บทที่ 255 การพูดคุยกับเจิ้งโป๋หง
เจิ้งโป๋หงมองเจิ้งอวิ๋นชวนแล้วรู้สึกว่าเขาคนนี้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ในหัวสมองนั้นรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง เขาได้บังคับอารมณ์ และได้พูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “เพราะแกไม่ให้ความเคารพคุณชายเจิ้ง”
เจิ้งอวิ๋นชวนตอบอย่างหัวเราผสมความโมโหว่า “ทำไมผมไม่เคารพเขาล่ะ ? เขานั้นได้หาเรื่องผมก่อนนะ พูดอีกอย่างหนึ่ง อำนาจของมันคงไม่สูงเท่าพ่อหรอกใช่ไหม ? พูดไปอีกผมกับเขาก็วัยวุฒิเท่ากัน ทำไมผมจะต้องเคารพเขา ? ”
“พั๊วะ!” ในห้องทำงานขนาดห้อง ได้ยินเสียงที่ชัดเจนมาก ๆ
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ขมวดคิ้วขึ้น เพราะว่าเจิ้งโป๋หงได้ใช้ฝ่ามือฟาดลงไปบนหน้าของเจิ้งอวิ๋นชวนเต็ม ๆ
เจิ้งโป๋หงทนจนทนไม่ได้ ตาสองข้างเต็มไปด้วยความโกรธ ซึ่งเจิ้งอวิ๋นชวนก็มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
แต่พ่อก็คือพ่อ และยิ่งเป็นพ่อที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย ทำไมจะไม่สู้เพื่อที่จะออกหน้าแทนลูกล่ะ ?
“พ่อทำไมถึงตีผม ? ” เจิ้งอวิ๋นชวนโกรธเป็นอย่างยิ่ง
เจิ้งโป๋หงพูดอีกครั้ง “พ่อพูดอีกครั้ง ให้ขอโทษคุณชายเซิ่ง”
เจิ้งอวิ๋นชวนได้หันสายตาไปมองยังเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้มีสีหน้าอะไร “เซิ่งเจ๋อเฉิง นายมันเก่งมาก ขนาดที่ทำให้พ่อของผมโมโหขนาดนี้ แต่ว่า….”
พอพูดถึงตรงนี้ เจิ้งอวิ๋นชวนก็ได้เพิ่มความโมโหขึ้นอีก “ผมจะบอกคุณว่า เจิ้งอวิ๋นชวนคนนี้จะไม่ก้มหัวให้ใคร วันนี้จะเป็นพ่อก็เช่นกัน พวกคุณเล่นกันไปเถอะ ผมไม่อยู่ด้วยแล้วล่ะ”
พอพูดเสร็จเจิ้งอวิ๋นชวนก็ได้เดินออกไป ซึ่งเจิ้งโป๋หงก็ได้ยืนมองเหมือนกับโดนอะไรสะกดอยู่ พอรู้สึกตัวอีกที ก็เห็นเจิ้งอวิ๋นชวนปิดประตูดัง “ปั้ง” ไปเสียแล้ว
คำที่เจิ้งโป๋หงกำลังจะพูด ก็เหมือนกับถูกดูดกลืนโดยบรรยากาศ เจิ้งอวิ๋นชวนออกไป ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความสงบ
เจิ้งโป๋หงในตอนนี้ดูเหมือนจะมีความว้าวุ่นอยู่ในนั้น เหมือนกับคนที่แก่ลงไปอีกสามสี่ปี ถึงแม้จะไม่มีท่าทีอะไร แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงมองออกมา เขานั้นมีกำลังแสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง
พอเรื่องมาถึงตรงนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ไม่อาจจะไม่ยอมรับได้ว่ามีความตกใจเหมือนกัน เขาไม่คิดว่าคนอย่างเจิ้งโป๋หงนั้นจะมาโมโหกับเด็กอายุยี่สิบกว่า ๆแบบนี้ได้
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ถึงอายุจริง ๆ ของเจิ้งอวิ๋นชวนแต่ก็กล้าที่จะรับรองได้ว่าห่างจากตัวเองนั้นไม่กี่ปี น่าจะประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดโดยประเทศ เยอะกว่าเสิ่นอีเวยสองปี น้อยว่าตัวเองสองปี
หากพูดตามเหตุผล หากจะจัดการกับผู้ชายอายุประมาณนี้ ด้านความคิดและอารมณ์ไม่มากก็น้อยก็จะต้องบังคับตัวเองได้แล้ว
หากมองในมุมมองของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้ว เจิ้งอวิ๋นชวนเด็กน้อยคนนี้ยังห่างฉันกับเสิ่นอีเวยมาก
เสิ่นอีเวยห่างจากอายุสามสิบก็ไม่มากแล้ว ความคิด การอ่านในใจนั้น เหนือฉันกว่าเจิ้งอวิ๋นชวนเป็นอย่างมาก
แต่เดี๋ยวก่อน
เซิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้ว ทำไมตัวเองจะต้องนำเสิ่นอีเวยกับเจิ้งอวิ๋นชวนมาเปรียบเทียบ ?
และทำไม….ในใจของตัวเองนั้นรู้สึกถึงความไม่สบายใจ ?
เสิ่นอีเวย เจิ้งอวิ๋นชวน
สองชื่อนี้ สองคนนี้เดิมทีไม่ใช่คนที่เดินเส้นทางเดียวกัน แต่ทำไมถึงเอามาอยู่ด้วยกันในความคิด
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาเซิ่งเจ๋อเฉิงก็อ่อนลง
“ประธานเซิ่ง” เจิ้งโป๋หงได้พูดออกมาก
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้สติกลับมาจากการเปิดปากของเจิ้งโป๋หง
เขาได้เงยหน้าแล้วพูดว่า “อะไรหรือครับ ประธานเจิ้ง”
เจิ้งโป๋หงดูจากสภาพแล้วก็สามารถปรับอารมณ์ตามปกติแล้ว ก็ไม่ได้มีความว้าวุ่นอยู่ในใจ และอีกทั้งเป็นคนที่ผ่านเรื่องราวในแวดวงธุรกิจมามากมาย ถึงแม้ลูกชายจะทำให้ตัวเองนั้นโมโหขนาดไหน แต่ก็สามารถปรับอารมณ์กลับมาได้อย่างรวดเร็ว
การเคารพผู้อาวุโส เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ถือว่ายังมีอยู่
มีเพียงแต่ปัญหาหนึ่งก็คือที่ทำให้เขาคิดถึง
เจิ้งโป๋หงพูดขนาดนี้ ความจริงแล้วก็เป็นรักธุรกิจคนหนึ่ง นักธุรกิจไม่เล่ห์เหลี่ยมทำธุรกิจไม่ได้ ครั้นที่เซิ่งสวินได้เสียชีวิตไป ก็ได้แสร้งโทรหาหลินอวี้ บอกว่าเมื่อจะทราบเรื่อง ณ ตรงนี้ก็เซิ่งเจ๋อเฉิงก็คิดได้แล้วในเรื่องบางอย่าง
เพราะว่าครั้งนี้เป็นการร่วมมือที่สำคัญทางการเงิน เจิ้งโป๋หงอยากจะก้าวนำไปก่อน และอยากจะยกระดับอำนาจของตัวเองสูงขึ้น เลยจงใจที่จะโทรหาหลินอวี้
อีกความหมายหนึ่งคือ ฉันรู้ว่าคุณท่านเซิ่งเสียไป ดังนั้นไม่ควรจะทำแบบนี้ แต่ว่าไม่อยากจะให้เกียรติคนอย่างคุณ ผมอยากให้คุณรู้ว่า บริษัทเจิ้งซื่อเป็นผู้นำทางการเงิน อยากจะควบคุมเซิ่งเจ๋อเฉิง
แต่ว่าคนอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีความคิด ดังนั้นเมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ไมได้ไปสนใจอะไรเจิ้งโป๋หง แต่ไม่ได้มีการกระทำอะไรออกไป เพื่อรอฝ่ายตรงข้ามดำเนินการเพื่อรอดูว่าจะทำอะไร
คำโบราณกล่าวว่า สู้รบสามารถใช้วิธีหลอกลวงศัตรูได้ ในเมื่อเจิ้งโป๋หงไม่ได้ให้ความเคารพแก่ตนเอง ก็ไม่อาจจะไปโทษอะไรกันได้ แต่ใครจะไปรู้ว่า เจิ้งอวิ๋นชวนก็เซิ่งเจ๋อเฉิงจับได้คาหนังคาเขา เรื่องทุกอย่างเหมือนลมมันเปลี่ยนทิศไปอีกทาง เส้นทางอำนาจกลับเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
เพื่อเรื่องราวของลูกตัวเองนั้นทำให้เจิ้งโป๋หงนั้นได้พูดดีดีกับเซิ่งเจ๋อเฉิงดีขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
แต่เมื่อเซิ่งเจ๋อเฉิงตัดสินใจทำแบบนี้ ใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยแปลงอะไร เลยทำให้เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้มีท่าทีที่จะกลัวอะไรเจิ้งโป๋หง
เจิ้งโป๋หงได้มองไปยังเซิ่งเจ๋อเฉิง สายตาที่ค่อนข้างมีอายุ ซึ่งในสายตานั้นไร้ความเป็นนักธุรกิจแต่อย่างใดเลย