร่ตรองดีแล้วเสิ่นอีเวยก็เรียกชื่อเขา
เซิ่งเจ๋อเฉิงหันหน้ามา จ้องมองเสิ่นอีเวยด้วยใบหน้าที่นิ่ง
“ทำไมวันนี้คุณมาอยู่ที่นี่ได้?”
หลังจากที่ฟังคำถามเสร็จสีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ราวกับว่าเดาไว้แล้วว่าเสิ่นอีเวยจะถามคำถามนี้ ฉันมาเยี่ยมเยียนดูเพื่อนคนหนึ่ง
โกหก
เสิ่นอีเวยยิ้มเบาๆอย่างเย็นชา “ฉันกลับไม่รู้ว่าพ่อแม่ของฉันได้กลายเป็นเพื่อนคุณแล้ว”
เซิ่งเจ๋อเฉิงขยับคิ้ว พูดด้วยคำพูดเย็นชาเล็กน้อย “เธอสะกดรอยตามฉันหรอ?”
เสิ่นอีเวยเงยหน้า ตาและคิ้วทั้งสองข้างแสดงออกอย่างเย็นชา “วันนี้คือวันครบรอบวันตายห้าปีของพ่อแม่ฉัน ฉันมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่มันมีอะไรแปลกหรอ ฉันจะสะกดรอยตามคุณมาได้ยังไง ฉันไม่เชื่อว่าทางที่คุณจะมาหลุมศพของพ่อแม่ฉัน คุณจะมองไม่เห็นว่ารถฉันจอดอยู่ ในตอนนั้นคุณน่าจะรู้แล้วว่าฉันอยู่ที่นี่ ทำไมจะต้องถามให้เยอะแบบนี้อีก?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเงียบไม่พูดไม่จาไปไม่กี่วินาที เสิ่นอีเวยจับจ้องไปที่ตาของเขา
“ไม่ ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าวันนี้เธอจะต้องมาที่นี่แน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคิดว่าตนเองหยุดงานโดยพลการแบบนี้ แล้วฉันจะไม่โทรศัพท์ตามให้เธอกลับบริษัทไปทำงานหรอ? เสียงสุดท้ายของคำพูดเซิ่งเจ๋อเฉิงขึ้นเสียงสูง ไม่ต้องพูดก็เข้าใจว่ากำลังเหน็บแนม
ในใจของเสิ่นอีเวยเต้นนิดหน่อย เดิมทีเซิ่งเจ๋อเฉิงรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ของทุกปีเธอจะมาที่นี่ ในใจของเธอจู่จู่ก็เกิดความรู้สึกที่แตกต่างจากเดิม แต่เธอก็มีปฏิกิริยาออกมาในทันที เขายังไม่ตอบคำถามของเธอ
ดังนั้นทำไมคุณถึงมาเซ่นไหว้พ่อแม่ฉันได้หล่ะ?
เซิ่งเจ๋อเฉิงในตอนนั้นหมดความอดทน พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ฉันจะทำอะไรมันก็เป็นสิทธิของฉัน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอซักนิดเดียว”
เสิ่นอีเวยยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ก็นั้นคือพ่อกับแม่ฉัน คุณมาเซ่นไหว้พวกเขาทำไมฉันถึงจะรู้เหตุผลไม่ได้? หรือว่า?”
สายตาของเธอเปลี่ยนเป็นเย็นชามากยิ่งขึ้น สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็มองตรงมา
เสิ่นอีเวยคิดไตร่ตรองซักพักแล้วพูดต่อ “เมื่อก่อนคุณเคยทำอะไรผิดต่อพวกท่านจิตใจจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ ดังนั้นตอนนี้คุณมาเซ่นไหว้พวกท่านอย่างนั้นหรอ?”
“หุบปาก!”
เสิ่นอีเวยพึ่งจะพูดจบลง เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ตะโกนออกมา
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เสิ่นอีเวยพูดไปเมื่อสักครู่นี้คือการพูดเรื่อยเปื่อย เธอคิดจนสมองแตกก็คิดไม่ออกว่าเพราะอะไรเซิ่งเจ๋อเฉิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ดังนั้นเธอจึงพูดมั่วๆเพื่อที่จะสามารถให้เขาพูดอะไรออกมาจากปากสักเล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะโกรธ
บริเวณโดยรอบเงียบสงัด เสิ่นอีเวยกำลังจะพูดขึ้นกลับได้ยินเสียงปืนดังออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีเสียงคนร้องเพราะความเจ็บ
ในใจของเสิ่นอีเวยก็เริ่มกังวล สมองว่างเปล่าเนื่องจากตกใจกลัวโดยฉับพลัน จิตใต้สำนึกทำงานจึงเข้าไปจับที่แขนเสื้อของเซิ่งเจ๋อเฉิงซึ่งเขาก็ไม่ได้หลบออกไปยอมให้เธอจับไว้แน่น ผ่านไปซักพัก เสิ่นอีเวยพบว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้พูดอะไร เธอเงยหน้าขึ้น เขากำลังจ้องมองเธออยู่ ในแววตาเต็มไปด้วยความหยิ่ง
“จริงๆเธอก็กลัวขนาดนี้เลยหรอ? เมื่อกี้ไม่ใช่ว่ากำลังวางอำนาจบาตรใหญ่หรอ?”
เสิ่นอีเวยไม่อยากที่จะพูดเรื่องนี้อีก จึงเอ่ยถามขึ้น “คุณไม่ได้ยินเสียงปืนดังหรอ? หรือว่าพวกเราตอนนี้ไม่ควรที่จะวิ่งต่อไปข้างหน้า?”
คนของฉันมาแล้ว เสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงนิ่งจนไม่มีอะไรสามารถเปรียบเทียบได้
เสิ่นอีเวยชะงักสักครู่ถึงจะมีปฏิกิริยาออกมา น่าจะเป็นคนของเขาขึ้นมาปะทะกับคนพวกนั้น ตอนนี้สองข้างกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้พูดอะไรต่อ ตั้งอกตั้งใจฟังทิศทางของเสียงปืนที่ดังออกมา เท้าของเสิ่นเอยก็เจ็บจนสุดใจ เธอค่อยๆนั่งยองๆเพื่อที่จะนั่งลงพักผ่อนที่พื้นสักครู่ แต่ว่าบริเวณท้องน้อยก็เริ่มเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง แต่เจ็บหนักกว่าเมื่อครั้งแรก