บทที่ 187 คืนนี้ผมจะนอนที่นี่
เสิ่นอีเวยกำลังวุ่นวายลังเลว่าจะพูดกับเซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างไร ความคิดก็ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงขัดจังหวะ
“ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่คิดจะนอน?”
เสิ่นอีเวยอึ้งอยู่สักพักแล้วหันศีรษะมา เซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังใช้สายตาพินิจพิเคราะห์มองหล่อนอยู่
น้ำเสียงของคำถามนี้กับเขาไม่ค่อยเหมือนกับน้ำเสียงปกติที่ใช้กับตน เสิ่นอีเวยรู้สึกว่ามีความอ่อนโยนในน้ำเสียง ตนเองต้องหลอนไปเอง อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ก็ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้ว
ตอนนี้เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าสายตาเซิ่งเจ๋อเฉิงที่มองตนไม่เหมือนปกติเท่าไรนัก แต่ว่าไม่เหมือนตรงไหน หล่อนพูดไม่ออก และคาดเดาไม่ได้ นานขนาดนี้แล้วหล่อนคาดเดาได้ตั้งนานแล้วว่าวิธีการคิดของเซิ่งเจ๋อเฉิงและความรู้สึกนั้นเหนื่อยแล้ว ถึงประเด็นวันนี้ หล่อนก็ไม่อยากให้มันเพิ่มขึ้นและยุ่งยากไปมากกว่านี้
ถ้าหากว่าได้ ก็ปล่อยให้ทุกอย่างให้เป็นไปเถอะ
เซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังคิดว่าเมื่อครู่ เสิ่นอีเวยพูดถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนแก้แค้นเจิ้งอวี๋นชวนอย่างไร ก็รู้สึกตลกในใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาไม่ได้แสดงออกมา
ตอนนี้ดูไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจจริงๆ ห้าปีก่อนหล่อนน่าจะอายุสักสิบเก้าได้ แม่สาวน้อยที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี แม้แต่ลูกจากครอบครัวอย่างนั้นก็ยังกล้าพอออกคำสั่ง อีกทั้งไม่ว่าตอนไหนก็ไม่กลัว
แต่ว่าเพราะอะไรตอนที่อยู่กับตนเอง แต่งงานกันมาก็สองปีกว่าแล้ว ตัวเองถึงไม่เคยเห็นความกล้าหาญของเสิ่นอีเวยแบบนั้นมาก่อนล่ะ?
คิดถึงตรงนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ตระหนักได้อย่างชัดเจน อารมณ์ของตนเองตกต่ำอย่างไม่ได้เป็นมานานแล้ว
แต่เหมือนว่าเขาเก่งเรื่องการซ่อนอารมณ์ความรู้สึกไว้ส่วนลึกสุดของหัวใจตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ปล่อยให้เสิ่นอีเวยได้เห็นความรู้สึกของเขา
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามแปลกๆของเซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวยแสร้งทำเป็นดูเวลาที่โทรศัพท์มือถือ แกล้งทำท่าประหลาดใจ
“เอ้า นี่ก็ห้าทุ่มแล้ว ดูเหมือนว่าควรจะนอนได้แล้วล่ะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงยังคงไม่ขยับ เสิ่นอีเวยได้แต่พูดต่อ: “คุณยังไม่กลับห้องตัวเองอีกเหรอ?”
แต่งงานกันมาสองปี คนทั้งสองขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยา และเป็นสามีภรรยากันจริงๆ แต่ว่าที่จริงแล้วแทบจะไม่ได้นอนบนเตียงเดียวกัน เสิ่นอีเวยลองนับขึ้นมา ก็จำได้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
ไม่อาจควบคุมความเหงาที่ผ่านเข้ามาในหัวใจ ที่หล่อนเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน คืนนี้ก็ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมเซิ่งเจ๋อเฉิงยังไม่กลับห้องของตัวเองไปอีก
เสิ่นอีเวยเห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงยืนเต็มความสูง นึกว่าการเตือนของตนเองจะได้ผล ทว่าวินาทีต่อมาก็ได้ยินเขาพูด: “คืนนี้ผมจะนอนที่นี่”
ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ น้ำเสียงและการแสดงออกไม่จริงจังนัก แต่ว่าเสิ่นอีเวยฟังออกถึงความกดดันที่ปฏิเสธไม่ได้ในน้ำเสียง หล่อนตกใจอย่างสมบูรณ์แบบ: “คืนนี้คุณจะนอนที่นี่หรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองดวงตาของหล่อน พยักหน้าอย่างสงบนิ่ง
“เพราะอะไร?” เพราะประหลาดในและไม่พอใจ เสิ่นอีเวยโพล่งคำถามที่ซ่อนอยู่ในใจออกไป
แน่นอนว่า เมื่อคำถามนั้นออกมาจากปาก เซิ่งเจ๋อเฉิงสีหน้าของเขาก็มืดลง
“วิลล่าตระกูลเซิ่งทั้งหมดนี้เป็นของผม ผมจะนอนในอาณาเขตของผมยังต้องหาเหตุผลอะไรมาอีกเหรอ?”
ความเร็วในการพูดของเขาช้ามาก แต่แฝงไปด้วยแววอันตรายสายหนึ่ง เสิ่นอีเวยมองดูเซิ่งเจ๋อเฉิง เขาหรี่ตาอย่างช้าๆ ในดวงตาแสดงถึงความเป็นปรปักษ์ เอาแต่ใจและเย็นชา
“แต่นี่เป็นห้องนอนของฉัน” เสิ่นอีเวยเปิดปากแก้ตัว
“ห้องนอนของคุณ? คุณกล้าพอสมควรเลยนี่ พูดให้ผมฟังอีกรอบสิ” เซิ่งเจ๋อเฉิงเปิดปากพูดอย่างเย็นชา
เสิ่นอีเวยกัดฟันอย่างอดไม่ได้ ความดื้อรั้นในร่างกายถูกกระตุ้นออกมา ตอบกลับทีละคำว่า: “ฉันบอกว่า นี่คือห้องนอนของฉัน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงก้าวเท้าเข้าใกล้หล่อน ในใจเสิ่นอีเวยกระวนกระวายอย่างหาตัวจับยาก หล่อนรู้ว่า ตนเองทำให้เขาโกรธเข้าแล้ว
เธอยกศีรษะมองใบหน้าที่เหมือนภูเขาน้ำแข็งของเซิ่งเจ๋อเฉิง รู้สึกว่าเขาจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลงโทษตนเองอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้ทำ
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องเธอไม่กี่วินาที ดันไหล่เธอเบาๆแล้วเดินไปที่เตียง เดินไปก็พูดไปว่า: “เสิ่นอีเวย ผมขอพูดรอบสุดท้ายนอนบนเตียงเสีย ทางที่ดีคุณอย่ามาทดสอบขีดจำกัดความอดทนของผม”
ถึงแม้ว้าจะไม่ได้หันไปมองตาเขา เสิ่นอีเวยก็นึกภาพออกว่าตอนนี้สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงจะน่ากลัวขนาดไหน
ในเวลาถัดมา สายตาของหล่อนก็จับจ้อง เซิ่งเจ๋อเฉิงถอดเสื้อผ้าบนตัวออกและสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มอันอบอุ่นของหล่อน ในใจโศกเศร้าอย่างมากแต่ว่าไม่กล้ากล่าวโทษเขาคงเป็นความรู้สึกประมาณนี้ล่ะมั้ง
เสิ่นอีเวยคิดในใจอย่างขุ่นเคือง
หล่อนยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรนอนบนเตียงเดียวกับเซิ่งเจ๋อเฉิง โชคดีที่ในห้องนอนเปิดเครื่องปรับอากาศ ยืนอยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้สึกหนาว
ตอนนี้เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ก็เป็นแค่ปีศาจตนหนึ่ง วิธีการคิดและทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปเร็วมากไม่ทันให้คนได้ระวังตัวเลย เสิ่นอีเวยเกลียดความเฉยเมยนี้อย่างที่สุด
แต่ว่าตอนนี้ไม่มีวิธีแล้ว ก็แค่นอนหลับปกติและมั้ง? พรุ่งนี้ยังต้องออกไปทำงานอีก
สุดท้ายเสิ่นอีเวยยอมประนีประนอม หล่อนถอดผ้าคลุมไหล่ผืนยาวที่คลุมอยู่นอกชุดนอนออก ค่อยๆนอนลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา
หล่อนได้ยินเสียงลมหายใจของเซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวยอดคิดในใจไม่ได้ว่า ผู้ชายคนนี้หลับไปอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปครู่เดียวก็หลับไปเสียแล้ว
เมื่อนึกได้ว่าเตียงเป็นเตียงขนาดค่อนข้างใหญ่พอสมควร เสิ่นอีเวยจึงพยายามขยับตัวบนเตียง เพื่อที่จะรักษาระยะห่างกับเซิ่งเจ๋อเฉิง มือเอื้อมไปปิดโคมไปดวงเล็กข้างเตียงนอน แล้วคนทั้งสองต่างก็หลับกันอย่างสงบสุข
เมื่อนอนจนถึงเที่ยงคืน เสิ่นอีเวยเริ่มรู้สึกร้อนอยู่บ้าง ในความฝันยังมีความรู้สึกเลือนรางถึงบางอย่างบนไหล่ของตนเอง เดิมทีการนอนหลับของเธอก็ตื้นมาก บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เจิ้งอวี๋นชวนให้ตนเองขอโทษในเรื่องนี้ สมองของเสิ่นอีเวยก็ยุ่งเหยิงมากขึ้น หล่อนรู้สึกว่าแต่ละคืนตนเองไม่เคยอยู่ในสภาพที่หลับจริงจัง
ในที่สุดเสิ่นอีเวยก็ตื่น หล่อนมีความพยายามเปิดสายตาเจ็บปวดที่ว่างเปล่าและมืดมนมองออกไป ตอนเวลาเช้าตรู่อย่างนี้ ไม่งั้นจะทำไมล่ะ ในใจของเธอมีเกิดสั่นไหวขึ้นมา
ลำคอกำลังจะหายใจไม่ออก ยกมือขึ้น พบว่าเป็นแขนข้างหนึ่ง แขนของผู้ชาย แข็งแรงและมีพลัง
สมองว่างเปล่าไปหนึ่งวินาที จิตใต้สำนึกเสิ่นอีเวยอยากกรีดร้องออกมา แต่การตอบสนองอย่างฉับพลันจากเรื่องก่อนนอน คนที่นอนข้างๆตนเองคือเซิ่งเจ๋อเฉิง
ในใจเสิ่นอีเวยเป็นอารมณ์ที่พูดอธิบายไม่ถูก
คอที่ถูกแขนของผู้ชายร่างใหญ่กดอยู่ไม่ใคร่จะสบายนัก เสิ่นอีเวยเตรียมย้ายแขนของเซิ่งเจ๋อเฉิงออกไป ด้านหลังลำคอรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร้อนที่เป่ารดอยู่ ที่แท้เป็นเซิ่งเจ๋อเฉิงหันหน้ามาทางเสิ่นอีเวยทั้งหมด
เสิ่นอีเวยถอนหายใจอยู่ในใจอย่างหมดหนทาง อย่างรวดเร็ว ด้านหลังลำคอร้อนผ่าว เธอบ่นพึมพำในใจ สภาพอากาศนี้ดูไม่ค่อยถูกต้องนัก
ในใจเสิ่นอีเวยตึงเครียดขึ้นมา หล่อนยกแขนของเซิ่งเจ๋อเฉิงขึ้นและพลิกกลับไป เพราะระยะห่างระหว่างคนทั้งสองนั้นใกล้มาก เสิ่นอีเวยจึงรู้สึกได้ว่าแม้แต่ลมหายใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยังร้อน
ในใจมีความลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาแวบหนึ่ง เสิ่นอีเวยเอื้อมมือเปิดโคมไฟทันที จากนั้นก็อังมือบนหน้าผากของเซิ่งเจ๋อเฉิง มันร้อนอย่างน่ากลัว เขาตัวร้อน
เสิ่นอีเวยมองตามแสง สองแก้มของเซิ่งเจ๋อเฉิงถูกแผดเผาจนเป็นสีแดง ความคิดอยู่ในสภาวะที่ไม่สมบูรณ์
ในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกประหลาดใจ เพราะว่าหล่อนตั้งแต่เล็กสุขภาพก็ไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงนึกว่าคนที่อายุไล่เลี่ยกันกับหล่อนสมรรถภาพทางร่างกายก็คงจะไม่ต่างกันมาก แต่ว่าต่อมาได้เจอกับเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่ไหนแต่ไรหล่อนไม่เคยเห็นเขาป่วยมาก่อน บางครั้งก็ประหลาดใจ บนโลกนี้จะมีคนที่ไม่เคยเป็นหวัดมาก่อนได้อย่างไร?