ตอนที่ 98 ฉันตัดสินใจว่าจะเลิกรักเธอ
เสิ่นอีเวยกำลังควบคุมอารมณ์ที่กำลังจะระเบิด “ ฉันมั่นใจว่าชายคนที่จับตัวฉันไปก็คือชายคนนั้นที่ใส่ร้ายฉัน เขาขับรถพาฉันไปที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วฉันก็คิดอะไรไม่ออก คนที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนั้นมีเพียงคุณคนเดียวที่ฉันนึกออก ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าตลก “ คุณเลยสงสัยว่าผมเป็นคนส่งชายคนนั้นไปงั้นหรือ ”
“ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คูณไม่ต้องมาพูดเรื่องอื่น ฉันต้องการรู้ความจริงว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร แล้วเพราะอะไรถึงต้องจับตัวฉัน ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นสีหน้าที่จริงจังของเสิ่นอีเวย เขารู้ว่าเสิ่นอีเวยไม่ได้โกหกและเดาได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนั้นเลย แล้วทำไมเขาต้องจับตัวคุณ ผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณคิดหาคำตอบได้ยังไง ”
ความเย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิงทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกถอดใจ ในวินาทีนี้เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าการที่ตัวเองได้รับปากเซียวหันถิงไปมันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สิ่งที่เขาได้ทุ่มเทให้กับผู้ชายคนนี้ แต่สุดท้ายกลับไม่เคยได้รับอะไรตอบแทนกลับมาสักนิด แล้วแบบนี้จะรักเขาต่อไปทำไม
กว่าจะรู้สึกได้ก็ตอนที่อายุมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงก็เป็นสิ่งมีชีวิต หลักการที่เคยยึดถือตอนยังสาว พอตอนอายุมากขึ้น มองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกิน
หลายปีมานี้เขาก็เหมือนกับหนอนตัวนึงที่คอยอยู่ข้างกายเซิ่งเจ๋อเฉิง ตอนนั้นเขารู้สึกว่าการรักใครสักคนก็คือการทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขา ถึงแม้เขาจะไม่ดีกับตัวเองเลยก็ตาม ขอเพียงให้เขามีความสุข ถึงจะไม่ได้อะไรตอบแทนก็ยอม
พอเวลาผ่านไปเสิ่นอีเวยถึงได้เข้าใจว่า ความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง คนสองคนอยู่ด้วยกันหากไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ช่วยเหลือกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่สามารถรักกันได้อย่างยาวนาน
เสิ่นอีเวยคิดในใจว่า จากวันนี้ไปฉันตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกรักคุณ
ที่ผ่านมาเคยบอกกับตัวเองหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งเสิ่นอีเวยรู้ดีว่าจริง ๆ ก็แค่เป็นการพูดประชดเฉย ๆ พอคิดดูตั้งแต่แต่งงานกันมาสองปี เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่เคยสนใจ ให้เกียรติ และเคารพในความคิดเห็นของตนเลย ไม่เคยใส่ใจด้วยว่าจะแข็งแรงไหม จะมีอันตรายหรือเปล่า ผู้ชายแบบนี้ ยังจะให้ฉันรักต่อไปได้อย่างไร ครั้งนี้เสิ่นอีเวยรู้สึกถอดใจจริง ๆ ถามไปก็ไม่ได้คำตอบอะไร
“ เอาล่ะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันมีเรื่องหนึ่งที่สามารถบอกคุณได้ ก็คือเรื่องที่ชายคนนั้นมาใส่ร้ายว่าฉันเป็นคนฉีดยาให้เสิ่นหุ้ย คุณก็น่าจะเดาได้ว่าฉันไม่ได้เป็นคนทำ ไม่อย่างนั้นทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมาจับตัวฉันล่ะ ”
เสียงของเสิ่นอีเวยเหมือนคนที่กำลังจะขาดใจ เหมือนปลาที่กำลังจะตายอยู่ริมฝั่ง
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้ตอบคำถามของเสิ่นอีเวย ในสายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนกำลังต้องการสืบอะไรบางอย่าง เขาถามว่า “ เธอบอกว่าเธอถูกจับตัวไป แล้วเธอหนีออกมาได้อย่างไร ”
ขณะที่กำลังหันตัวจะก้าวขาออก ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเซียวหันถิงเป็นคนช่วยเขาไว้ ไม่ต้องคิดก็รู้อยู่แล้ว ถ้าพูดชื่อนี้ออกไป เซิ่งเจ๋อเฉิงต้องไม่พอใจแน่ แล้วเขาคงรับไม่ได้ที่เซียวหันถิงเป็นคนช่วยตัวเองไว้
แต่เมื่อนึกถึงลักษณะท่าทางที่เย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่มีต่อตัวเองเมื่อสักครู่ แววตาของเสิ่นอีเวยก็หม่นหมองลงไป
เสิ่นอีเวยก็อมยิ้มอ่อน ๆ เหมือนกำลังจะโอ้อวด “ อ้าว คุณอยากรู้เหรอ ก็เซียวหันถิงเป็นคนช่วยฉันไว้ ”
อยู่ ๆ ก็รู้สึกเย็บวาบ สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงเย็นชาอย่างกับน้ำแข็ง “ เธอพูดอีกครั้งสิ ”
เสิ่นอีเวยพูดซ้ำอีกครั้งอย่างไม่กลัวตาย ด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย “ ฉันบอกว่า ผู้จัดการเซียวเป็นคนช่วยฉันไว้ ”
เสิ่นอีเวยไม่ทันได้มองว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงก้าวเข้ามาอยู่ต่อหน้าเขาได้อย่างไร รู้แค่พอตัวเองพูดจบ ก็ถูกบีบที่ปากอย่างโหดร้าย แล้วเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ดังราวกับเสียงของพญามารก็ดังอยู่ข้างหู “ ฉันเคยบอกกับเธอแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ห้ามเข้าใกล้ผู้ชายคนอื่น เซียวหันถิงเป็นคนรักของเธอหรือไง หือ ทำไมอะไร ๆ ก็ต้องไปเกี่ยวข้องกับเขาด้วย บอกฉันมา เธอมันต่ำขนาดนี้เลยเหรอ ”
เสิ่นอีเวยรู้สึกเหมือนปากของตัวเองกำลังจะถูกเขาบีบจนแตกละเอียด รู้สึกเจ็บปวดมาก เสิ่นอีเวยนึกถึงเมื่อวานที่อยู่ห้องน้ำในโรงแรม เซิ่งเจ๋อเฉิงเกือบจะบีบคอเขาตายที่อ่างอาบน้ำ
ไม่รู้ว่าเขาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เสิ่นอีเวยผลักเซิ่งเจ๋อเฉิงออก
“ ปั้ง ! ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงถูกตบหน้าอย่างแรงไปหนึ่งที เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าตัวเองใช้แรงไปขนาดไหน แต่ที่หน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงมีรอยอย่างชัดเจน แล้วก็มีเลือดซึมออกมา นั้นเป็นเพราะว่าถูกซิปที่กระเป๋าขูดเอา
เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้มือจับไปที่แผล มือที่จับแผลก็ติดเลือดมาด้วย เขาเงยขึ้นมามองเสิ่นอีเวยอย่างโมโห แต่เสิ่นอีเวยกลับรู้สึกสบายใจมาก
ซีอีโอของตระกูลเซิ่งถูกคนตบหน้า คงจะเป็นครั้งแรกสินะ
จริง ๆ แล้วในใจของเสิ่นอีเวยก็ยังรู้สึกกลัว ๆ ถึงเซิ่งเจ๋อเฉิงจะไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่ทำร้ายผู้หญิงแต่เวลาที่เขาโมโห เขาก็ไม่กล้ารับประกันว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะทำอะไรหรือเปล่า
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เสิ่นอีเวยรีบหันหลังขึ้นข้างบน เข้าไปในห้องนอนของตัวเองแล้วปิดประตู ล็อกไว้
ใจที่เต้นรัวก็ค่อย ๆ เต้นช้าลง
เสิ่นอีเวยนั่งอยู่ข้างเตียง แล้วคิดถึงเรื่องที่จะต้องทำต่อไป นับวันความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยิ่งแย่ลงไปเรื่อย ๆ บ้านตระกูลเซิ่งก็เหมือนกับคุกที่คอยขังทั้งการกระทำและจิตใจ
โดยเฉพาะหลังจากที่เซียวหันถิงเอารูปถ่ายพวกนั้นให้เขาดู ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าการตายของพ่อแม่ต้องมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเซิ่งไม่มากก็น้อย เขามั่นใจว่าที่บ้านหลังใหญ่หลังนี้ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ ๆ เพียงแต่เขาไม่รู้เท่านั้น
ถึงเขาจะคิดจนหัวจะระเบิดแต่ยังไงก็คิดไม่ออกว่าพ่อแม่ของตัวเองกับตระกูลเซิ่งมีความแค้นอะไรกัน
เสิ่นเหยียนเฟิงผู้เป็นพ่อเป็นทนายที่เก่งมาก เขาเคยชนะคดีด้านธุรกิจเป็นพันเป็นร้อยคดี ส่วนคนแม่ชื่อกู้ชิงเหอเป็นดีไซเนอร์ออกแบบชุดแต่งงาน เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากในวงการ เขาทั้งสองเป็นคนที่ไม่แก่งแย้งกับใคร และไม่เคยมีปัญหากับใคร ว่าไปแล้วไม่มีทางที่จะไปมีเรื่องกับคนอื่น โดยเฉพาะตระกูลที่ใหญ่และมีความซับซ้อนอย่างตระกูลเซิ่ง
เสิ่นอีเวยยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว
วันรุ่งขึ้นพอไปทำงานก็เจอกับเซิ่งเจ๋อเฉิง เขาไม่มีทางหลบก็เลยทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเดินผ่านเซิ่งเจ๋อเฉิงไป
หลังจากนั้นทั้งวันเสิ่นอีเวยก็ไม่ได้ออกจากห้องทำงาน เขารู้ดีว่า เขาตบหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงไป แผลที่หน้าก็ดูเหมือนจะร้ายแรงเพราะเมื่อเช้าที่เห็นหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงเขาปิดผ้าก็อตสีขาวเล็ก ๆ อยู่
ที่บริษัทมีพวกที่ชอบสอดรู้สอดเห็นก็พูดขึ้นมาว่า “ พวกเธอเห็นหรือเปล่า ที่หน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ ”
“ เห็นแล้วล่ะ เห็นแล้ว ไม่เข้าท่าเลยเนอะ แปะผ้าปิดแผลน่าเกลียด ๆ อยู่ที่หน้าแต่ก็ยังหล่อได้ขนาดนั้นเลย ”
เสิ่นอีเวยที่กำลังชงกาแฟอยู่ในห้องได้ยินเข้า ก็ทำหน้าเบื่อโลก
“ เอาล่ะ ดูก็รู้ว่าเธอหลงรักเขาเข้าแล้ว ”
การประชุมที่เดิมทีจะจัดขึ้นวันนี้ก็ถูกยกเลิกไป เพราะสุดท้ายแล้วจะให้เซิ่งเจ๋อเฉิงไปประชุมทั้งที่หน้าเป็นแผลแบบนี้ ให้คนทั้งบริษัทต้องเห็นหน้าที่เป็นแผลแบบนี้ไม่ได้หรอก ยังไง ๆ ก็ต้องรักษาภาผลักษณ์