แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 167 ปากกาบันทึกเสียงสีดำ
“นี่คืออะไร?” เสิ่นอีเวยถามอย่างสงสัย
ฉินจื่อเฟิงไม่ได้ตอบแต่กดปุ่มเปิดเสียงที่อยู่บนปากกาบันทึกเสียงนั่น เสียงของสวี่อันฉิงก็ดังขึ้นมา
ในส่วนเนื้อหาที่พูดออกมานั้นไม่ใช่สิ่งที่ฉินจื่อเฟิงได้มาจากยินในห้องน้ำ
หลังจากฟังเสียงที่ถูกบันทึกไว้เสร็จสิ้น
เสิ่นอีเวยก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพิงผนักเก้าอี้ มือประสานกันบริเวณหน้าอก
“เสียงที่บันทึกไว้เป็นเรื่องตอนไหนกันอะ?”
ฉินจื่อเฟิงตอบอย่างเอาความจริงมาพูด: “เป็นเรื่องหลังจากงานเลี้ยงที่คุณไปร่วมงานคืนนั้น ผู้อำนวยการสวี่ก็เริ่มตรวจสอบข้อมูลของฉันเพื่อหาหลักฐานที่เป็นปมด้อยมาบังคับฉันและยังอยากให้ฉันเป็นหูเป็นตาคอยทำงานแทนหล่อน หล่อนเล็งเป้ามาที่คุณจริงๆ แถมฉันยังเป็นคนที่ทำงานใกล้ชิดคุณ หล่อนเลยไม่พลาดที่จะใช้โอกาสนี้จะปล่อยฉันไปง่ายๆได้ยังไง”
เสิ่นอีเวยฟังจบก็พยักหน้ารับตามความคิดไปด้วย ในสายตาที่ทอประกายออกมานั่นมันเป็นสิ่งที่ยากแท้ต่อการคาดเดา
“ฉันแทบคิดไม่ถึงเลยว่าคนอย่างสวี่อันฉิงจะมาเช็คประวัติเธอด้วย ให้ฉันเดานะหล่อนคงเริ่มทำตั้งแต่ที่เธอเข้ามาบริษัทตั้งแต่แรกๆแล้ว ยิ่งเธอมาได้ยินที่หล่อนพูดโทรศัพท์นั่นด้วย น่าจะเกิดอาการทุรนทุรายมาบ้าง เลยใช้ปมด้อยของเธอที่ถือว่าเป็นไพ่ใบสุดท้ายแล้วเอามันมาใช้ประโยชน์ซะเลย เลยคิดซะเลยว่าหลังจากนี้ก็จะให้เธอเป็นธุระให้ทำเรื่องแทนหล่อนเหมือนกับว่าที่คอยเป็นหูเป็นตาให้หล่อนเวลาที่อยู่กับฉันนะสิ”
ฉินจื่อเฟิงฟังที่เสิ่นอีเวยพูดเสร็จก็พยักหน้าตอบรับอย่างเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด
“ถึงได้มีเรื่องมาให้เธอทำต่อ เพราะงานเลี้ยงวันนั้นยังไม่พอสำหรับหล่อน หล่อนยังอยากสร้างเรื่องทุเรศๆของฉันให้มันดูมีของสดใหม่ขึ้นมาอีกจนฉันอับอายขายขี้หน้าจนพ่ายแพ้ไป”
ฉินจื่อเฟิงพูดตอบกลับ : “ใช่ค่ะ ฉันทำงานที่นี่มานานแล้ว ฉันก็รู้ไส้รู้พุงของผู้อำนวยการสวี่เป็นอย่างดีว่าเขาเป็นคนยังไง เลยเดาได้ว่าเดี๋ยวหล่อนต้องวางแผนทำอะไรต่ออีกแน่ ฉันเลยจัดเตรียมปากกาบันทึกเสียงอันนี้ไว้ตั้งแต่แรก ครั้งที่สองที่หล่อนมาฉันจะให้ฉันช่วยหล่อนทำงานเลยบันทึกเลยบันทึกเสียงหล่อนเอาไว้—”
พูดจนถึงตอนนี้ หล่อนมองไปทางเสิ่นอีเวยสีหน้าจริงจัง เสิ่นอีเวยก็ไม่คิดที่จะพูดแทรกหล่อนขึ้นมา
ฉินจื่อเฟิงเม้มปาก เมื่อก่อนช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยเสิ่นอีเวยอาศัยความสนใจจนเคยอ่านหนังสือจิตวิทยาอยู่หลายเล่มจนรู้ว่าอากัปกิริยาที่ฉินจื่อเฟิงแสดงออกมามันคือการแสดงออกรู้สึกผิดของตัวเอง
“ปากกาสีดำที่อัดเสียงสวี่อันฉิงนี่คือการขอโทษค่ะ ฉันอยากชดเชยความผิด ความผิดที่ก่อนหน้านี้ที่ฉันได้ทำไว้ ผู้อำนวยการสวี่ช่างร้ายกาจกับคุณขนาดนี้ ฉันหวังว่าคุณจะเอาคืนเธอให้สาสมเพื่อกู้ศักดิ์ศรีให้ตัวเอง”
เสิ่นอีเวยเป็นคนจิตใจดีจริงๆ ยิ่งฟังในสิ่งที่ฉินจื่อเฟิงพูดสีหน้าท่าท่าเธอเปลี่ยนไปบ้าง เธอมองคนที่อยู่ข้างหน้าพลางเอ่ยถาม : “แต่เธอเคยคิดบ้างไหม เธอเอาแผนการที่สวี่อันฉิงจงใจทำกับฉันเรื่องพวกนี้มาบอกฉันแล้ว หากวันหล่อนรู้เรื่องเข้า หล่อนจะล้างแค้นกับเธออะไรบ้าง?”
หลังจากที่ฟังเสิ่นอีเวยพูด สายตาฉินจื่อเฟิงหมองหม่นลงอยู่นานถึงได้เงยหน้าขึ้นมา พยายามที่จะฝืนยิ้มทั้งๆที่จิตใจนั้นเจ็บปวด : “ฉันไม่กลัวว่าหล่อนจะมาล้างแค้น เพราะยังไงฉันก็ลาออกจากบริษัทเซิ่งซื่อแล้ว ถึงหล่อนจะขุดคุ้ยเอาเรื่องเมื่อก่อนของฉันมาโพนทะนาให้เขารู้กันทั้งบริษัทมันก็ไม่เกิดการขู่อะไรกับฉันได้อีก”
เสิ่นอีเวยตอบแทรกทันควัน: “งั้นเธอวางแผนอนาคตไว้ยังไงต่อ? แม้ว่าเธอจะลาออกจากบริษัทเซิ่งซื่อก็ใช่ว่าจะหางานใหม่ได้ ทว่าฉันคิดว่าเธอคงรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว การออกแบบชุดแต่งงานของทีมบริษัทเซิ่งซื่อถือว่าเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมมาก แถมเธอยังชอบเรื่องนี้เอามากและยินดีที่จะเรียนรู้ เพราะงั้นฉันเลยไม่คิดว่าเธอจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายเหล่านี้ได้จากที่อื่น”
ฉินจื่อเฟิงนิ่งเงียบไปสักพัก ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากพูด : “ท่านประธานเสิ่น ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจหลักการในสิ่งที่คุณเพิ่งพูดเมื่อสักครู่นี้ แต่คุณก็เห็นแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้มันแย่มาก ปมปัญหาของฉันก็ถูกอีนังงูพิษนั่นกุมความลับไว้ แต่ฉันก็ไม่ได้ยินยอมจำนนที่จะเป็นคนให้หล่อนมาชี้นิ้วสั่งงานได้ ฉันจะไม่ยอมที่จะช่วยคนพรรค์นั้นมาทำร้ายคุณได้อีก ฉันไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลยถือเอาการลาออกจากบริษัทเป็นทางออกนี่แหละ”
ฉินจื่อเฟิงพูดไปก็มีเสียงสะอื้นแทรก
เสิ่นอีเวยได้ฟังก็เศร้าใจเสียจริงแต่ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม หล่อนวางกาแฟที่อยู่ในมือเสียงดังลั่นเสียงเหมือนแก้วจะแตกร้าว ฉินจื่อเฟิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่กำลังนั่งคอตกเหมือนเจ้าการต่ายน้อยถึงกับตกอกตกใจขึ้นมา
“เสียดายที่อยู่กับฉันมาตั้งนมนาน เรื่องที่สั่งสอนมามันเสียเปล่า ผู้ช่วยฉินที่ฉันจะพูดต่อเธอฟังดีๆนะ ฉันจะไม่อนุมัติให้เธอลาออกจากบริษัทเซิ่งซื่อ นอกจากวันหนึ่งที่ฉันไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องที่สวี่อันฉิงจะตอบโต้เธอนั้น เธอไม่ต้องไปกลัว ยังไงเธอก็เป็นคนของฉัน หล่อนกล้ามาทำอะไรเธอละก็ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยให้มันผ่านไปง่ายๆ”
สีหน้าของฉินจื่อเฟิงแสดงอาการแปลกใจ : “แต่ว่า”
เสิ่นอีเวยไม่รอให้เธอพูดต่อก็พูดแทรกขึ้นมาทันที : “ไม่มีคำว่าแต่ ถึงว่ามันจะเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆยังมีเซิ่งเจ๋อเฉิง ถึงความสัมพันธ์ฉันกับเซิ่งเจ๋อเฉิงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ก็ยังเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉันก็เป็นถึงรองประธานบริษัทเซิ่งซื่อ หากวันนี้มันแก้ไขไม่ได้ค่อยไปขอความช่วยเหลือจากเขา เขาคงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ช่วยฉันหรอก”
แม้ว่าเสิ่นอีเวยจะเอ่ยปากพูดออกมาอย่างใจเย็น แต่ก็แค่ปลอบใจให้ฉินจื่อเฟิงสงบลงเท่านั้นแหละ ไม่ได้คาดคะเนว่าจะพบเจอเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในบริษัทเซื่งซื่อ
ดูจากความสัมพันธ์ของเธอและเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วถึงตอนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ หล่อนคงไม่ไปหาเซิ่งเจ๋อเฉิงให้มาช่วยตัวเธอจริงๆ สถานการณ์ของทั้งคู่มันสั่นคลอนถึงขนาดนี้ เสิ่นอีเวยไม่อยากให้เขายื่นมาเข้ามาช่วยเรื่องของเธอเลยสักนิด
หลังจากที่ฟังคำพูดเหล่านั้นของเสิ่นอีเวย อารมณ์ฉินจื่อเฟิงสงบขึ้นเยอะ หล่อนคิดแล้วคิดอีกคิดอย่างรอบคอบละเอียดถี่ถ้วนดีแล้วแต่ท้ายสุดก็ยังรู้สึกผิดต่อเสิ่นอีเวยอยู่ดี
“ท่านประธานเสิ่น ที่ฉันลาออกจากบริษํทไม่ว่าฉันหวาดกลัวผู้อำนวยการสวี่ที่จะเล่นงานฉัน แต่ความจริงคือฉํนทนสู้หน้าไม่ติดที่จะทำงานอยู่ข้างกายคุณได้อีกต่อไป คุณดีกับฉันมากจริงๆต้นเหตุมาจากตัวฉันเองที่อยากจะช่วยตัวเองให้เลยต้องมาสร้างเรื่องไม่น่าให้อภัยกับคุณ”
เสิ่นอีเวยยื่นมือออกมา : “หยุด พอเลย ไม่ต้องขอโทษฉันอีกแล้ว ตอนนี้เธออายุแค่ยี่สิบสอง หากตอนนั้นฉันอายุเท่าเธอ ฉันอาจจะเลือกทำแบบนั้นเหมือนเธอ ทุกคนต่างมีช่วงเวลาอ่อนวัย อีกอย่างเธอมีน้องชายที่ป่วยอยู่คนหนึ่งอีก หากฉันทำได้แค่มองเธอลาออกจากบริษัทจริงๆ ฉันก็ทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้อยู่ดี”
ฉินจื่อเฟิงที่กำลังจะอ้าปากพูด แต่เสิ่นอีเวยกลับหยิบปากกาบันทึกเสียงสีดำนั่นขึ้นมาพูดต่อ: “เธอไม่ต้องคิดมาก ที่ฉันให้เธออยู่ต่อไม่ใช่ว่าเห็นเธอลำบากหรือสงสารเธอ ทุกคนต่างเท่าเทียมกันหมด ที่ฉันช่วยก็เพราะเธอหาวิธีที่หาหลักฐานที่สวี่อันฉิงจ้องทำร้ายฉันมาได้ งั้นเรื่องนี้ถือว่าจบกันไป เรื่องที่เธอทำผิดต่อฉันนั้นก็ถือว่าชดใช้คืนให้แล้ว พูดแบบนี้ค่อยรับมันได้ขึ้นมาแล้วใช่ไหม?”
เสิ่นอีเวยพูดจนถึงขนาดนี้แล้ว ฉินจื่อเฟิงก็รู้ว่าการที่ปฏิเสธต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว ทุกคนต่างมีชีวิตท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย ทุกเรื่องต่างมีทิศทางของมัน
หล่อนเช็ดน้ำตาที่ไหลเปื้อนใบหน้าแล้วแสดงสีหน้าที่เธอได้ตัดสินใจแล้ว : “ท่านประธานเสิ่น ฉันเข้าใจในความหมายของคุณแล้ว ขอบคุณคุณจริงๆจากใจเลย คุณวางใจได้เลยฉันจะไม่ลาออกจากเซิ่งซื่อ ในภายภาคหน้าฉันจะติดตามคุณและทำแต่เรื่องดีๆไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องอื่นที่คุณอยากให้ช่วยเหลือ ฉันเชื่อว่า ฉันจะยังคงเป็นผู้ช่วยที่ทุ่มเทใจกายคนเก่าคนนั้นของคุณ!”
เสิ่นอีเวยพยักหน้าไปยิ้มไป : “นี่แหละคนที่ฉันถูกใจ เครื่องบันทึกเสียงอันนี้ฉันขอเก็บไว้แล้วกัน พรุ่งนี้ฉันไปบริษัทต้องเจอเธอ เข้าใจไหม?”
ฉินจื่อเฟิงรีบพยักกหน้าอย่างเชื่อฟัง : “เข้าใจแล้วค่ะ!”