บทที่ 292 ฉันสนับสนุนการตัดสินใจของเธอ
แต่ว่ากลับไม่เลย ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่มีสักครั้งเลย ทุกครั้งที่พบเจอกับปัญหาเธอก็ได้เพียงแค่กัดฟันสู้ต่อไป ไปต่อไม่ได้ก็ต้องดิ้นรนไปให้ได้ สิ่งที่ผ่านไปได้ยากที่สุดก็ผ่านมาได้โดยไม่รู้ตัว
เสิ่นอีเวยก็ได้เอนไปข้างหน้าแล้วพูดกับหลินโม่เหยียนว่า “โม่เหยียน สิ่งที่ฉันนั้นสามารถผ่านมาได้ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพราะว่ามีเซิ่งเจ๋อเฉิง”
หลินโม่เหยียนพอฟังถึงตรงนี้ ก็กำลังจะพูดอะไรออกมา แต่กลับถูกเสิ่นอีเวยตัดบทชิงพูดอีกไปว่า
“แต่ สิ่งที่ฉันพูดไปทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพราะรักเซิ่งเจ๋อเฉิง ไม่ใช่ในใจฉันนั้นมีเขา และไม่ใช่รู้ว่าเพราะเหมียนเหมียนน้อยเป็นลูกสาวของเขา ดังนั้นจึงต้องไปพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่อง แต่เป็นเพราะเขานั้นทำให้ชีวิตฉันต้องพบประสบกับสิ่งเหล่านี้ ครั้งนี้ที่กลับไป ไม่ใช่เพื่อชิงบริษัทของแม่ตัวเองกลับมา แต่เพราะว่าจะกลับไปหาพ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงสะสางเรื่องราวทั้งหมด”
เสิ่นอีเวยพูดอะไรหลายอย่างออกมามากมาย หลินโม่เหยียนก็ได้เพียงแต่ฟังแล้วคาดไม่ถึง และพูดว่า “อีเวย เธอ เธอพูดอะไรน่ะ ? บริษัทหัวยู่นเป็นของแม่เธอหรือ ? ”
เสิ่นอีเวยพยักหน้า
ความจริงแล้ว บริษัทหัวยู่นเป็นของแม่เธอ หลินโม่เหยียนก็ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ เพราะว่านอกจากเธอและเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้ว และยังมีหนักงานในบริษัทที่รู้ นอกจากนี้ก็ไม่มีใครรู้
เสิ่นอีเวยค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดแล้วพูดต่อไปว่า “ใช่แล้ว บริษัทหัวยู่นเป็นของแม่ฉัน เป็นบริษัทจัดงานแต่งงานตอนที่แม่เธออยู่ บริษัทความจริงแล้วเป็นของฉัน แต่ตอนแรกที่อยู่กินกับเซิ่งเจ๋อเฉิง เขาก็มีอคติต่อฉัน ก็เลยซื้อบริษัทนี้ไป ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสองเดือน ”
“และบวกกับการที่แม่ฉันนั้นเสียชีวิตไป ทำให้บริษัทนั้นไม่มีเสาหลัก ตอนนั้นฉันก็ยังทำงานอยู่ที่บริษัทเซิ่งซื่อ เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ให้ฉันนั้นไปไหน ดังนั้นฉันก็ไม่สามารถรับรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทได้เลย ในวันหนึ่งบริษัทถูกโจมตีอย่างรุนแรง ซึ่งประจวบเหมาะกับการที่เขาซื้อบริษัทไป ซึ่งเรื่องราวนี้เหมือนกับถูกวางมาอย่างเรียบร้อย”
หลินโม่เหยียนตาโตอย่างตกใจ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนตัวเอง เธอนั้นก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเลยทีเดียว
พอพูดถึงตรงนี้ สายตาของเสิ่นอีเวยก็เหมือนแปลก ๆ ไป เธอนั้นเงียบสักพักหนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า “แต่ว่าตอนที่เซิ่งเจ๋อเฉิงจะซื้อบริษัทไปนั้น มีครั้งหนึ่งที่ผิดใจกันระหว่างสองเรา เขาได้อธิบายกับฉันว่าตอนที่เขาจะซื้อบริษัทนี้ไม่ใช่เพราะจะเป็นการแก้แค้นฉัน แต่เป็นเพราะจะเก็บสิ่งที่หลงเหลือชิ้นสุดท้ายของแม่ฉัน ให้กับฉัน เขาบอกเช่นนั้นก็เพราะว่าอยากให้ฉันนั้นมีความสบายใจอยู่บ้าง”
หลินโม่เหยียนก็เปิดตากว้างเข้าไปอีก ใบหน้าก็เหมือนกับเขียนออกมาว่า “ไม่เชื่อหรอก” สามคำ เซิ่งเจ๋อเฉิงคนนี้พูดจริง ๆ หรือ ? ผู้ชายคนนี้ทำไมเป็นคนดีขนาดนี้ ?
เสิ่นอีเวยก็ไมได้ตอบอะไรมากมายนัก เพราะว่าแม้แต่เธอเองก็ยังไม่มีความมั่นใจ เซิ่งเจ๋อเฉิงที่พูดคำนั้นในเวลานั้น ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ หรืออาจจะเป็นการปลอบใจไปแค่นั้นเอง
หากพูดตามหลักเหตุผลแล้ว คงเป็นเหตุผลที่สองมากกว่าแล้วล่ะ ไม่งั้นล่ะก็ ผู้ชายคนนี้จะเตรียมตัวมาขายบริษัทหัวยู่นทำไม ?
อาศัยตอนที่ตัวเองนั้นไม่อยู่ในประเทศ ดังนั้นก็เลยทำเรื่องที่เลวร้ายเช่นนี้ จริงน่ะสิ เซิ่งเจ๋อเฉิงมีนิสัยของนักธุรกิจ ตัวเธอเองน่าจะรู้อยู่ตั้งนานแล้ว
เสิ่นอีเวยคิดถึงตรงนี้ ก็ยิ้มแสยะออกมา
“โม่เหยียน เธอถามคำถามนี้ ตอนนั้นฉันคงจะตอบคำถามได้บ้างแล้วล่ะ ตอนนั้นที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดแบบนั้นก็เป็นเพราะอยากให้ฉันสบายใจแค่นั้นคง ไม่มีอะไรมากหรอก เพราะว่าตอนที่เขาซื้อบริษัทหัวยู่นจนถึงตอนที่ฉันออกมาได้สี่ปีนี้ อำนาจการบริหารทั้งหมดก็อยู่ที่เขาเป็นคนจัดการ”
ถึงแม้ฉันจะขอให้เขานั้นดูแลบริหารบริษัทหัวยู่น เขาก็ต้องให้ฉันนั้นยอมรับกับเงื่อนไขบางประการ ก็เหมือนกับการแลกเปลี่ยน ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ฉันนั้นรู้สึกลำบากใจ แต่ความจริงแล้ว บริษัทหัวยู่นตอนเริ่มแรกก็น่าจะเป็นของฉันนั่นเอง”
เสิ่นอีเวยพูดอย่างมีเหตุผล หลินโม่เหยียนก็เข้าใจถึงคำพูดของเธอ และได้คิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แล้วก็ได้ตบลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว อีเวย ฉันสนับสนุนเธอ”
เสิ่นอีเวยก็มีสายตาและปากที่เหมือนยิ้มและมีความสุข แต่ก็มีความสงสัยอยู่สีหน้า แต่ก็กลับมีความยืนหยัด “ดังนั้นโม่เหยียน…ฉันก็ไม่อาจที่จะยอมให้สิ่งที่มันเป็นของฉันนั้นไปอยู่ในมือของเซิ่งเจ๋อเฉิงหรอก แต่สิ่งที่ทำให้ฉันนั้นไม่อาจจะอดทนได้ก็คือ เขาจะขายบริษัทหัวยู่น ซิ่งเป็นสิ่งที่แม่ของฉันนั้นสร้างมาด้วยความลำบาก ซึ่งมันไม่ใช่ของขวัญ และไม่ใช่สินค้าที่จะขายก็ขายไป”
เสิ่นอีเวยพูดถึงตรงนี้ก็มีความรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา และยากจะบังคับความรู้สึก และในตอนนี้ ในใจเธอมีความบ้าคลั่งที่ไม่อาจจะหยุดยั้งได้เลย แต่เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงใจเต้นตุบ ๆ
การที่พูดโจมตีเซิ่งเจ๋อเฉิงทำให้เธอนั้นมีความสุขสนุกที่สุด
“แล้วครั้งนี้ที่เธอจะกลับมา จะพาเหมียนเหมียนน้อยกลับไปไหม ?” หลินโม่เหยียนถาม
เสิ่นอีเวยเผยรอยยิ้มออกมา แล้วก็ได้มองไปยังสาวน้อย ที่เต็มไปด้วยความรักว่า “แน่นอนว่าจะต้องพาเธอไป เพราะว่าเธอเป็นคนที่ทำให้ฉันนั้นมั่นใจที่สุดแล้ว”
โม่เหยียนหยักหน้า แสดงถึงท่าทีที่เห็นด้วย
เธอได้ยื่นมือออกอมาจับมือเสิ่นอีเวย “ดี อีเวย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันในฐานะที่เป็นเพื่อนของเธอ ขอสนับสนุนเต็มที่”
เมื่อได้รับการยอมรับจากเพื่อนที่ดีที่สุด เสิ่นอีเวยก็สบายไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
“แต่ว่าฉันขอเตือนเธออย่างหนึ่ง กลับประเทศครั้งนี้ จะไปเจอกับตัวร้ายคนนั้นจะต้องระวังตัวให้มาก ๆ เซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นที่คนเก่งกาจ ทุกครั้งที่แกล้งเธอขึ้นมาก็ไม่อาจจะเหลือพื้นที่ให้ตอบโต้เลย หากอยู่ที่นั่นแล้วเกิดอะไรขึ้น จะต้องโทรหาฉันทันทีนะ”
เสิ่นอีเวยหัวเราะกับคำพูดของหลินโม่เหยียนแล้วพูดว่า “ตอนที่ฉันอยู่ที่จีน แล้วเธออยู่ที่นี่ แล้วเกิดอะไรขึ้น แล้วโทรหาเธอ แล้วเธอจะมาหาฉันทันไหม ?”
หลินโม่เหยียนพูดด้วยคำพูดที่ยืนหยัดว่า “ไม่ว่าฉันจะช่วยเธอได้หรือไม่ ก็ต้องบอกฉัน เพราะว่าฉันคือเพื่อนที่ดีที่สุด เพราะฉันมีความรู้สึก หากฉันไปไม่ได้ ก็จะโทรหาเพื่อนที่อยู่จีนของฉันรีบเร่งไปช่วยเธอให้หมดและให้ไว”