บทที่ 247 เบาะแสที่น่าตกใจ
ตอนที่เสิ่นเหยียนชิ่งพูดประโยคนั้นออกมาเขาไม่มีท่าทีหรืออาการใดๆ จึงทำให้ดูไม่ออกเลยว่าอารมณ์ความรู้สึกลึกๆภายในใจที่แท้จริงของเขานั้นเป็นอย่างไร
วินาทีที่สิ้นเสียงของเสิ่นเหยียนชิ่ง บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ลมหายใจของเสิ่นอีเวยเหมือนจะหยุดลง หล่อนถามเสิ่นเหยียนชิ่งออกไปด้วยท่าทีที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน: “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”
เสิ่นเหยียนชิ่งเองก็เหมือนจะคาดเดาไว้แล้วว่าหล่อนจะต้องถามคำถามนี้กับเขา ท่าทางของเขาจึงดูไม่ออกว่าประหม่าลนลานอะไรเลยแม้แต่น้อย
เขามองเซียวหันถิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามก่อนจะถามความคิดเห็น: “ประธานเซียว ยังต้องเล่าต่อไปอีกเหรอครับ”
เวลานี้เองที่เสิ่นอีเวยรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทำไมเสิ่นเหยียนชิ่งถึงได้กลายเป็นคนที่เชื่อฟังคำสั่งคนอื่นแบบนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องถามเซียวหันถิงก่อน
เสิ่นอีเวยมองเสิ่นเหยียนชิ่งด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาที่เป็นห่วงกังวลของเซียวหันถิงที่มองมายังหล่อน
“เล่าต่อไป”เซียวหันถิงพูด
เสิ่นอีเวยหันหลังให้กับเซียวหันถิง จึงไม่เห็นท่าทีของเขา ดังนั้นหล่อนจึงคิดว่าที่เขาพูดเมื่อครู่นั้น คือพูดกับเสิ่นเหยียนชิ่ง แต่หากหล่อนไม่ได้คิดผิดไปเองเมื่อสักครู่นั้น เขาพูดขณะกำลังมองที่หล่อนอยู่
เสิ่นอีเวยรู้สึกแปลกๆจึงหันกลับไปดู แต่กลับไปสบสายตาที่เร่าร้อนเหมือนเปลวเพลิงของเซียวหันถิงเข้าโดยบังเอิญ
ฝ่ายหลังพูดขึ้นมาก่อนว่า: “คุณเสิ่นครับ อีกสักครู่ไม่ว่าเสิ่นเหยียนชิ่งจะพูดอะไร ขอให้คุณฟังต่อไปให้จบและพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้”
เมื่อหล่อนได้ฟังสิ่งเขาพูด หล่อนรู้สึกว่ามันช่างน่าตลก หล่อนฝืนยิ้มออกมามองไปยังเสิ่นเหยียนชิ่ง แล้วมองไปที่เซียวหันถิงก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็นว่า: “ความหมายของประธานเซียวก็คือ ในเมื่อคนๆนี้ยอมรับจากปากของตัวเองว่าเขาเป็นคนวางยาในแก้วเหล้าของพ่อกับแม่ในตอนนั้น ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงความโกรธเกลียดเขาเลยใช่มั้ย”
สีหน้าของเซียวหันถิงเปลี่ยนไปทันที เขาเตรียมจะอธิบายว่าเขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่อยู่ๆเสิ่นเหยียนชิ่งที่อยู่ตรงข้ามก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา
“คนที่จ่ายเงินให้กับพนักงานคนนั้น ให้เขาไปวางยานั้นถึงแม้ว่าจะเป็นผม แต่ผมไม่ได้เป็นคนบงการทั้งหมด ยังมีคนอยู่เบื้องหลังผมอีก
เหมือนมีความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ ในที่สุดเสิ่นเหยียนชิ่งก็ค่อยๆเปิดเผยความจริงที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์วันนั้น
เสิ่นอีเวยตกใจสุดขีด สมองเบลอไปชั่วขณะ : “นี่คุณหมายความว่ายังไง”
เสิ่นเหยียนชิ่งมองตาหล่อน ใบหน้าไร้อารมณ์ใดๆ: “คนที่บงการผมให้ไปหาคนมาวางยาในคืนวันนั้นก็คือ เซิ่งเจิ้นอวิ๋น”
เมื่อได้ยินคำว่าเซิ่งเจิ้นอว๋นออกมาจากปากของเขา มือของหล่อนที่จับแก้วชาอยู่กำแน่นจนสั่น
เซิ่งเจิ้นอวิ๋น พ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิง พ่อสามีของตนเอง
เป็นไปได้ยังไง เสิ่นเหยียนชิ่งกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่
มองเห็นใบหน้าที่ดูจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินของเสิ่นอีเวยแล้ว เซียวหันถิงก็หันไปพยักหน้าให้กับเสิ่นเหยียนชิ่งเพื่อให้เขาพูดตามที่พวกเขาวางแผนไว้ต่อไป
“เรื่องมันมีอยู่ว่า” เสิ่นเหยียนชิ่งหยิบแก้วชาขึ้นมาจิบ ประหนึ่งว่าเรื่องที่เขากำลังจะเล่านั้นมันต้องเรื่องที่ยาวนาวมาก
เสิ่นอีเวยกำลังใจจดใจจ่อ พยายามไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆออกมา
แต่กลับไม่มีใครรู้ว่า ในตอนนั้นเองภายใต้แขนเสื้อนั้นหล่อนกำลังกำหมัดแน่น
อดทน ต้องอดทนไว้ จึงจะได้รับรู้ความจริงทั้งหมด ในที่สุดเสิ่นอีเวยก็อดกลั้นความโกรธเอาไว้ได้
“ในตอนนั้นพี่ชายของฉัน ซึ่งก็คือเสิ่นเหยียนเฟิง พ่อของเธอเป็นทนายที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ โดยเฉพาะคดีความทางธุรกิจการค้าต่างๆทำให้บรรดานักธุรกิจที่มีคดีความต่างไปพากันคารวะขอพบพ่อของเธอ
ขอแค่เห็นพ่อเธอในศาล แม้ว่ายังไม่ได้เริ่มพิจารณาคดี เมื่อฝ่ายตรงข้ามเห็นพ่อของเธอผู้ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญ ก็ล้วนตระหนกประหม่าไปหมด
นี่ก็คือความสามารถที่โดดเด่นของพ่อเธอ เพราะพรสวรรค์ในการทำงานนี้เองที่ไปเข้าตาของเซิ่งเจิ้นอวิ๋น
พูดถึงตรงนี้ เสิ่นเหยียนชิ่งก็หยุดชะงักไม่พูดต่อ แต่กลับมาสังเกตปฏิกิริยาของเสิ่นอีเวย
สองมือของเสิ่นอีเวยกำแน่น พยายามควบคุมอารมณ์อย่างถึงที่สุดแล้วค่อยพูดออกมาสี่คำ : “อืม เล่าต่อไป”
เสิ่นเหยียนชิ่งมองไปที่เซียวหันถิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อว่า: ” จริงๆก่อนหน้านี้พ่อของเธอกับเซิ่งเจิ้นอวิ๋นก็ไม่ได้มีพูดคุยติดต่ออะไรกันมาก ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนจึงไม่ได้สนิทสนมอะไร
แม้ว่าช่วงเวลาที่เซิ่งเจิ้นอวิ๋นขึ้นมามีอำนาจบริหารบริษัทเซิ่งซื่อนั้นจะไม่ยาวนานเท่ากับพ่อและลูกของเขาก็ตาม แต่ว่ามันช่างบังเอิญเหลือเกิน กับช่วงที่พ่อของเธอนั้นกำลังมีชื่อเสียงอยู่ในวงการทนายความ เซิ่งเจิ้นอวิ๋นก็เป็นผู้บริหารบริษัทเซิ่งซื่ออยู่ในขณะนั้นพอดี
ตอนนั้นบริษัทเซิ่งซื่อนั้นยิ่งใหญ่มาก เซิ่งเจิ้นอวิ๋นเห็นว่าบรรดาบอร์ดบริหารคนเก่าคนแก่นั้นก็ไม่ได้มาวุ่นวายสนใจกับตนเองนัก ดังนั้นเขาจึงคิดทำเรื่องมิชอบ หลังจากเข้ามาบริหารได้8เดือน เซิ่งเจิ้นอวิ๋นก็เริ่มหลบเลี่ยงภาษี
เสิ่นอีเวยตกใจมาก ถลึงตาโพลง เป็นไปได้อย่างไร พ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงเนี่ยนะหลบเลี่ยงภาษี
เสิ่นเหยียนชิ่งดื่มน้ำชาอึกหนึ่ง แล้วเล่าต่อไปว่า: ” เรื่องหลบเลี่ยงภาษีนี้สำหรับคนหาเช้ากินค่ำธรรมดาอย่างเรามีแต่จะยิ่งเพิ่มภาระให้หนักใจมากขึ้น ดังนั้นไม่มีใครกล้าทำเรื่องแบบนี้
สำหรับบริษัทใหญ่โต ที่มีรากฐานมั่นคงก็มีช่องว่างที่จะทำมากขึ้นตามขนาด
มีธุรกิจใหญ่โตอยู่ในมือ เพื่อนฝูงคนรู้จักสนิทสนมก็เยอะขึ้นตามไปด้วย และในบรรดาเพื่อนฝูงนี้เองก็มีทั้งคนที่คอยช่วยเหลือส่งเสริม และคนที่คอยแว้งกัด เซิ่งเจิ้นอวิ๋นเองก็ถูกหนึ่งบรรดาเพื่อนฝูงแว้งกัดเอา
เรื่องที่เซิ้งเจิ้นอวิ๋นหลบเลี่ยงภาษีถูกคนเปิดโปง ในตอนนั้นสื่อต่างพากันเสนอข่าวออกมา แต่ใครเป็นคนทำนั้นผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ ดังนั้นเราจะไม่ไปขุดคุ้ยเรื่องนี้
เสิ่นอีเวยมองเสิ่นเหยียนชิ่งด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย ในเมื่อคนๆนี้รู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้ หล่อนจะเชื่อได้อย่างไรว่าเขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้
เซียวหันถิงที่นั่งจิบชาอยู่ข้างๆแน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นท่าทีสงสัยของหล่อน ในใจก็อดรนทนไม่ได้
ช่างเป็นผู้หญิงที่ช่างสังเกตและรอบคอบจริงๆ พูดจบก็หลุบตาลง ไม่ได้พูดอะไรออกมา ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะพูด เวลานี้คือให้หล่อนได้ฟังเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดจบก่อน
ถึงเวลานั้นหากหล่อนตัดสินใจจะทำอะไรที่เขาคิดว่าถูกต้องเหมาะสม เขาจะไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือหล่อนเลย
สายตาของชายหนุ่มที่กำลังดื่มชาอย่างผ่อนคลายค่อยๆมองขึ้นมาที่ใบหน้าด้านข้างของเสิ่นอีเวยที่กำลังนิ่งเงียบคอยฟัง จนเขาลืมไปแล้วว่าเกิดความคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ผู้หญิงคนนี้ ต้องเป็นของเขา
หลังจากที่ข่าวเรื่องหนีภาษีถูกปล่อยออกมา คนในบริษัทเซิ่งซื่อล้วนแตกตื่นกันไปหมด แน่นอนว่ารวมถึงเซิ่งเจิ้นอวิ๋นด้วย
แต่กลับมีไม่ใครคิดเลยว่า เรื่องราวมันจะเปลี่ยนได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ หลังจากข่าวคราวนี้ถูกปล่อยออกมาสามวัน ผู้บริหารก็ออกมาแถลงข่าวกับสื่อต่างๆ
แถลงว่ามีคนคิดไม่ซื่อต้องการ ใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงบริษัทเซิ่งซื่อ พร้อมกับแสดงหลักฐานที่ถูกปรักปรำ
การแข่งขันแย่งชิงทางธุรกิจมันโหดร้ายขนาดไหน มองจากสายตาคนภายนอกส่วนใหญ่น่าจะรู้กันดี ดังนั้นจึงเริ่มมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆขึ้นมา จากเดิมที่เป็นการสาดโคลนให้บริษัทเซิ่งซื่อกลายเป็นการทวงความยุติธรรมให้บริษัทเซิ่งซื่อแทน
ในเวลานั้นข่าวนี้ขึ้นพาดหัวหน้าหนึ่งแทบจะทุกสำนัก เป็นที่สนใจของผู้คนอยู่พักใหญ่
เสิ่นอีเวยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เรื่องของบริษัทเซิ่งซื่อในอดีตที่หล่อนไม่เคยได้ยินจากปากเซิ่งเจ๋อเฉิงมาก่อนหรือว่าเขาเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย