เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 149 เกี่ยวกับคำนินทาเหล่านั้น
สุดท้ายเสิ่นอีเวยและเซียวหันถิงก็เลือกที่จะนัดพบกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามยังคงเหมือนเมื่อก่อนที่ดูดีมีชีวิตชีวา เซียวหันถิงสวมชุดสูทสีเทาเข้มที่ถูกตัดมาพอดีตัว ยิ่งทำให้เขาดูภูมิฐาน
เซียวหันถิงคนกาแฟในแก้วของเขาพร้อกับถามด้วยเสียงนุ่มนวลว่า: “ผมลืมถามคุณตลอดเลยว่า ครั้งก่อนที่คุณสลบไปที่บริษัทเดิมของคุณ แล้วผมพาคุณไปส่งโรงพยาบาล ถ้าผมจำไม่ผิด คุณตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับ แล้วต่อมาสภาพร่างกายคุณเป็นอย่างไรบ้าง”
เสิ่นอีเวยหยิบช้อนสีทองค่อยๆคนเบาๆ กลัวว่าเซียวหันถิงจะจับพิรุธอะไรหล่อนได้ จึงหัวเราะเบาๆก่อนตอบเขาว่า:”ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ ฉันกินยาอยู่ตลอด แล้วก็ไปรักษาที่โรงพยาบาล ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วค่ะ”
เซียวหันถิงมองใบหน้าเรียบเฉยประดุจน้ำ ไม่รู้ทำไมในใจเขากับรู้สึกหดหู่เงียบเหงาขึ้นมา
เซียวหันถิงหัวเราะออกมาเบาๆ :”คุณเสิ่นบางครั้งผมก็รู้สึกเกลียดคุณเหมือนกันนะ”
เสิ่นอีเวยอึ้งไปเล็กน้อยรีบถามเขาทันทีว่า :”คุณเกลียดอะไรฉันคะ”
เหมือนเป็นคำพูดที่เขาได้ท่องจำไว้จนขึ้นใจเสียแล้ว เซียวหันถิงค่อยๆบรรยายออกมา:”เกลียดที่คุณเป็นแบบนี้ไง มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
“จริงเหรอคะ”
ใบหน้าของเสิ่นอีเวยแดงเรื่อขึ้นมา มีความลังเลสงสัยอยู่ในน้ำเสียง
“งั้นก็ยกตัวอย่างตอนนี้เลยแล้วกัน ระยะห่างระหว่างเราสองคนไม่ถึงเมตร และพวกเราก็เหมือนอยู่ในสมรภูมิรบเดียวกันเป็นพันธมิตรกัน แต่คุณกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนไม่มีวันเข้าถึงตัวคุณได้เลย ถ้ารู้ว่า..”
เซียวหันถิงอยู่ๆก็หลบสายตาไป หล่อนรู้สึกวิตกกังวลในใจเล็กน้อย เพราะว่าชายหนุ่มตรงหน้าหล่อนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม
“เมื่อก่อนความรู้สึกแบบนี้เป็นผมเองที่ทำต่อคนอื่น หลายครั้งที่ผมเคยรู้สึกคับข้องใจ”
แม้ว่าน้ำเสียงของเซียวหันถิงจะดูเรียบเฉย แต่ก็สามารถฟังออกว่าในน้ำเสียงนั้นแฝงการหัวเราะเยาะตัวเองอยู่
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นให้พูดคำพูดเหล่านี้ เสิ่นอีเวยอาจจะรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย แต่คนที่พูดประโยคนี้คือเซียวหันถิง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองกลับกลายเป็นทั้งสนิทสนม ทั้งดูห่างเหินแบบในตอนนี้ จากเดิมที่ส่วนใหญ่จะเป็นเขาผู้นำ แต่เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
เสิ่นอีเวยรู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลเลย
โต๊ะที่พวกเขานั่งติดริมหน้าต่าง ภายนอกก็คือภาพรถราคับคั่งที่แล่นอยู่ในยามค่ำคืนของเมืองนี้
หน้าต่างถูกเปิดอยู่ ลมพัดเข้ามา พัดเอาผมสไลด์ที่ปกอยู่ที่หน้าผากหล่อนปลิว หล่อนจึงรวบผมปัดไปด้านข้าง หัวเราะฝืดๆออกมา:”ท่านประธานเซียวพูดมาแบบนี้ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นะ ตอนแรกเป็นคุณนะที่เป็นฝ่ายมาหาฉันก่อน ตอนนี้จะโทษว่าฉันทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าได้ยังไง”
เซียวหันถิงฟังออกว่าคำพูดของเสิ่นอีเวยโจมตีเขาเล็กน้อย จึงยิ้มแก้ขัดออกมา: “คุณเสิ่นคิดมากไปแล้ว ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะจิตใจคนเรายากแท้หยั่งถึง เพราะมันเป็นเรื่องที่บอบบางหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่รู้ว่าเวลาที่คุณอยู่ต่อหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นจะเป็นแบบนี้รึป่าวแค่นี้ก็…”
อันที่จริงแล้วเซียวหันถิงก็ไม่อยากเอ่ยชื่อผู้ชายคนนี้ต่อหน้าเสิ่นอีเวย แต่ว่าเขากับหล่อนก็รู้จักกันมานานแล้ว การพูดคุยติดต่อมากมีมากอยู่ และเขาเองก็แสดงความจริงใจและจุดประสงค์ของตัวเองชัดเจนตั้งแต่แรก แต่ทุกครั้งเสิ่นอีเวยก็มักจะมีท่าทีนิ่งเฉย
ถ้าไม่ล้ำเส้นกัน ก็ไม่มีทางได้ใกล้ชิดกัน ทำให้เขารู้สึกทรมานไม่น้อย ช่วงเวลานี้อาจจะเรียกได้ว่าร้อนใจ
เมื่อเสิ่นอีเวยได้ยินคำพูดของเซียวหันถิง มือที่กำลังถือถ้วยกาแฟเป่าอยู่นั้นก็ชะงักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมถามว่า: “ประธานเซียวถามแบบนี้ทำไมคะ”
เป็นประโยคที่แสดงความสนิทสนมอีกแล้ว ยิ่งตอกย้ำถึงระยะความสัมพันธ์ของคน
ส่วนใหญ่ในสถานการณ์แบบนี้ คนที่ไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไรถึงจะย้อนถาม และคนเราเมื่อมีอะไรมาสัมผัสจิตวิญญาณลึกๆของเรานั้นบางครั้งอาจจะเกิดความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ถูก
เมื่อชื่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงสามคำนี้ถูกพูดออกมา เซียวหันถิงมองเห็นดวงตาของหญิงสาวฝั่งตรงข้ามฉายแววความอ่อนแอจากการได้รับบาดเจ็บ
วินาทีนี้เองที่เขาสัมผัสได้ว่าตนเองหมดความอดทนแล้ว
เซียวหันถิงวางแก้วกาแฟเซรามิกลงที่จานรอง ด้วยน้ำหนักที่ไม่เบาและไม่แรง แต่ก็ทำให้เกิดเสียงกระทบกันดังขึ้น จึงดึงความสนใจของเสิ่นอีเวยมา
พอเงยหน้าขึ้น ก็สบตาเข้ากับดวงตาที่จริงจังมากกว่าปกติทั่วไปของเซียวหันถิง หล่อนเผลอบีบแก้วกาแฟในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
“คุณเสิ่น พูดตรงๆเลยนะครับผมเองก็เป็นนักธุรกิจ ด้วยนิสัยจะทำอะไรผมย่อมคิดถึงผลกำไรมาเป็นอันดับแรก”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงักลง
เสิ่นอีเวยมองเขาอยู่เงียบๆ น้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ:”ประธานเซียวหมายความว่ายังไงคะ”
เซียวหันถิงค่อยๆผ่อนคลายลงหย่อนหลังพิงพนักเก้าอี้ น้ำเสียงดุดันขึ้นเล็กน้อย: “ผมกับคุณก็รู้จักกันมานานแล้ว ติดต่อกันอยู่บ่อยๆ อีกอย่างผมเองก็แสดงเจตจำนงจุดประสงค์อย่างชัดเจนตั้งแต่แรก แต่จนถึงตอนนี้..”
เสิ่นอีเวยอยู่ๆก็เกิดความวิตกกังวลขึ้นในใจ
“คุณเสิ่นเองเหมือนจะไม่ได้ให้ความหวังผมเลยแม้แต่น้อย”
พูดถึงตรงนี้ ทุกอย่างก็ถือว่าชัดเจนแล้ว เขาคิดว่าต่อให้หญิงสาวตรงหน้าไร้เดียงสาแค่ไหนก็คงต้องเข้าใจความหมายที่เขาพูด
แต่เป็นเซียวหันถิงที่ไม่เข้าใจเสิ่นอีเวยเลย ต่อให้ในใจของเสิ่นอีเวยจะเข้าใจดีแค่ไหน แต่หล่อนไม่อยากตอบหล่อนก็จะแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
เสิ่นอีเวยกระพริบตาปริบๆ ตอนนี้เองที่ความเป็นเด็กในตัวหล่อนได้ปรากฏออกมาอย่างเต็มที่
“ประธานเซียวพูดให้ชัดกว่านี้อีกหน่อยได้มั้ยคะ ฉันไม่เข้าใจความของคุณจริงๆ”
เซียวหันถิงมองเสิ่นอีเวย สายตาของอีกฝ่ายสดใสและหนักแน่น มองไม่เห็นความหวั่นเกรงใดๆในแววตา ทั้งสองสบตากันอยู่อย่างนี้พักใหญ่
สุดท้ายเซียวหันถิงก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขา ตอนนี้กลับมาพ่ายแพ้ให้กับหญิงสาวตัวเล็กๆตรงหน้า เมื่อครู่เขาได้เห็นแววตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเพียงเสี้ยววินาที ในสมองของเขาก็ผุดคำๆนี้ขึ้นมา
เวรกรรมที่ไม่อาจหลีกหนี
เซียวหันถิงหัวเราะฝืดๆออกมา หน้าตากลับดูชื่นมื่น :”ไม่มีอะไรครับ คุณเสิ่นอย่าเอาไปคิดมาก อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้มีแค่เหล้าที่ทำให้คนเมาแต่อาจจะเป็นเพราะกาแฟอีกอย่างด้วยนะครับ ฮ่า ๆ ๆ”
เมื่อเจอมุกนี้ของเขา หล่อนก็ไม่ลังเลที่จะรับมุกด้วยรอยยิ้มอันสดใสสวยงาม
เหมือนเขานึกอะไรขี้นมาได้กระทันหัน สีหน้าเซียวหันถิงกลับดูสับสนขึ้นมา: “เด็กที่คุณเพิ่งเสียเขาไปเป็นลูกของเซิ่งเจ๋อเฉิงใช่มั้ย”
นานมากแล้วที่หล่อนไม่ได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เหมือนมีมีดมาเสียบที่หัวใจ เจ็บเจียนจะขาดใจ
เมื่อมองเห็นสีหน้าของเสิ่นอีเวยผิดปกติไป เซียวหันถิงจึงรีบพูดว่า: “ถ้าผมทำให้คุณรู้สึกแย่ ผมต้องขอโทษด้วย แต่ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดเรื่องนี้ แต่เพราะช่วงนี้ผมได้ยินข่าวลือที่ไม่ค่อยดีมา”
เสิ่นอีเวยนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะถามว่า: “ข่าวลือเรื่องอะไรคะ”
“ข่าวลือที่ว่าเด็กที่คุณเสียไปเป็นลูกของผม”
เสิ่นอีเวยตกใจ ก่อนที่บนใบหน้าจะถูกแทนที่ด้วยความเหนื่อยล้า หล่อนกับเซิ่งเจ๋อเฉิงเคยทะเลาะโต้เถียงกันมาหลายครั้ง ก็คงห้ามคนที่ได้ยินไม่ให้เก็บใส่ใจไปคิดจริงจังได้
เสิ่นอีเวยหัวเราะออกมา: ” มีแต่ข่าวลือที่ไม่มีมูลอะไร คุณอย่าไปใส่ใจเลยนะคะ”
เซียวหันถิงกลับตอบมาว่า : “ผมกลับอยากให้ตัวเองอยู่ในฐานะที่สามารถจะเก็บมาใส่ใจได้”