บทที่ 231 กลิ่นน้ำหอมในห้องผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ย
เสิ่นอีเวยที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูห้องผู้ป่วย รู้สึกว่าทุกสิ่งตรงหน้าทั้งแปลกแยกและคุ้นเคย หล่อนยืนลังเลอยู่นอกประตูห้องผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ยอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกนึกคิดขาวโพลน
มือของเสิ่นอีเวยจับอยู่บนที่จับประตู ออกแรงเพียงนิดเดียว ประตูก็ถูกผลักเปิดแล้ว ครั้งนี้ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย อันที่จริงภายในห้องผู้ป่วยไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ยังมีคนอื่นคอยอยู่เฝ้า ดูเหมือนว่าคืนนี้จะไม่มีใครเลยสักคน
เสิ่นอีเวยค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ภายในห้องผู้ป่วยไม่ได้เปิดไฟ แสงจึงไม่ค่อยสว่างนัก แต่ก็ยังมีแสงจันทร์นวลผ่องที่ลอดผ่านหน้าต่าง หล่อนสามารถมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของเสิ่นหุ้ยอยู่บ้างที่กำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยแต่หล่อนก็สงบนิ่งมาก
ช่วงบ่ายของวันนี้ เห็นได้ชัดว่ามีฝนตก ทว่าตอนนี้กลับมีแสงจันทร์ เสิ่นอีเวยก้าวผ่านแสงจันทร์สว่างที่ส่องผ่านหน้าต่างลงบนพื้นเพื่อเดินเข้าไปที่เตียงของเสิ่นหุ้ย
หล่อนค่อยๆ พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ กลิ่นน้ำหอมในอากาศนี่…ทำไมถึงคุ้นขนาดนี้นะ?
สัญชาตญาณของเสิ่นอีเวยบอกหล่อนอย่างรวดเร็ว ห้องผู้ป่วยห้องนี้ชักจะมีปัญหา สมองของหล่อนหมุนอย่างรวดเร็ว นี่เหมือนกับกลิ่นน้ำหอมของ…
สวี่อันฉิง!
ภายในสมองทั้งสองฝั่งที่สุดแล้วก็มาบรรจบกัน
เสิ่นอีเวยค่อยๆหยุดลง อุณหภูมิในห้องผู้ป่วยเหมือนจะเย็นลงในทันที บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด ในใจเสิ่นอีเวยเกิดความตึงเครียดท่วมท้นขึ้นมา
หัวสมองว่างเปล่า ส่งผลให้ความตึงเครียดในหัวใจยิ่งย่ำแย่ลง จนทำให้เสิ่นอีเวยทำได้แค่มองเสิ่นหุ้ยที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างเงียบๆเท่านั้น แต่ไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาเล็กๆน้อยๆอะไรได้เลย
สวี่อันฉิง…ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงสั่งให้ออกจากบริษัทเซิ่งซื่อไปแล้วเหรอ? เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่เคยพบกันซึ่งๆหน้ากับหล่อนเลย แต่ทำไมหล่อนถึงโผล่มาที่ห้องผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ยได้ล่ะ?
เสิ่นหุ้ยและสวี่อันฉิงเป็นเพื่อนสนิทกัน ฉะนั้นตอนที่เริ่มรู้จักกัน เสิ่นอีเวยก็รู้จักสวี่อันฉิงแล้ว และครอบครัวหล่อนก็ทำธุรกิจ จึงชินกับการถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก โตมาเป็นคนที่มีรสนิยมสูงคนหนึ่ง
สวี่อันฉิงชอบน้ำหอม แต่ว่าจะชอบเพียงแค่กลิ่นนั้นกลิ่นเดียวเท่านั้น เหล่าคนที่หล่อนเคยคบค้าสมาคมมาก่อน สามารถแน่ใจได้เลยว่าน้ำหอมนั้นต้องอยู่บนตัวของหล่อนแน่ นี่ก็คือกลิ่นที่ลอยอบอวลอยู่ใต้จมูกของเสิ่นอีเวยในห้องผู้ป่วยอยู่ในตอนนี้
กลิ่นในช่วงต้นบริสุทธิ์และงดงาม แต่ช่วงหลังจะทำให้คนรู้สึกว่าสดใสเพียงเล็กน้อยและเป็นกลิ่นของภาพที่เต็มไปด้วยความน่ารังเกียจ
ใช่แล้ว เสิ่นอีเวยไม่อาจปฏิเสธที่จะไม่รับรู้ว่า สวี่อันฉิงเป็นคนแบบนั้น รูปลักษณ์ของหล่อนจะไม่ทำให้คนรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มองเพียงแวบเดียว แต่เวลายิ่งนานวันเข้า เล่ห์เหลี่ยมคมบนร่างของหล่อนก็จะค่อยๆปรากฏออกมาทีละเล็กทีละน้อย
และก็ไม่เหมือนตอนที่รู้จักกันในตอนแรกๆ เรื่องนี้ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเสิ่นอีเวยก็ยังนึกขึ้นมาได้
ที่จริงแล้วกลิ่นน้ำหอมในอากาศไม่ได้ฉุนมากนัก แต่ว่าเสิ่นอีเวยเกิดมาก็ไวต่อกลิ่นกับน้ำหอมกลิ่นนี้….เรื่องคืนนั้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนมันยังชัดเจนอยู่ กลิ่นน้ำหอมที่หลงเหลือที่อยู่ในห้องส่วนตัวในร้านบาร์มันช่างเหมือนกันทุกประการ
ทันใดนั้นเอง เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าตัวเองแม้กระทั่งจะหายใจก็จะหายใจไม่ออกแล้ว เหมือนกับลำคอถูกบีบแน่นด้วยมือคู่ใหญ่ ไม่มีที่ให้อากาศสามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามาได้
หล่อนพยายามก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ อย่างยากลำบาก ในที่สุดก็สามารถไปนั่งลงบริเวณข้างเตียงผู้ป่วย
แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างหนาวเย็น พอเวลาจับคู่กับสีหน้าที่ค่อนข้างขาวซีดอยู่แล้วของเสิ่นหุ้ยที่ถูกแสงจันทร์สาดส่อง ก็ยิ่งดูเหมือนหุ่นจำลองเข้าไปอีก
เพียงแต่เสิ่นอีเวยไม่ได้รู้สึกเหมือนว่าถูกทำให้ตกใจ หล่อนสอดมือเข้าไปในบนผ้านวมสีขาว กุมมือเสิ่นหุ้ยไว้เบาๆ อุณหภูมิของมือไม่อุ่นไม่เย็นมาก
ไม่ใช่ว่าไร้ชีวิตชีวา แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกคำว่าคนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเช่นกัน
แม้ว่าแสงจันทร์จะค่อนข้างหนาวเย็น แต่เสิ่นอีเวยก็หันศีรษะไปมองรอบอย่างระมัดระวัง ห้องผู้ป่วยนี้ได้รับการตกแต่งอย่างอบอุ่น ไม่ว่าจะตั้งแต่เพดานจนถึงโต๊ะและม้านั่ง หรือด้านบนจะวางตกแต่งด้วยของชิ้นเล็กๆ
เสิ่นอีเวยหันศีรษะกลับมาแล้วหันมองเสิ่นหุ้ยต่อ สายตาแทบไม่แสดงอารมณ์อะไร แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
เซิ่งเจ๋อเฉิงปฏิบัติต่อเสิ่นหุ้ยด้วยใจที่เปี่ยมล้นจริงๆ
เสิ่นอีเวยจำได้อย่างชัดเจนว่า ตั้งแต่วันแรกที่เสิ่นหุ้ยเข้าพักที่ห้องผู้ป่วยห้องนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงทุกๆสองวันก็จะเข้ามาเปลี่ยนดอกไม้สดที่ห้องผู้ป่วย ความเคยชินนี้ถูกเขาและลูกน้องรักษาไว้มาโดยตลอด
โดยปกติแล้วขอเพียงเขามีเวลาว่าง ก็จะเข้ามาเปลี่ยนด้วยตนเอง ถ้าหากเขายุ่งมาก ก็จะยกเรื่องนี้ให้คนอื่นไปจัดการ แทบไม่เคยขาดดอกไม้เลย
และเสิ่นอีเวยก็ถูกสั่งไม่ให้มาปรากฏตัวที่ห้องผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ย แต่หล่อนก็รู้เรื่องพวกนี้ เป็นเพราะหล่อนกับเซิ่งเจ๋อเฉิงเพิ่งแต่งงานกัน และเป็นเพราะเสิ่นหุ้ยเพิ่งเข้าโรงพยาบาลได้ไม่นาน ตอนนั้นหล่อนก็เห็นว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงปฏิบัติต่อเสิ่นหุ้ยอย่างไรก็มองเห็นชัดเจนอยู่เต็มสองตา
ถ้าจะพูดว่าไม่โกรธ ไม่อิจฉา ก็คงโกหกแล้ว
หล่อนเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแค่ต้องการจะได้รับการปฏิบัติเช่นหญิงคนรัก ณ ตอนนั้นหล่อนไม่ได้รู้สึกว่าต่ำต้อย และก็ไม่ได้รู้สึกอาย
แม้ว่าตั้งแต่ตอนเริ่มต้น หล่อนใช้เงินจ้างนักสืบเอกชน ช่วยหล่อนติดตามเซิ่งเจ๋อเฉิงไปที่ห้องผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ย
อย่างเช่นเข้าพักในห้องผู้ป่วยนานแค่ไหนแล้ว ช่วงเวลานั้นได้พูดอะไรบ้างหรือเปล่า หล่อนต้องการจะรู้ทุกอย่างอย่างชัดเจนสมบูรณ์ที่สุด
ในเวลานั้นหล่อนจ้างนักสืบเอกชน ก็ไม่เคยถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงตรวจพบมาก่อน และภายหลังจึงยอมแพ้ต่อเรื่องนี้ไป เป็นเพราะเสิ่นอีเวยเห็นอย่างชัดเจนว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงปฏิบัติต่อเสิ่นหุ้ยด้วยท่าทียังไง และปฏิบัติต่อตนเองด้วยท่าทีแบบไหน
ณ ตอนนั้นหล่อนรู้สึกออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่จำเป็น และก็ไม่มีความหมายอะไร ใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่กับหล่อนที่นี่ เป็นก้อนหินที่ไม่เคยอบอุ่นตลอดมา
ครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากที่ถูกสาดน้ำเย็นและความผิดหวังมาโดยตลอด หล่อนก็ไม่คิดจะไปสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว จนมีความรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วก็คงจะไม่มีความหวังมาโดยตลอด หล่อนมักจะยังเตือนตัวเองว่าต้องมีความยับยั้งชั่งใจต่อความรู้สึกที่มีให้เซิ่งเจ๋อเฉิง
แต่ที่จริง ผลลัพธ์หล่อนก็เดาได้ตั้งนานแล้ว ไม่มีผลกระทบอะไรเลย มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า : ความรู้สึกไม่สามารถเก็บซ่อนได้ คุณปิดปากได้ มันก็จะแสดงออกมาทางดวงตาของคุณแทน
ยิ่งนึกถึงเรื่องการเปลี่ยนดอกไม้ทุกๆสองวัน เสิ่นอีเวยหันศีรษะไปมองโต๊ะตัวเล็กข้างหน้าต่าง โต๊ะเล็กตัวนั้นถูกคลุมด้วยผ้าปูโต๊ะสีฟ้าอ่อน เป็นสีที่เสิ่นหุ้ยชอบที่สุด บนโต๊ะมีแจกันดอกไม้เรียบง่ายอันหนึ่ง และในแจกันก็มีดอกไม้เสียบอยู่ช่อหนึ่ง
แต่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ตอนนั้นดอกไม้สดและมีกลิ่นหอม แต่ตอนนี้ดอกไม้ตรงหน้าหล่อนแห้งเหี่ยวไปแล้ว สีอับเฉา กลีบดอกไม้ก็แห้งเหี่ยวและร่วงหล่นจากกิ่ง
ไม่รู้ว่าทำไม เสิ่นอีเวยมองเห็นสายตาตรงหน้า หัวใจก็เต้นผิดจังหวะขึ้นมา ทำไมเซิ่งเจ๋อเฉิงถึงไม่เปลี่ยนดอกไม้ล่ะ? หรือว่าเป็นเพราะ…
ทันใดนั้นเสิ่นอีเวยก็นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาก เซิ่งเจ๋อเฉิงดูเหมือนว่าจะมีส่วนที่ห่วยใยหล่อนบ้าง หล่อนค่อยๆสังเกตว่าการทะเลาะเบาะแว้งของคนทั้งสองไม่มากเหมือนแต่ก่อนแล้ว ด้านความสัมพันธ์ก็ดูเหมือนจะขยับเข้าใกล้กันอย่างช้าๆ
แต่ว่า…ก็มีคนเป็นแบบนี้ บางทีต่อหน้าคนอื่นจะแสดงท่าทางหยิ่งยโสอย่างที่สุดและไม่ยอมแพ้ใครออกมา เพราะว่าพวกเขาไม่เคยได้รับการรักษาด้วยใจจริง ดังนั้นตอนที่พวกเขาให้ความอบอุ่นแก่ผู้อื่นทีละเล็กทีละน้อย บุคคลแบบนั้นจะไม่สามารถต้านทานได้
นี่ก็คือเหตุผลที่ตลอดมาเสิ่นอีเวยไม่กล้ามั่นใจ ว่าความรู้สึกที่เซิ่งเจ๋อเฉิงมีให้ตนนั้นคืออะไรกันแน่
ในแต่ละวันที่ผ่านไป อาจเป็นเพราะได้รับความเจ็บปวดมาหลายครั้งเกินไป ช่วงเซิ่งเจ๋อเฉิงเข้าใกล้หล่อนรู้สึกว่าฝั่งตรงข้ามเห็นเป็นเพียงเรื่องตลกและก็ไม่กล้าที่จะส่งมอบความจริงใจออกไป
ด้านนอกหน้าต่างมีลมพัดแรง พัดม่านบางให้ยกขึ้น ความคิดของเสิ่นอีเวยถูกลมดึงกลับมา
กลิ่นน้ำหอมที่ปลายจมูกยังไม่จางหายไป หล่อนจับมือของเสิ่นหุ้ยเบาๆ
พี่สาวคะ เป็นสวี่อันฉิงจริงๆ