บทที่ 273 เริ่มเตรียมตัว
เสิ่นอีเวยสูดหายใจเข้าลึก ราวกับกำลังเรียกความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง
ในที่สุดเธอก็คลำหยิบโทรศัพท์มือถือข้างเตียงขึ้นมา นิ้วขาวเรียวยาวเลื่อนไปมาบนหน้าจอมือถือ และโทรออกไปที่เลขหมายหนึ่ง
“สวัสดีครับ”
น้ำเสียงตามสายของอีกฝ่ายพูดด้วยความเคารพ “สวัสดีครับ คุณเสิ่น”
“เรื่องที่ฉันสั่ง จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” น้ำเสียงของเสิ่นอีเวยสงบราบเรียบ แต่ก็แสดงออกถึงความฉลาดปราดเปรื่อง
“สอบถามเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้วครับ โรงพยาบาลที่อังกฤษก็ติดต่อเรียบร้อยแล้วเช่นกัน รอเพียงคุณกำหนดเวลาออกเดินทาง ผมจะได้จัดการจองตั๋วเครื่องให้กับคุณ”
คำตอบของปลายสายทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกพอใจมาก ทันใดนั้นก็เกิดคิดอะไรขึ้นมาได้ แววตาของเธอสั่นเทาเล็กน้อย ถามว่า “แล้วเรื่องของสวี่อันฉิงล่ะ คุณจัดการไปถึงไหนแล้ว?”
“ทางเราได้ส่งคนติดตามหล่อนแล้วครับ ทุกเรื่องเกี่ยวกับหล่อนทางเราได้จับตาดูอยู่ทุกอย่าง โปรดวางใจได้”
เสิ่นอีเวยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอพูดกำชับต่อว่า: “ต้องจับตาเธอไว้ให้ดีๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเธอเข้าไปในห้องพักฟื้นของคุณเสิ่นหุ้ยหรือเปล่า ถ้าเข้าไปแล้วเพื่อประโยชน์อะไร ถ้ามีอะไรผิดสังเกต ต้องรีบรายงานฉันโดยเร็วที่สุด”
ตอนพูดถึงประโยคนี้ สีหน้าของเสิ่นอีเวยตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
สีหน้าของปลายสายก็ตึงเครียดเช่นเดียวกัน: “ได้ครับคุณเสิ่น เราจะจัดการเรื่องที่คุณสั่งให้เรียบร้อย”
เสิ่นอีเวยวางสาย แต่ในใจกลับสับสน มีเรื่องมากมายที่เธอต้องลงมือทำเอง ก่อนอื่นเธอต้องบังคับให้เส้นทางความคิดของตัวเองไม่สับสนก่อน วางแผนการดำเนินการทุกอย่าง ทำเสร็จไปทีละเรื่อง จนบรรลุจุดประสงค์ที่เธอตั้งไว้
คนที่อยู่ในสายเมื่อครู่ เป็นนักสืบเอกชนที่เธอเคยจ้างมาก่อน แต่แตกต่างจากเมื่อก่อนคือ- –
ในเวลานั้นเธอจ้างพวกเขาเพื่อสืบหาสาเหตุการตายของพ่อแม่ และตอนนี้เธอรู้เรื่องราวเกือบทั้งหมดแล้ว ดังนั้นเธอจึงติดต่อนักสืบเอกชนอีกครั้ง จ่ายเงินค่าจ้างให้กับพวกเขา เพื่อให้สะกดรอยตามสวี่อันฉิง
ตั้งแต่นี้ต่อไป ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไร ต้องอยู่ในสายตาของเธอตลอด
ในเมื่อสวี่อันฉิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่กลับไม่มาหาเรื่องเธอเหมือนเมื่อก่อน อธิบายได้เพียงอย่างเดียวคือ: สวี่อันฉิงน่าจะกำลังเตรียมการอะไรบางอย่าง อย่างเงียบๆ ดังนั้นจึงยังไม่อยากปรากฏตัวต่อสายตาของสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อยากให้เธอรู้ว่าหล่อนกลับมาแล้ว
เรื่องที่สวี่อันฉิงลาออกไปจากบริษัทเซิ่งซื่อแล้วหล่อนไปไหน เรื่องนี้เสิ่นอีเวยไม่สนใจอีกต่อไป เธอเพียงอยากรู้ว่าตั้งแต่นี้ต่อไปสวี่อันฉิงกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ รอจนกว่าเธอจะแน่ใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของหล่อน เธอถึงจะทำสิ่งสำคัญเรื่องถัดไป
นาทีที่วางสาย เธอก็เจ็บปวดที่หน้าอกอย่างรุนแรง เธอรู้ดีว่านี่เป็นอาการของโรคที่เธอเป็นอยู่ มันเป็นอาการกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว
เธออดกลั้นความเจ็บปวด ลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบขวดยาสีขาวเล็กๆออกมาจากลิ้นชัก เทยาสองเม็ดใส่ปากแล้วคว้าแก้วน้ำแก้วเดิมขึ้นมากระดกตาม
ตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงเอาขวดยาของเธอออกมาจากลิ้นชัก ยาแก้ปวดขวดใหม่ที่เสิ่นอีเวยไปเอามาจากโรงพยาบาล ก็ไม่ได้เก็บไว้ที่เดิม เพราะเธอกลัวว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะให้ความสนใจเรื่องยาที่เธอกินมากขึ้น
แต่สิ่งที่เสิ่นอีเวยไม่คาดคิดคือ เรื่องที่เธอเป็นโรคนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้เรื่องเข้าจนได้
แม้ว่าเรื่องที่เขารู้ว่าเธอเป็นโรคนี้ จะดูตลกและบังเอิญไปสักหน่อย แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอีกต่อไป
โรงพยาบาลที่อังกฤษเธอก็ติดต่อเรียบร้อยแล้ว เธอจะไปรักษาตัวที่นั้น
เสิ่นอีเวยรู้สึกเจ็บแปรบด้วยความทุกข์ขึ้นมาในใจอย่างฉับพลัน จริง ๆแล้วไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่เชื่อในฝีมือของหมอในประเทศ และไม่ใช่เพราะว่าไม่เชื่อใจคุณหมอลู่ แต่เป็นเพราะว่าอยากจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่
ที่จริงแล้ว ตอนที่เคยพูดคุยกับเซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวยไม่ค่อยแน่ใจที่จะเผชิญหน้ากับเซิ่งเจิ้นอวี๋น อยากจะให้เขาออกมาประกาศขอโทษเรื่องนี้ต่อหน้าสังคม และยังอยากให้เขาไปมอบตัวกับตำรวจ แต่ในเวลานั้นเธอคิดมากไป
หลังจากที่คิดวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนมาสองวัน ในที่สุดเสิ่นอีเวยก็ตัดสินใจได้ เธอจะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพ่อแม่ที่ตายไป
ส่วนเซิ่งเจิ้นอวี๋น แม้ว่าเขาจะเป็นพ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิง เธอก็ต้องทำให้เขาได้รับบทเรียนอย่างสาสม
แต่ว่าถ้าร่างกายอ่อนแอเป็นโรคอย่างนี้ ก็คงจะจัดการอะไรไม่ได้เต็มที่ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ต้องทำก่อนเรื่องอื่นทั้งหมดคือ เสิ่นอีเวยตัดสินใจรักษาร่างกายให้หายดีเร็วที่สุด เมื่อสุขภาพร่างกายของเธอแข็งแรงดีแล้ว ถึงจะมีกำลังไปต่อกรกับเซิ่งเจิ้นอวี๋น
หากยังรักษาตัวอยู่ในประเทศ เซิ่งเจ๋อเฉิงจะต้องเข้าไปแทรกแซงอย่างแน่นอน เมื่อครั้งก่อนผู้ชายคนนั้นก็บอกว่าในเรื่องการรักษาเธอจะต้องเชื่อฟังทุกสิ่งที่เขาจัดการไว้ เธอถึงจะอยู่ที่บริษัทเซิ่งซื่อ ออกแบบชุดแต่งงานที่เธอรักต่อไปได้
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า มันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป หากเธอต้องการทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ ก็คงต้องสละความคิดที่จะออกแบบชุดแต่งงานในประเทศบ้านเกิด
แต่ไม่มีทางเลือก เรื่องไหนสำคัญกว่ากัน เสิ่นอีเวยรู้อยู่แก่ใจ
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ตรวจดูพยากรณ์อากาศในอังกฤษในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ในที่สุดเธอก็เลือกวันที่อากาศไม่เลวมากนักตัดสินใจออกเดินทางในวันพุธสัปดาห์หน้า
ถ้าเช่นนั้นก่อนจะถึงวันพุธหน้าไม่กี่วันนี้ เธอจะต้องจัดการเรื่องที่ยังคาราคาซังตอนนี้ให้จบ เธอถึงจะจากไปจากที่นี่ได้อย่างสบายใจ
สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือ งานบริษัทเซิ่งซื่อที่เธอทำค้างไว้ จะต้องทำการส่งมอบงานของเธอให้คนใหม่ทำต่อ
ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น เสิ่นอีเวยจึงนัดพบกับฉินจื่อเฟิงที่ร้านกาแฟเงียบสงบร้านหนึ่ง เขาทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน
“ผู้อำนวยการ คุณบอกว่ากำลังจะไปอังกฤษเหรอ!?” ฉินจื่อเฉิงถามเสียงสูงอย่างไม่คาดฝันมาก่อน
เสิ่นอีเวยยิ้มพร้อมกับพยักหน้า: “ใช่ ที่ฉันนัดพบกับเธอวันนี้ ก็เพื่อบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” ฉินจื่อเฟิงถาม
เสิ่นอีเวยใช้วลาประมาณครึ่งชั่วโมงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเธอให้ฉินจื่อเฟิงฟัง รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยกับเซิ่งเจ๋อเฉิงอีกนิดหน่อย
“เหตุผลที่ฉันให้เธอเข้ามารับช่วงต่อจากฉัน ก็เพราะในบริษัทเซิ่งซื่อฉันไว้ใจเธอมากที่สุด นี่เป็นเหตุผลประการแรก ส่วนเหตุผลประการที่สอง การที่ฉันนำงานที่ฉันรับผิดชอบอยู่ส่งต่อให้เธอก็เพื่อในช่วงที่ฉันไม่อยู่ที่บริษัทเซิ่งซื่อจะต้องมีคนคิดสงสัย เมื่อถึงเวลานั้นฉันหวังว่าเธอจะช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ถ่วงเวลาให้สักหน่อย ยิ่งเซิ่งเจ๋อเฉิงรู้เรื่องนี้ช้าเท่าไรยิ่งดี”
ฉินจื่อเฟิงพยักหน้าอย่างงงงวย เสิ่นอีเวยมองดูสีหน้าที่ลำบากใจของเขา พลางถามว่า: “เป็นอะไรไป?”
ฉินจื่อเฟิงพูดอย่างลำบากใจว่า: “ผู้อำนวยการ ฉันแค่ยังรู้สึกงง ทำไมคุณถึงป่วยได้? ทำไมท่านประธานเซิ่งถึงไม่ดูแลคุณให้ดี? ทำไมปัญหาตั้งมากมายคุณต้องเป็นคนแบกรับไว้คนเดียว …?”
เสิ่นอีเวยมองไปที่สาวน้อยที่พูดเสียงสั่นเครือเหมือนกำลังจะร้องไห้ที่อยู่ตรงหน้า หัวใจก็แทบจะละลายเพราะสงสาร
เธอยิ้มและพูดว่า “ไม่มีชีวิตใครที่ราบรื่นตลอดหรอก สงสัยคงเป็นเพราะชีวิตในวัยเด็กของฉันสบายจนเกิดไป ตอนนี้ก็เลยต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายเพื่อเป็นประสบการณ์ล่ะมั้ง”