บทที่ 164 ในใจคุณไม่ชัดเจนหรือ
เมื่อตอนที่หล่อนมาถึงบริษัท เซิ่งเจ๋อเฉิงเรียกหลายแผนกมาประชุมกัน ด้านนอกไม่มีพนักงานเลยสักคน เสิ่นอีเวยจึงทำได้แค่ไปนั่งที่ห้องทำงานตัวเองสักพัก ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงก่อกวนขนาดนี้หล่อนจึงไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานอะไร ในสมองฟุ้งซ่านไปหมด
ผ่านไปสักพัก ด้านนอกอยู่ก็มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจขึ้นมา เสิ่นอีเวยคิดว่าคงจะประชุมกันเสร็จแล้ว จึงเดินออกมาจากห้องทำงาน
“ท่านประธานเซิ่ง” เซิ่งเจ๋อเฉิงที่สวมชุดสูทสีเทาเข้ม ท่าทีเรียบเฉยของเขาแฝงด้วยความเคร่งขรึมดุดัน คนรอบๆกายเขาแค่คนที่เดินผ่านไปมาเท่านั้น ระยะห่างระหว่างหล่อนและเขาอย่างน้อยประมาณห้าเมตร
เพราะเสียงเรียกประธานเซิ่งที่ค่อนข้างดังทำให้ดึงดูดความสนใจของคนตรงนั้น ทุกคนต่างหันไปมองพวกเขา
เซิ่งเจ๋อเฉิงเดินมาหาหล่อน เหลือตามองอย่างสุขุม: “ไปคุยที่ห้องทำงานผม”
เสิ่นอีเวยพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม”ทำไมคุณต้องกักบริเวณฉันด้วย”
เซิ่งเจ๋อเฉิงนั่งลงบนเก้าอี้หนังแท้ตัวใหญ่ สองมือประกบกันเป็นรูปเจดีย์วางอยู่บนโต๊ะทำงาน: “คุณทำอะไรเรื่องอะไรให้ผมไม่พอใจ คุณน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”
เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนั้นแล้ว จริงๆในใจหล่อนก็มีคำตอบไว้อยู่แล้วแต่หล่อนก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา
เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นหล่อนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงรีบพูดก่อนว่า :”ทำไม ไม่กล้ายอมรับเรื่องที่ตัวเองทำไว้เหรอ เรื่องที่คุณถูกเซียวหันถิงพาตัวไปในคืนนั้น อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
เสิ่นอีเวยโกรธแค้นอยู่ในใจ เป็นเพราะเรื่องนี้จริงๆ
หล่อนอธิบายอย่างใจเย็นว่า:” คืนวันนั้นฉันไม่รู้เกิดอะไรขึ้นบ้างจริงๆ คุณไม่เชื่อ ฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องหล่อนตาเขม็ง แววตาคมกริบ เขาค่อยๆขยับลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เดินมาทางเสิ่นอีเวย ยืนอยู่ตรงหน้าหล่อนแล้วก้มมองลงมา: “นี่คุณไม่รู้จักพอขนาดนี้เลยเหรอ ถึงได้ยินยอมพร้อมใจให้ผู้ชายอื่นมอมยา”
เสิ่นอีเวยไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดระคายหูขนาดนี้จากเขา สีหน้าหล่อนเปลี่ยนไปในเสี้ยววินาทีนั้นเอง หัวใจก็เริ่มเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ :”เซิ่งเจ๋อเฉิงคุณจะพูดอะไรก็พูดให้มันดีหน่อย อะไรเรียกว่าฉันยินยอมพร้อมใจให้ผู้ชายมอมยา”
สองหมัดที่กำแน่นซ่อนอยู่ในแขนเสื้อหล่อนสั่นเล็กน้อย แทบจะทนไม่ไหวชกหน้าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าสักหมัด
เซิ่งเจ๋อเฉิงส่งเสียงหึปลายจมูกออกมา แววตาคมกริบประหนึ่งคมมีดซ่อนความซุกซนล้อเล่น :”ผมพูดผิดเหรอ คุณไม่ได้เต็มใจหรอกเหรอ แล้วทำไมตอนที่ผมเข้าไปในห้องภาพแรกที่ผมเห็นคือภาพที่คุณตวัดแขนคล้องรอบคอเขาเหมือนจะจูบเขา”
เสิ่นอีเวยตกใจเบิกตาโพลง น้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน :”คุณว่าอะไรนะ”
เสิ่นอีเวยเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ในใจมีแต่ความตกใจ ไม่ หล่อนไม่เคยรู้สึกอะไรกับเขาเลยแม้แต่นิด ตัวเองไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นกับเขาแน่
เซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่ได้หัวเราะออกมา : “เสิ่นอีเวย คุณยอมรับเถอะ คุณอะเป็นพวกผู้หญิงโลเลหลายใจ อยากจะปรี่เข้าหาผู้ชายไปทั่ว มอมยา เรื่องทุเรศแบบนี้ผู้หญิงอย่างคุณยังกล้าทำได้”
ดวงตาคู่นั้นของเขาเหมือนเปลวเพลิง ตอนนี้ถ้าใครมาเห็นเขาก็ต้องดูออกว่าไฟโกรธในใจพวยพุ่งมาจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่มีทางจะมอดดับลงง่ายๆ
เสิ่นอีเวยรู้สึกถูกประณามหยาบเหยียดจากคำพูดของเขา และคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของผู้ชายคนที่เธอรักมาตลอดหลายปี หล่อนสัมผัสได้ถึงปากและฟันที่กำลังสั่น หมัดที่กำแน่น แน่นจนเล็บนั้นจิกเข้าไปในเนื้อที่มือของหล่อนแล้วทีเดียว
“เพี๊ยะ”
เสียงดังก้องอยู่ในห้องทำงาน บรรยากาศในห้องอยู่ๆก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงบและน่าตกใจ
รอจนเสิ่นอีเวยได้สติกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองนั้น
ตบหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงไปฉาดหนึ่งแล้ว
เสิ่นอีเวยเงยหน้าขึ้นมามอง เห็นแก้มซ้ายของเขาค่อยๆแดงเรื่อขึ้นมา เพราะหล่อนถนัดขวานั่นเอง ที่หล่อนตบเขาไปเมื่อสักครู่น่าจะใช้แรงไปสักสิบส่วน
เสิ่นอีเวยอึ้งไปเล็กน้อย มือขวายังไม่ทันได้วางลงก็ค้างไปกลางอากาศอยู่อย่างนั้น
เซิ่งเจ๋อเฉิงเองก็คิดไม่ถึงว่าหล่อนจะกล้าตบเขา สายตาคมกริบหันมา เสมือนมีพายุหมุนอยู่รอบนัยน์ตาคู่นั้น เสิ่นอีเวยสบตาเขา มองแววตาแบบนี้ของเขาในใจหล่อนก็ก่อสงครามเย็นขึ้นมา
“อื้อ อื้อ”
ใบหน้าเสิ่นอีเวยฉายแววเจ็บปวดจนสุดจะทน หล่อนตั้งตัวไม่ทัน คอของหล่อนถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงบีบแน่นอยู่ ร่างของหล่อนถูกผลักไปติดผนัง เซิ่งเจ๋อเฉิงยึดไหล่ของหล่อนไว้แน่นทำให้หล่อนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย
เขาจ้องหล่อนอย่างโกรธแค้น ในแววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เหมือนกับจะให้หล่อนตายไปตรงนั้น: “เสิ่นอีเวย คุณคิดใช่มั้ยว่าผมอาจจะรักคุณ”
คอของเสิ่นอีเวยถูกเขาบีบแน่น แต่หล่อนก็พยายามเงยหน้าขึ้นมามองเขาในสภาพที่ย่ำแย่เต็มทน
ใบหน้าของหล่อนขาวซีดมาก วินาทีนั้นหล่อนมองตาของเซิ่งเจ๋อเฉิง มองเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ชายตรงหน้าต้องการชีวิตหล่อน เหมือนกับครั้งก่อนที่ในอ่างอาบน้ำของโรงแรม แต่ครั้งนี้ดูน่ากลัวยิ่งกว่า
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ใช่ที่ชายที่ชอบพูดเล่นเรื่อยเปื่อย เรียกได้ว่าไม่มีอารมณ์ขันเลยแม้แต่น้อย พูดคำไหนคำนั้น
เขาบีบคอหล่อนแน่น ใช้เรี่ยวแรงที่มีทัเงหมดก็ว่าได้ เสิ่นอีเวยรู้ดีว่าแค่เขาออกแรงอีกนิดก็สามารถทำให้หล่อนคอหักได้
เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ๆเสิ่นอีเวยก็ยิ้มออกมา
เป็นรอยยิ้มสวยงามสดใส แต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดที่แสนทรมาน
หล่อนมองนัยน์ตาที่เยือกเย็นของเขา ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า:”ท่านประธานเซิ่ง ฉันขอเตือนคุณนะ ถ้าคิดจะฆ่าปิดปากอย่างน้อยก็น่าเลือกที่ๆไม่มีคนนะ ไม่ใช่ที่นี่”
ตอนนั้นเสิ่นอีเวยรู้สึกทึ่งมากที่ตัวเองกล้าที่จะพูดสิ่งเหล่านี้ อาจจะเป็นเพราะว่าคำพูดที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดออกมาเมื่อครู่ทำให้หล่อนรู้สึกไม่มีอะไรติดค้างในใจอีกแล้ว
เพราะในชีวิตไม่มีอะไรให้สูญเสียอีกแล้ว เมื่อเจอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงข่มขู่ทำร้ายหรือต้องพบกับความตาย หล่อนก็ไม่มีอะไรต้องกลัวหรือกังวลอีก
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้ตอบคำถามหล่อน เวลาผ่านไปสักพัก เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยมือแต่อย่างใด
ในวินาทีที่เสิ่นอีเวยคิดว่าหล่อนกำลังจะตายคามือของเขานั้นเอง เซิ่งเจ๋อเฉิงก็พูดอย่างเยือกเย็นว่า:” ถ้าครั้งหน้าคุณยังกล้าล้ำเส้นผมแบบนี้อีก ผมบอกเลยว่าคุณได้ตายสมใจคุณแน่”
เมื่อมือใหญ่ถูกเอาออก ร่างของเสิ่นอีเวยก็เหมือนกับใบไม้ที่ถูกลมพัดหล่นลงมาที่พื้น ร่างอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง
อากาศบริสุทธิ์ที่หล่อนโหยหาถูกสูดเข้าไปเต็มปอด เสิ่นอีเวยสำลักจนน้ำตาไหลออกมา ของเหลวที่ไหลออกมานั้นมีอุณหภูมิสูง ผิวหนังรู้สึกร้อนผ่าว ใจหล่อนเองก็เช่นกัน
หล่อนเงยหน้าขึ้นมามองเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ยืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาเขาเย็นชา เขาไม่มีวี่แววว่าจะมองมาที่หล่อนแม้แต่น้อย
“ไปให้พ้น”
คำสั่งที่แสนจะเย็นชา เสิ่นอีเวยได้ยินแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมา หัวเราะในความโง่และความเลินเล่อของตัวเอง นี่เป็นอีกครั้งที่หล่อนสบประมาทผู้ชายที่ไร้เหตุผลอย่างเขา หล่อนคิดว่าว่าจะพูดคุยกับเขาด้วยเหตุด้วยผล
ถ้ารู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ เมื่อกี้หล่อนก็ไม่ควรจะออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง
เสิ่นอีเวยลากสองขาที่หนักไร้เรี่ยวแรง หล่อนไม่รู้ว่าจะออกจากห้องทำงานของเซิ่งเจ๋อเฉิงได้อย่างไร