บทที่ 264 ยากที่จะกลับคืนไป
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินคำเสียดสีอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หากว่าวันนี้เสิ่นอีเวยไม่ได้รู้สึกถึงความย่ำแย่ทางจิตใจแล้วล่ะก็ เธอก็ต้องมานั่งคิดว่าผู้ชายคนนี้ทำไมถึงผิดปกติ ซึ่งความจริงแล้วเธอก็รู้ว่าวันนี้ที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเขารู้แล้วว่าตัวเองนั้นผิดอย่างไร
แต่ว่า แล้วทำไมล่ะ ? เสิ่นอีเวยในใจก็ยิ้มออกมาอย่างงมีเล่ห์เหลี่ยม
ไม่แน่ว่า เขามีความสำนึกผิดที่พ่อของเขาทำแบบนั้นไป
พอดูอารมณ์ของฝ่ายตรงข้ามที่ค่อย ๆ ลดลง เลยทำให้เสิ่นอีเวยค่อย ๆ ผลักเขาออกไป แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชั้นหวังว่าคุณจะทำตามกับสิ่งที่คุณกล่าวไว้ ไม่คัดค้านชั้น ถึงแม้ว่าเราสองจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ชั้นก็คงไม่กล้ารบกวนท่าน”
ทุกคำที่เต็มไปด้วยคำพูดเสียดสีของเสิ่นอีเวย แต่ในใจเต็มไปด้วยความปวดร้าวเก็บอยู่ในใจ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ได้เพียงแต่อดทน
เซิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้ว สายตาก็เริ่มเย็นชาและขมึงตึงขึ้น
ผู้หญิงคนนี้ เมื่อสักครู่นี้ใช้คำว่า “ท่าน” หรือว่าเธอนั้นอยากจะหาเรื่องกันแน่ล่ะ ?
ความจริงในแต่ละคำนั้น เซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นกลับลืมและพลาดไปว่าทำไมท่าทีวันนี้ของตัวเองนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะว่าบางเรื่อง บางความรู้สึก ซึ่งถูกผู้หญิงคนนี้ที่ได้เจอกันทุกวัน จนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติไปแล้ว
“เซิ่งเจ๋อเฉิง” เสิ่นอีเวยพูดขึ้นมา สายตาที่ถูกเรียกนั้นหันมามองเธอ
เสิ่นอีเวยก็ได้แอบกำชายกระโปรงอย่างแน่น เธอได้บังคับอารมณ์ที่ลำบากที่สุดแล้วพูดว่า “คุณไม่รู้ ? ในคืนงานเลี้ยงตระกูลเซิ่งที่พ่อของคุณนั้นใส่ยาในแก้วเหล้าของพ่อชั้น ซึ่งคงไม่มีอะไรกระทบมากมาย แต่ว่า สิ่งที่ชั้นนั้นสงสัยก็คือ ในนั้นสามารถทำให้สะลึมสะลือได้ แต่สิ่งที่ทำให้พ่อแม่ชั้นไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ก็เพราะยาพิษในนั้นไงล่ะ ”
เสิ่นอีเวยสั่นไปทั้งตัว และสายตาที่มีแต่น้ำตา ทำให้เซิ่งเจ๋อเฉิงกลับตกใจ
“ดังนั้น ชั้นพูดมาถึงตรงนี้แล้ว คุณคงรู้นะว่าหมายถึงอะไร”
พอพูดเสร็จ เสิ่นอีเวยก็เลยถือกระเป๋าเดินออกไป ซึ่งครั้งนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ไม่ได้บังคับเธอ
เธอไม่ได้คิดถึงตรงที่ว่า เมื่อพูดเสร็จหมดแล้ว ในใจกลับมีความสงบและสบายมากขึ้น
ตอนที่มือกำลังจับประตู ก็เหมือนเธอนั้นคิดถึงเรื่องอะไรขึ้นมาได้
เสิ่นอีเวยหันกลับไปถามว่า “ครั้งที่แล้วที่ชั้นออกความเห็นว่าให้สวีอันฉิงออกจากบริษัทเซิ่งซื่อ ทำไมตอนนั้นถึงให้เธอไปล่ะ ? ”
ผู้หญิงคนนี้ก็ได้กลับมาปรากฏอีกครั้ง และยังอยู่ในห้องผู้ป่วยของเสิ่นฮุ่ย ดังนั้นควรจะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
“ตอนนั้นก็ได้ให้คำสั่งออกจากงานไป คุณถามไปทำไม ? ” เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบ
“คุณก็เลยเอาเขาออก คนที่หยิ่งยโสอย่างสวีอันฉิง เธอจะออกแบบเชื่อฟังงั้นหรือ ?” เสิ่นอีเวยพูดเรียบ ๆ แต่มีความสงสัย
เซิ่งเจ๋อเฉิงถอนหายใจตลกแล้วพูดว่า “เธอไม่เชื่อฟังแล้วทำไมล่ะ ? ตอนนั้นผมก็คิดมาตั้งนานแล้วล่ะ ตอนเธอเข้ามาผมก็พยักหน้ารับเข้ามา ตอนจะไล่เขาออกไปก็มีวิธีเช่นกัน”
เสิ่นอีเวยในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับความรู้สึกที่ไม่ชัดเจนอย่างไร เธอรู้ว่าสวีอันฉิงนั้นน่าเกลียดที่สุด ดังนั้นก็จะต้องได้รับบทลงโทษที่หนักหนาเช่นกัน
แต่เมื่อได้ฟังคำที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดเมื่อสักครู่นี้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมยังจะมีความรู้สึกเจ็บอยู่
เป็นเพียงเพราะว่า คนที่ใจหินอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิง สามารถใช้วิธีเหล่านี้ในการทำกับผู้อื่น ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องมีคนทำแบบนี้เช่นกัน
คิดแล้วคิดอีก เสิ่นอีเวยก็เลยตัดสินใจพูดเรื่องห้องผู้ป่วยของเสิ่นฮุ่ย “คืนนั้นชั้นไปห้องผู้ป่วยของเสิ่นฮุ่ย ชั้นรู้สึกว่าสวีอันฉิงจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งและไปยังห้องของเสิ่นฮุ่ย”
ความจริงยังมีคำที่เสิ่นอีเวยจะพูดอีกว่า หากว่าคุณไม่ยุ่งแล้วล่ะ ก็ต้องไปดูเธอหน่อยนะ
เธอคนนั้นก็คือ เสิ่นฮุ่ย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรประโยคที่อยากจะพูดแต่กลับพูดไม่ได้
ไม่ว่าเสิ่นอีเวยและเซิ่งเจ๋อเฉิงจะเกิดอะไรขึ้นมามากมาย แต่ในใจเธอก็ยังคงรักเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ดี
ดังนั้นหากจะให้ผู้ชายที่ตนรักไปแนะนำให้กับคนอื่นนั้น เสิ่นอีเวยทำไม่ได้อย่างแน่นอน
ในความคิดของเสิ่นอีเวยคือ ในเมื่อนำเรื่องราวผู้หมดแล้ว ในลำดับต่อไปจะให้คนไปดูหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขาแล้วล่ะ
เธอจะไม่ยุ่ง เพราะตอนนี้ก็ไม่ได้มีเวลามากมายนัก ซึ่งยังมีเรื่องที่สำคัญจะต้องไปทำ
ตอนที่เธอกำลังจะออกไปเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้พูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็มีเรื่องหนึ่งจะขอเตือนคุณ” เสียงของเขาที่ไม่ได้มีอารมณ์ชัดเจนแต่อย่างใด เสิ่นอีเวยตกใจแล้วหันกลับไป
เซิ่งเจ๋อเฉิงกลับมาอารมณ์เดิมแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าเรื่องของผมและคุณจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น แต่ว่าเรื่องที่ผมพูดเมื่อครั้งก่อน หวังว่าคุณจะไม่ลืม”
เสิ่นอีเวยรู้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดถึงอะไร แต่ว่าเธอนั้นไม่อยากจะไปตัดสินใจและยอมรับมัน
“ความหมายของคุณคือ?” เสิ่นอีเวยถาม
เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ไม่ได้ไปหลงกลอะไรเธอ แล้วพูดว่า “เกี่ยวกับเรื่องที่คุณจะรับการรักษา จะต้องฟังผมเท่านั้น”
เสิ่นอีเวยได้ยินเช่นนี้ก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ ก็ได้เพียงแต่หลบ ๆ ซ่อน ๆ ซึ่งเธอนั้นก็ได้ทำการตัดสินใจแล้วตอบกลับไปว่า “ได้” การยอมรับแบบโกหก ซึ่งพูดไปแล้วเธอก็คงไม่ยอมที่จะฟังเซิ่งเจ๋อเฉิงเสียเท่าไรนัก เสิ่นอีเวยเดินออกไปทำให้ทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยความสงบ
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้รับโทรศัพท์แล้ว พูดว่า “เสิ่นเหยียนชิงถึงแล้ว ?”
หลินอวี้พูดว่า “ไม่ครับ เกิดเรื่องแล้ว โทรศัพท์เขานั้นโทรไม่ติดเลย ผมให้คนไปถึงที่พัก แต่เขากลับย้ายออกไปแล้ว”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเปิดตากว้างแล้วเหมือนจะเข้าใจเรื่องราว แล้วพูดว่า “ดูบัญชีของเขา ดูซิว่าที่ผ่านมามีรายรับอะไรเป็นเงินก้อนใหญ่ไหม ? ”
“รับทราบ”
พอวางโทรศัพท์ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้เดินไปยังหน้าต่าง แล้วสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต