บทที่ 243 เธอต้องรับการรักษาตามที่ฉันเตรียมไว้
เสิ่นอีเวย เห็นท่าทีที่กำลังจะเดินจากไปของเซิ่งเจ๋อเฉิง สิ่งที่เธอต้องการพูดยังไม่จบ ใจเธอลนลานรีบก้าวพรวดไปดึงแขนของเซิ่งเจ๋อเฉิงไว้
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะถูกดึงแขนไว้ แรงกระชากทำให้ถ้วยและตะเกียบในมือตกลงที่พื้นห้องเสิ่นอีเวยถึงกับตกใจ แต่พื้นห้องเป็นพื้นไม้ ถ้วยที่ตกจึงไม่แตกมีแต่เสียงดัง “ปึง”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้หันหน้าไปที่คนที่กระชากแขนของเขา แต่ก้มตัวลงไปเก็บถ้วยกับตะเกียบที่ตกอยู่บนพื้นก่อน
“ฉันยังพูดไม่จบคุณยังไปไหนไม่ได้ วันนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!” เสิ่นอีเวยพูดโพล่งออกมาอย่างเอาจริงเอาจัง
เซิ่งเจ๋อเฉิงหันกลับมามองดูเสิ่นอีเวยที่กำลังน้ำตาคลอเบ้า หล่อนมีอารมณ์ที่หลากหลายผสมปนเปกันมั่วไปหมด ตอนนี้เธอกำลังไม่สบาย เขาไม่อยากให้เธอได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ
เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของชายหนุ่มไม่แข็งทื่อเหมือนแต่ก่อน เซิ่งเจ๋อเฉิงกล่าวถามว่า: “โอเค เธอบอกฉันมาสิว่าเธอมีความคิดเห็นอย่างไรที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้?”
เสิ่นอีเวยขยับริบฝีปาก กำลังจะพูดต่อแต่ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงขัดจังหวะ: “แต่ก่อนอื่นฉันต้องบอกไว้ก่อนว่า ไม่ว่าเธอจะเสนอวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไรก็ตามจะต้องอยู่ภายใต้คำสัญญาว่าจะรับการรักษาตามที่ฉันเตรียมไว้ให้”
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาดห้ามขัดคำสั่ง
เสิ่นอีเวยถึงชะงักไปครู่หนึ่งและถามว่า : “งั้นความหมายของคุณคือ ยังไงก็ตามฉันต้องได้รับการรักษาตามที่คุณกำหนดไว้ ถึงจะยังสามารถอยู่ในบริษัทเซิ่งซื่อต่อใช่ไหม?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้ตอบในทันทีเห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับประโยคหลังที่เสิ่นอีเวยพูดออกมา เหมือนว่าเธอยังอยากดื้อดึงอยู่ในบริษัทเซิ่งซื่อต่อ
ในชีวิตของเขาที่ผ่านมาไม่เคยคิดเสียใจกับเรื่องที่ตัดสินใจมาก่อน แต่ในตอนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มรู้สึกเสียใจที่เขาปล่อยให้เสิ่นอีเวยเข้ามาทำงานในเซิ่งซื่อ ถ้าในตอนนั้นเขาไม่ให้เธอเข้ามาร่วมงานกับบริษัท เขาก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพคนกลางต้องลำบากใจอย่างในตอนนี้
สิ่งที่เขาหวังมากที่สุดในตอนนี้คือสามารถนำเสิ่นอีเวยออกจากเซิ่งซื่อแล้วรับการรักษาอย่างเต็มที่ ถึงจะทำให้เธอไม่ต้องมากังวลใจและปวดหัวกับเรื่องงานแบบนี้ถึงจะเป็นการรักษาที่ดีที่สุด
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมรับการรักษาดังกล่าว
เซิ่งเจ๋อเฉิงคิดอยู่พักหนึ่งในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะพูดอย่างประนีประนอมกับอีกฝ่าย
“ใช่ หากเธอให้ความร่วมมือในการรักษาฉันจะอนุญาตให้เธออยู่ในเซิ่งซื่อต่อไปได้” เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เสิ่นอีเวยวิเคราะห์ท่าทีของเขาเหมือนว่ากำลังประมวลว่าคำพูดจากปากเขามีความจริงอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาจึงกล่าวเพิ่มเติมว่า: “ไม่ต้องมีความสงสัยอะไรทั้งสิ้น ฉันไม่โกหกเธอหรอก”
เรื่องมาถึงวันนี้เสิ่นอีเวยได้ยินคำตอบที่เธอสามารถยอมรับได้ ดังนั้นเธอจึงไม่พูดอะไรต่อ
ทันใดนั้นมีความรู้สึกเจ็บแปร๊บที่แขน เสิ่นอีเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย หล่อนเอามืออีกข้างหนึ่งบีบๆนวดๆที่แขนเบาๆ
เมื่อการสนทนาจบลง เซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังจะเดินออกไปจากห้อง สังเกตเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเสิ่นอี
เวยจึงถามว่า “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เสิ่นอีเวยไม่อยากบอกความจริง เธอจึงพูดปฏิเสธอย่างลวกๆว่า: “ไม่มีอะไรค่ะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้ว ดูจากสีหน้าท่าทางที่เห็นได้ชัดว่าเสิ่นอีเวยกำลังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ เขาก็รู้ในทันทีว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ เขาวางถ้วยและตะเกียบลงบนโต๊ะแล้วเดินไปหาเสิ่นอีเวย
เขาดูจริงจังพลางเอ่ยถาม: “เธอกำลังโกหก เธอเป็นอะไรกันแน่?”
เสิ่นอีเวยตกใจก้าวไปทางด้านหลังตามสัญชาตญาณ ด้านหลังของเธอเป็นเตียงนอน ข้อพับหัวเข่าชนกับขอบเตียง เธอจึงร่วงลงนั่งลงบนเตียง
ในเวลาเดียวกับเซิ่งเจ๋อเฉิงคว้าแขนของเสิ่นอีเวยไว้ได้ แต่เขาคว้าโดนตรงที่เธอกำลังเจ็บอยู่พอดี
ความเจ็บปวดอันรุนแรงทำให้เสิ่นอีเวยอุทานออกมา “อุ้ย!”
วินาทีต่อมา เธอก็รีบกุมบริเวณที่รู้สึกเจ็บนั้นไว้ เซิ่งเจ๋อเฉิงสังเกตเห็นว่าเขาทำให้เธอเจ็บอยู่ ดังนั้นเขาเลยดึงแขนเสื้อของเสิ่นอีเวยขึ้นมา เสิ่นอีเวยไม่มีเวลาตอบโต้ใด ๆ การกระทำของเซิ่งเจ๋อเฉิงรวดเร็วปานสายฟ้า
บนผิวที่ขาวนุ่ม ภายใต้แสงไฟปรากฏรอยฟกช้ำสีม่วงแดงอย่างน่าตกใจ เซิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยมองดูรอยฟกช้ำแล้วถามว่า: “แบบนี้ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก? ไปโดนอะไรมา?”
เสิ่นอีเวยเม้มริมฝีปากแน่นหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง ไม่พูดอะไร เซิ่งเจ๋อเฉิงมองดูเสิ่นอีเวยอย่างเงียบๆในสมองของเขานึกถึงเรื่องแล้วเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในคืนนี้
เซิ่งเจ๋อเฉิงถามเบาๆว่า: “ตอนที่อยู่ถนนหวนไฮ ฉันลากเธอขึ้นรถเลยช้ำจนถึงขนาดนี้เลยเหรอ?”
พอเขาพูดจบ เสิ่นอีเวยอยากจะดึงแขนออกมาจากมือเขา แต่กลับขยับไม่ได้
“ตอบฉันมา” น้ำเสียงของชายหนุ่มเด็ดขาด ทำให้คนฟังไม่สามารถปฏิเสธเขาได้
ขนตางอนงามของเสิ่นอีเวยสั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น อุณหภูมิอุ่นๆของฝ่ามือใหญ่ๆ ที่หยาบนิดๆของเซิ่งเจ๋อเฉิงสัมผัสกับผิวอันบอบบางของแขนเสิ่นอีเวย ทำให้รู้สึกคันนิดๆแต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าหลงใหล
ยังไงเขาก็เกิดมาในสภาพแวดล้อมครอบครัวที่ดี เซิ่งเจ๋อเฉิงยังได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม และได้รับการนับถือตั้งแต่อายุยังน้อยฝ่ามือของเขาไม่ควรจะหยาบแบบนี้ อาจเป็นเพราะเขาออกกำลังกายเป็นประจำและเป็นเวลานาน ต้องจับอุปกรณ์ออกกำลังกายอยู่บ่อย ๆเลยทำให้มือหยาบกร้าน
เมื่อถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงเค้นถาม เสิ่นอีเวยเลยตัดสินใจที่จะไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไป เธอเงยหน้าขึ้นมองตาเซิ่งเจ๋อเฉิง บริเวณเหนือศีรษะของเขามีแสงนีออนสาดส่องมาจากมุมที่เซิ่งเจ๋อเฉิงมองไปที่ดวงตาของเสิ่นอีเวย ดวงตาของเธอส่องประกายระยิบระยับราวกับเพชร
“ใช่ค่ะ” เธอพูดสองคำนี้ออกมาอย่างราบเรียบ
เมื่อยืนยันคำตอบในใจของเขาแล้วเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ไม่มีทีท่าแปลกใจอะไร เพียงแต่ … มีความรู้สึกผิดนิดๆ อะไรกัน? มันไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ลังเลถามตรง ๆว่า: “กล่องยาอยู่ที่ไหน?”
เสิ่นอีเวยชะงักไปนิดหนึ่ง เธอชี้ไปที่ชั้นวางของถัดจากเตียงแล้วพูดว่า :”อยู่นั่น”
เขาจะไปเอายามาทาให้เธอ?เสิ่นอีเวยรู้สึกงงนิดๆ
ขายาวๆของเซิ่งเจ๋อเฉิงก้าวไม่กี่ก้าวก็หยิบกล่องยมาแล้ววางลงบนเตียง เขานั่งลงข้างเสิ่นอีเวย
เซิ่งเจ๋อเฉิงจับแขนที่ได้รับบาดเจ็บของเธออย่างนุ่มนวล ยาหม่องกลิ่นหอมเย็นจากสมุนไพรแต้มอยู่ที่นิ้วชี้ของเซิ่งเจ๋อเฉิงจากนั้นเขาก็เอายาถูไปที่ผิวฟกช้ำที่แขนของเสิ่นอีเวย
ตอนแรกรู้สึกเย็นนิดๆ จากนั้นก็เริ่มอุ่นขึ้นเซิ่งเจ๋อเฉิงทายาอย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวว่าจะทำให้เสิ่นอีเวยเจ็บ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับรู้สึกหวาดระแวง คืนนี้การแสดงออกของผู้ชายคนนี้มันดูแปลกๆ
ก็ไม่นะ พูดให้ถูกช่วงนี้เขามักมีท่าทีแปลกๆอยู่แล้ว
ตั้งแต่ตอนที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเดินเข้ามาหาเธอ ในสมองของเสิ่นอีเวยก็เกิดคำถามขึ้นมา เธออยากจะถามเซิ่งเจ๋อเฉิงให้ชัดเจนไปแต่เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง
ในขณะที่ความคิดของเสิ่นอีเวยกำลังฟุ้งซ่านอยู่นั้นเอง เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ถามว่า “เจ็บไหม?”
เสิ่นอีเวยตกใจ สะดุ้งนิดหนึ่ง แต่เธอก็ปรับอารมณ์อย่างว่องไว: “ไม่เป็นไรคะ”
บทสนทนาเรียบง่ายนี้ ไม่สามารถทำให้เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“เซิ่งเจ๋อเฉิง” เสิ่นอีเวยเรียกชื่อเขา
“หืม” เขาตอบกลับ
“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้?” สิ่งที่อยากรู้ ควรที่จะถามออกไปดีกว่าเก็บไว้
นิ้วที่กำลังทายาของเซิ่งเจ๋อเฉิง ชะงักไปเล็กน้อย แล้วถามว่า: “เธอหมายถึงอะไร?”
เสิ่นอีเวยถอนหายใจเบาๆ แต่น้ำเสียงกลับราบเรียบ: “ทำไมถึงพาฉันออกมาจากห้องพักคนไข้ของเสิ่นหุ้ย? ทำไมถึงอยากให้ฉันรับการรักษา? เพราะอะไรกัน——”
พอพูดถึงตรงนี้เสิ่นอีเวยก็หยุดพูด