แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 175 ความรู้สึกที่”เปลี่ยนแปลง”ไประหว่างฉินโม่
รอยยิ้มอันอบอุ่นของเซิ่งเจ๋อเฉิงปรากฏอยู่บริเวณมุมปาก เขาหันเหสายตามองเสิ่นอีเวยแปบหนึ่งแต่ไม่ได้พูดว่าอะไรต่อ
เสิ่นอีเวยมองเห็นสีหน้าของเขาแต่ก็ไม่ได้หนีออกไป วันนี้ที่หล่อนมายืนพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าเขาก็อยากจะบอกจุดประสงค์ของตัวเองให้มันบรรลุไปก่อนถึงจะได้เดินออกไป
หล่อนคิดแล้วคิดอีกแล้วจึงค่อยๆเอ่ยปากพูด : “แล้วคุณคิดว่าไง? หนึ่ง ให้สวี่อันฉิงออกไปจากบริษัท สอง อนุญาตให้ฉินจื่อเฟิงทำงานที่เซิ่งซื่อต่อไปได้ คุณไม่ใช่ว่าอยากได้ลูกหรอ? ฉันตกลง ฉันจะมีลูกให้คุณ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเงยหน้าขึ้นมามองเสิ่นอีเวย สายตานั่นไม่สามารถแสดงอารมณ์ใดๆออกมาได้ ส่วนริมฝีปากที่งดงามของเขาค่อยๆยิ้มทีละนิด เซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังครุ่นคิด: “ถ้าไม่ใช่ว่าผู้หญิงที่ตรงหน้ามาทำให้ตัวเขาโกรธอยู่หลายต่อหลายครั้ง เขาก็คงชื่นชอบในความใจเย็นของเธอในตอนนี้ก็ได้”
สักพัก เขาเอ่ยขึ้น : “ได้ ฉันตกลง”
เสิ่นอีเวยถึงได้ยอมออกจากห้องอย่างวางใจ
ตอนที่กลับมานั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงาน เสิ่นอีเวยถึงได้รู้ว่ามือทั้งสองข้างสั่นและเย็นเฉียบอยู่ตลอดเวลา
เสิ่นอีเวยเข้าใจดีกว่าทุกคน ตอนนี้ที่หล่อนต้องเริ่มคือ ร่างกายหล่อนกำลังแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงเอาไว้ นั่นคือรีบมีลูกให้เซิ่งเจ๋อเฉิง
ที่พูดว่าเร็วๆนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้เอ่ยปากพูดต่อหน้าเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องต่อหน้าหล่อน แต่หล่อนรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่า สภาพร่างกายของคุณปู่ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่นัก ฉะนั้นใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงถึงได้รีบร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมนะเรื่องพวกนี้ต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย?
ไม่งั้น หล่อนคงไม่ต้องมาตั้งแง่สู้กับสวี่อันฉิงจนถึงขั้นต้องมาตกลงกับเงื่อนไขของเซิ่งเจ๋อเฉิง แล้วยังมีฉินจื่อเฟิงมาอีกแถมพ่วงเสิ่นเหยียนชิ่งมาอีกด้วย วันนี้ต่างมีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาพัวพันระหว่างทั้งคู่
ขนมงาตัดที่ติดหนึบอย่างเสิ่นเหยียนชิ่ง เสิ่นอีเวยไม่อยากจะเสวนากับเขาอีก ถ้าเซิ่งเจ๋อเฉิงสามารถช่วยตัวเธอสะบัดเขาออกไปได้ นั่นอาจไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเธอสักเท่าไหร่
ในตอนนี้อารมณ์ของเสิ่นอีเวยวุ่นวายสับสนไปหมด หล่อนยกแก้วน้ำขึ้นค่อยๆละเลียดดื่ม แล้วตัดสินใจให้ตัวเองว่า ถ้ามีวันหนึ่งหล่อนเกิดมีลูกให้เซิ่งเจ๋อเฉิงจริงๆ หล่อนจะรักเขาเหมือนเป็นการชดเชยกับความรู้สึกที่สูญเสียลูกไป
คิดได้แบบนี้ ความหนักใจค่อยๆผ่อนคลายลงบ้าง
“กริ๊งๆๆๆ”
อยู่ดีๆเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เสิ่นอีเวยที่อารมณ์กำลังยุ่งเหยิงถึงกับหยุดกึก หล่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นคุณหมอลู่โทรเข้ามา ใจหล่อนเริ่มสั่นอยู่สักพัก
คิดแล้วคิดอีก ยาบรรเทาปวดของตัวเองก็ยังกินไม่หมด แล้วคุณหมอลู่จะโทรศัพท์มาหาหล่อนทำไมกัน?
นิ้วชี้เรียวยาวรูดไถลบนหน้าจอ เสิ่นอีเวยกดรับโทรศัพท์ : “ฮัลโหลค่ะ คุณหมอลู่”
เสียงทางฝ่ายของคุณหมอลู่ดูเงียบสงบมากแต่เสียงที่เล็ดลอดออกมากลับไม่ใช่เสียงของเขา
“ฮัลโหล อีเวย นี่ผมเองนะ”
เสิ่นอีเวยได้ยินเสียงถึงกับตกใจอยู่สักพัก : “คุณฉิน”
คนที่อยู่ปลายสายเมื่อได้ยินคนเรียกตัวเองแบบนี้ถึงกับอึ้งไปสักพัก : “ใช่ครับ ผมเอง”
เมื่อทราบแล้วว่าเป็นฉินโม่จริงๆความสงสัยที่อยู่ในใจก็ผ่อนคลายลงมาเยอะ : “มีอะไรหรือเปล่าคะ? ทำไมใช้โทรศัพท์ของคุณหมอลู่โทรหาฉันหล่ะ?”
ฉินโมที่พูดอยู่ปลายสายเอ่ยว่า : “วันนี้พอดีผมอยู่ที่นี่กับเขาหน่ะ สนทนากันไปมาก็เริ่มพูดเรื่องคุณ ผมเพิ่งทราบจากคุณหมอลู่ว่าคุณไม่ได้มาตรวจนานแล้ว โทรศัพท์ของผมแบตเตอร์รี่หมดพอดีเลยขอหยิบยืมโทรศัพท์ของเขามาใช้โทรหาคุณนี่แหละ อีเวย ที่หมอลู่พูดมามันจริงใช่ไหม?”
น้ำเสียงของฉินโม่มันมีความเป็นห่วงและการเร่งรีบแสดงออกมาอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจของเสิ่นอีเวยไม่ค่อยจะชอบน้ำเสียงแบบนี้สักเท่าไหร่
เพราะประโยคนี้ของฉินโม่เองทำให้เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจไปสักพัก ใช่ หล่อนไม่ได้ไปตรวจอาการซ้ำกับหมอลู่นานมากแล้ว เวลามีอาการรู้สึกเจ็บ หล่อนก็ใช้ยาบรรเทาปวดเพื่อให้มันหายปวดลงไป
ที่ไม่ไปตรวจกับหมอลู่มันมีเหตุผลอยู่สองข้อ
เมื่อก่อนเสิ่นอีเวยคิดว่าตัวเองเป็นคนกล้าบ้าดีเดือดคนหนึ่ง เป็นคนที่กล้าเผชิญหน้าต่ออันตรายคนแบบนั้น เพราะว่าหล่อนรู้สึกว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ขอแค่ขยันและไม่ย่อท้อที่ต่ออันตรายที่เผชิญอยู่
เหตุนี้เอง ทำให้ใจของหล่อนที่ผ่านมาหลายปีแล้วยังคงอยู่กับเซิ่งเจ๋อเฉิงนี่ก็เป็นเหตุผลเดียว
แต่หลังจากที่หล่อนป่วย หล่อนรู้สึกกลัวเอามาก แม้ว่าใจของเธอยังคงต่อสู้มาโดยตลอด แต่ว่าอาการป่วยมันทำให้อ่อนแอลงเรื่อย หล่อนถึงได้หลีกเลี่ยงที่จะไปสถานที่โรงพยาบาลพวกนั้น
เพราะว่าหล่อนไม่รู้ว่า ไม่รู้ว่าการตรวจครั้งไหนคุณหมอลู่จะบอกกับหล่อนว่าอาการมันแย่ลง
เพราะว่าไม่กล้าเลยได้แต่ตั้งใจที่จะไม่ไปตรวจอีก
เสิ่นอีเวยคิดไปไกลนัก ฉินโม่ที่อยู่ปลายสายไม่ได้ยินเสียงเสิ่นอีเวยตอบกลับมา เลยต้องถามย้ำอีกครั้ง : “อีเวย? เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? เธอฟังอยู่หรือเปล่า?”
เสิ่นอีเวยได้ยินเสียงปลายที่ดังขึ้นมา หล่อนถึงได้ดึงสติกลับมาได้แล้วรีบตอบกลับ : “ฟัง ฉันฟังอยู่”
แต่ว่าเนื้อหานั่นไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไร เสิ่นอีเวยเงียบไปนาน ไม่รู้ว่ามันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หล่อนรู้สึกว่าระหว่างฉินโม่กับหล่อนนั้นมันมีความรู้สึกดูไม่เป็นธรรมชาติ ความเป็นเพื่อนเก่ากันไม่ต้องพูดมามากมายความรู้สึกต่างเข้าใจกันดีมันค่อยๆหายไปเรื่อยๆ
ความรู้สึกนี้มันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหนกันนะ? คงเป็นคราวที่แล้วที่ฉินโม่เป็นคนรับโทรศัพท์ของเธอตอนที่เซิ่งเจ๋อเฉิงโทรเข้ามา ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลมั้ง
น้ำเสียงของฉินโม่ดังเข้าหูเสิ่นอีเวยช่างดูเร่งรีบและกังวลอย่างชัดเจน : “อีเวย เอางี้ไหมวันนี้ผมมาหาหมอพอดี คุณก็สละเวลามาตรวจสักหน่อยไหม ถ้ามันมีปัญหาอะไรขึ้นมาจริงๆถึงเวลานั้นผมดูแลคุณเอง”
เสิ่นอีเวยได้แต่ปฏิเสธ : “ไม่ดีกว่า วันนี้ฉันมีเรื่องงานต้องสะสางหน่ะ ไม่มีเวลาไปโรงพยาบาลหรอก เอาไว้วันหลังดีกว่า”
ความจริงตัวเสิ่นอีเวยก็รู้ดีว่า การที่ไม่มีเวลานั้นถือเป็นข้ออ้าง หล่อนแค่ไม่อยากจะเผชิญหน้าเสวนาพูดคุยกับฉินโม่อีก ยิ่งมาเจอกันด้วยความรู้สึกแบบนี้ หล่อนรู้ตัวว่าทำไม่ได้จริงๆ
แต่ว่าหล่อนไม่มีวิธีอื่นอีก หล่อนยังคงยึดมั่นในกฎการไม่ขยับตัวเพราะการไม่ทำอะไรให้เกิดผลลัพธ์นั่น มันเป็นการไม่ได้ให้ความหวังแก่ฝ่ายตรงข้าม ไม่งั้นหากเกิดเรื่องถึงขั้นที่ยากแก่การเรียกคืนกลับมาได้ระหว่างทั้งคู่คงมองหน้ากันไม่ติด
เสิ่นอีเวยก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร
หากใช้คำพูดปกติของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่มาพูดแบบนั้นกับหล่อน ความจริงหล่อนไม่ต้องไปใส่ใจรายละเอียดความรู้สึกของเขาเลย คราวก่อนที่โรงพยาบาลฉินโม่เป็นคนรับโทรศัพท์ที่เซิ่งเจ๋อเฉิงโทรเข้ามา หลังจากนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เตือนหล่อนว่าอย่าให้ฉินโม่เข้ามาใกล้อีกเป็นอันขาด