แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 236 เธอลงรถไปเลยตอนนี้
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินเต็มสองรูหู คำถามที่ติดน้ำเสียงมาด้วย มันมีความหมายที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาเหล่ตามองหล่อนสักพัก ใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาของเสิ่นอีเวยแสดงออกมาทางตาถึงการพูดเยาะเย้ยอยู่เนืองๆ
ทว่าในตอนนี้ ขนาดตัวเอาเองยังไม่แน่ใจเลยว่าที่เสิ่นอีเวยถามคำถามนั้นมันไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
เอาเข้าจริง คืนนี้เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตอนที่รับโทรศัพท์ของเสิ่นอีเวยแล้วบอกว่าอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ย ตัวเขายังรู้สึกว่ามันแปลกพิกล
เพราะว่าในใจเขาในตอนนั้นมันไม่เหมือนเดิม ตอนแรกก็ห่วงว่าเสิ่นอีเวยไปโผล่ห้องพักผู้ป่วยเสิ่นหุ้ย กลัวว่าหล่อนจะไปทำอะไรเสิ่นหุ้ยกันแน่
ในตอนนั้นสิ่งที่ตัวเองคิดถึงเป็นเรื่องก็คือ เสิ่นอีเวยร่างกายยังไม่หายดี ทำไมออกมาจากโรงพยาบาลกระทันหันได้
เซิ่งเจ๋อเฉิงยอมรับเลยว่า ในตอนนั้นเขาห่วงสุขภาพร่างกายของผู้หญิงคนนั้น ก็แค่ห่วงหล่อนเรื่องสุขภาพเท่านั้นแหละ ในใจแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นอีกเลย
ดังนั้นพูดง่ายเลยก็แค่—
ครั้งนี้ เสิ่นอีเวยล้ำเส้นไปนิด เซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มโกรธขึ้นมานิดๆแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
แต่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าในใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังคิดเรื่องนี้อยู่อย่างเสิ่นอีเวยยังคงนึกต่อไปว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงตั้งใจที่จะจิกกัดตัวหล่อนทุกคำพูด
ฉะนั้นเห็นได้ชัดว่าหล่อนอารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่
เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้ว่าครั้งนี้เสิ่นอีเวยล้ำเส้นไปนิด การถกเถียงกันไปมา ตัวเขาเองรู้ว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบอยู่เลยไม่อยากสนใจคำถามของเสิ่นอีเวยที่ถามมาเมื่อครู่นี้ ได้แต่ขับรถต่อไป
ทว่าเสิ่นอีเวยก็ได้แค่เข้าใจตัวเองเท่านั้น ถึงแม้ว่านิสัยของหล่อนจะไม่ใช่พวกเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ถ้าเผชิญหน้ากับเซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวยรู้ดีว่า หากเซิ่งเจ๋อเฉิงทำนิสัยเสียใส่หล่อน หล่อนก็ไม่สามารถหยุดนิสัยแบบนั้นได้
มีคำพูดอยู่คำหนึ่งว่าไม่แย่งของก็ขอให้ต่อปากต่อคำกันก็ยังดี บ่อยครั้งนักที่เวลาที่เผชิญหน้ากับเขา หล่อนก็สามารถยืนยันประโยคนี้ได้ ฟังดูมันปัญญาอ่อนแต่มันคือเรื่องจริง
เสิ่นอีเวยไม่เคยปฏิเสธเรื่องนี้เลย
เดิมที่หล่อนคิดว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงคงจะทะเลาะกับหล่อนต่อในรถแน่ๆ แต่ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆกลับไม่ปริปากพูดสักคำ อารมณ์บึ้งตึงของเสิ่นอีเวย “หล่น” ดังพลัก
หล่อนทำตาโต น้ำเสียงเหมือนไม่พอใจ : “คุณชายคนนี้ทำไมไม่ยอมพูดแล้วหล่ะ? คำถามนี้ไม่ใช่คุณเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อนหรอ? ตอนนี้กลับไม่ปริปากพูดสักคำ มันหมายความว่าไง?”
เสิ่นอีเวยรีบร้อนที่จะเถียงกับเซิ่งเจ๋อเฉิงจนพลาดเรื่องจริงไป แต่เป็นหล่อนเองที่พลาดคำถามนี้ไปไม่ใช่เรื่องที่เซิ่งเจ๋อเฉิงถกมาก่อนหน้านี้
แต่หล่อนก็ยังคงไม่รู้ตัวอยู่ดี
เซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนที่คิดละเอียดรอบคอบ เขารู้จุดนี้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่พบได้ยากก็คือครั้งนี้เขากับไม่หาเรื่องเสิ่นอีเวย ได้แต่เงียบอยู่นาน
เสิ่นอีเวยเห็นว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ยอมพูดแบบนั้น หล่อนเลยนึกว่าเขาคงมีเหตุผลไม่พอเลยไม่รู้ว่าจะหล่อนคำถามหล่อนยังไงดี
หล่อนคิดตามนั้นเลยรู้สึกพออกพอใจขึ้น
เมื่อก่อนตอนที่ทั้งคู่ทะเลาะกัน บ่อยครั้งที่เซิ่งเจ๋อเฉิงจะอยู่เหนือกว่า เพราะผู้ชายคนนั้นเขาตอบสนองรวดเร็วกว่าคนปกติ แถมการคิดการอ่านและการใช้ภาษาแสดงออกมานั้นเป็นหลักการที่ชัดเจนอย่างเห็นได้ชัดและถูกต้องแม่นยำไม่เคยพลาด บางครั้งยังรู้สึกเหมือนกำลังโดนเหน็บแนมอยู่นิดๆ
ทุกครั้งในวลานั้น เสิ่นอีเวยรู้สึกไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลแต่ทุกครั้งหล่อนเหมือนเป็นใบ้เถียงไม่ทัน
ทว่าครั้งนี้ มันไม่ง่ายเลยที่หล่อนจะใช้โอกาสจี้จุดกดดันคนอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงได้จะปล่อยผ่านไปง่ายๆได้ยังไง?
คิดได้อย่างนั้น ในใจเสิ่นอีเวยเริ่มดีอกดีใจขึ้นมาบ้าง คำพูดที่อยู่ในอยากพูดอะไรก็พูดออกจากปากไปโดยไม่ทันได้คิด
“ตอบฉันมา! ท่านประธานเซิ่งไม่ใช่คนที่ยอดเยี่ยมหรอกหรอ–”
ทุกครั้งเวลาที่หล่อนอยากจะหาเรื่องเขามักจะเรียกเขาว่า “ท่านประธานเซิ่ง” ทุกที
เป็นทางการ มีมารยาท เยือกเย็น นั่นแหละเป็นสัญลักษณ์ในการเอ่ยเรียกแบบนี้
เสิ่นอีเวยยังคงถามซักไซ้ต่อไป: “ทำไมไม่ยอมพูดล่ะ?”
ด้วยใจที่อยากจะชนะอีกคนอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เสิ่นอีเวยไม่ได้รับรู้เลยว่าบรรยากาศในรถมันเริ่มเย็นลงทุกขณะ
อาจจะเป็นเพราะว่าไฟที่สาดส่องมาจากด้านนอกนั้นมองมองเห็นใบหน้าแค่ครึ่งเดียวของเขา จึงทำให้เสิ่นอีเวยดูไม่ออกว่าเขาอารมณ์ไหนอยู่ มัวแต่คิดว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว
แต่สิ่งที่ทุกคนต่างไม่รู้ก็คือ ผู้ชายที่กำลังขะมักเขม้นขับรถอยู่นั้นในใจเขากำลังโดนไฟสุม กองไฟมันสุมไปเรื่อยๆ ใกล้เวลาที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งเต็มที
มือของเซิ่งเจ๋อเฉิงจับพวงมาลัยเอาไว้แน่น สายตาที่มองตรงไปด้านหน้านั้นมันมืดสลัวอย่างน่ากลัว
เขาคิดถึงเรื่องอารมณ์ที่สับสนที่อยู่ในใจของเขาเมื่อครู่ คิดถึงคำถามที่เมื่อครู่ต้องการจะบีบให้เขาตอบ เห็นได้ชัดว่าในใจเขามันเริ่มมีอะไรบางอย่างพยายามที่จะควบคุมมันไม่ไหวแล้ว
เขาในตอนนี้คำถามต่างๆมากมาย สิ่งที่เขาทำไม่ได้คือความคิดในความเป็นจริงเหล่านี้มันไม่สามารถจะบอกพูดออกมาได้ทั้งหมด
ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงหรือรู้เรื่องรู้ราวใดๆเลย เอาแต่ซักไซ้ไล่เลียงตลอด มันทำให้กองเพลิงที่อยู่ในใจลุกช่วงชัชวาลขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่เขากำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี เสิ่นอีเวยก็ใช้น้ำเสียงเยาะเย้ยนั่นถามซักไซ้เขาอีก
ครั้งนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงหมดความอดทนแล้ว
“เธอลงจากรถไปเลย ตอนนี้ !”
เสียงผู้ชายดั่งลั่นสนั่นรถ เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจเพราะหล่อนเพิ่งจะทำตัวสบายใจอยู่
พอจบประโยคที่เขาพูดรถก็เบรคกะทันหันอย่างแรง แรงขนาดที่ว่าเสิ่นอีเวยที่คาดเข็มขัดนิรภัยไว้เรียบร้อยแล้วยังกระแทกกับเก้าอี้นั่งอย่างแรงอย่างตั้งตัวไม่ทัน
วินาทีต่อมาสมองกระทบกระเทือนจนเกิดอาการมึนอยู่สักพัก เสิ่นอีเวยได้แต่หลับตาและขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยการทนไม่ไหว
เมื่อครู่ที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดอย่างโมโหออกมา หล่อนได้ยินอย่างชัดเจน
ใช่ ตอนนี้หล่อนนั่งอยู่บนรถของเซิ่งเจ๋อเฉิง แถมตอนนี้เขาก็ไล่หล่อนลง ในใจของเสิ่นอีเวยไม่ได้รู้สึกว่าโดนหักหน้าอะไร หล่อนกับเขาแต่งงานกันมาก็สามปีแล้ว ตอนพยายามที่จะต่อร้องต่อเถียงทะเลาะกันไม่ก็ไม่ได้น้อยอะไรไม่ใช่หรอ?
ไม่โดนทำร้ายให้มีแผลก็ดีแค่ไหนแล้ว เสิ่นอีเวยแทบไม่ได้ใส่ใจเลย ได้แค่พูดจิกกัดไปประโยคเดียว : “จะให้ลงก็ลง คุณคิดว่าฉันอยากจะนั่งรถคุณจนตัวสั่นหรอไง!?”
น้ำเสียงของหล่อนกระแทกกระทั้นอย่างชัดเจน ราวกับว่าเป็นการตัดสินใจที่ใหญ่โตไม่มีการเรียกกลับคืนมาอีกแบบนั้น แต่สิ่งที่แปลกก็คือ เซิ่งเจ๋อเฉิงฟังที่หล่อนพูดกลับไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรมากมายนัก แต่กลับกัน เขาคิดว่าสิ่งที่เสิ่นอีเวยพูดโพล่งๆออกมานั้นมันรู้สึกตลกฮาดี
ตอนที่เซิ่งเจ๋อเฉิงกับครุ่นคิดอยู่ เสิ่นอีเวยก็พรวดพราดปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วเปิดประตูก้าวลงรถไป ตอนที่พยายามตั้งตัวให้ยืนให้สนิทเท้านั้น หล่อนรู้สึกว่ามือขวามันหนักๆถ่วงๆอยู่พอหยิบขึ้นมาดู ที่แท้ก็เป็นเสื้อโค้ทตัวใหญ่ของเซิ่งเจ๋อเฉิง
เดิมทีก็โกรธอยู่แล้วยิ่งเห็นเสื้อผ้าเขายิ่งโกรธทวีคูณขึ้นไปอีก เมื่อกี้ตัวเองไม่น่าไปรับความเอาอกเอาใจแบบมหัศจรรย์พลันแล่นของผู้ชายคนนั้นเลย!
มันช่างน่าละอายใจจริงๆ ให้ลงก็ลง จากที่นี่กลับบ้านระยะทางก็ไม่ได้ไกลมากมายนัก หล่อนเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ จะกลับบ้านเองไม่ได้เลยหรอ?
คิดได้แบบนั้น เสิ่นอีเวยก็โยนเสื้อไปทางเขาที่อยู่ในรถ โดยที่หล่อนแทบไม่ได้มองสีหน้าเย็นยะเยือกของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังนั่งตำแหน่งคนขับรถอยู่เลย