แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 291 เขาจะขายบริษัทหัวยู่น
หลินโม่เหยียนก็ตกใจ แล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ? “
เสิ่นอีเวยมีใบหน้าที่จริงจัง แล้วมือซ้ายก็ได้วางส้อมไว้ข้าง ๆ จาน ซึ่งไม่มีความอยากอาหารอีกแล้ว จึงพูดว่า “เซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังจะขายบริษัทหัวยู่น”
หลินโม่เหยียนตกใจแล้วถามต่อไปว่า “เขาจะขายบริษัท แล้วเธอรู้ได้อย่างไร ? เธอติดต่อกับเขาหรอ ? “
คำถามที่มากมาย แต่เสิ่นอีเวยก็ไมได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนอะไรไป
“ไม่ใช่ เขาไม่ได้ติดต่อหาฉัน แต่ฉันได้ดูข่าวเกี่ยวกับธุรกิจ และก็มีนักข่าวได้ถามถึงเซิ่งเจ๋อเฉิง ซึ่งเขาเองบอกว่าจะขายบริษัทหัวยู่นทิ้ง แต่ว่า ถึงแม้เขาจะไม่ได้ติดต่อหาฉัน แต่เขาก็รู้แล้วไปครึ่งหนึ่งแล้วว่าฉันอยู่ที่อังกฤษ”
หลินโม่เหยียนตกใจอย่างมาก “เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอมาอยู่ที่นี่ ?”
เสิ่นอีเวยได้หรี่ตาลงอีกครั้ง และสายตาที่มีความเย็นชาแล้วพูดว่า “ฉันรู้จักผู้ชายคนนี้ดี สี่ปีที่ผ่านมา เขาอาจจะเกลียดฉันอยู่ตลอดเวลา แต่ในใจฉันนั้นรู้ดียิ่งกว่าใคร เขาเกลียดฉันไม่ใช่เพราะว่าฉันนั้นมีความรักต่อเขา แต่เป็นเพราะว่าฉันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเขาเองนั้นขายหน้า ไม่เพียงแต่คนตระกูลเซิ่ง แต่เป็นในแวดวงธุรกิจด้วย….แต่ก็นะ”
เสิ่นอีเวยก็ได้หรี่สายตาเล็กลงไปกว่านี้อีก และน้ำเสียงก็เพิ่งความเกลียดชังลงไป “แต่ก็นะ ใครใช้ให้เขานั้นจัดการงานอย่างยิ่งใหญ่อลังการล่ะ ? คนในแวดวงธุรกิจก็ได้ไปเข้าร่วมแล้ว และก็เครือญาติที่มากมายมหาศาล ดังนั้นงานแต่งครั้งนั้นคนทั้งเมืองก็เกือบจะรู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น เธอคิดดูนะ ตัวเองมาสู่ขออย่างยิ่งใหญ่ ไม่ได้เหลือคำอะไรใด ๆ ไม่ได้พูดอะไรก็หนีออกมาแล้ว ยังไม่ได้บอกคนอื่นเลย หากพูดตามผู้ชายที่ยโสอย่างเขานั้น เขาจะต้องเกลียดฉัน อย่างไรก็ตามเขาเป็นถึงประธานบริษัท คนในบ้านขายหน้าขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยฉันอย่างแน่นอน”
ข้างหนึ่งฟังเสิ่นอีเวยไป ข้างหนึ่งก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เพราะว่าหลินโม่เหยียนนั้นไม่อยากให้เสิ่นอีเวยนั้นกลับเข้าสู่สภาพที่เลวร้ายเช่นนั้นอีก
หลินโม่เหยียนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดีละ ถึงแม้จะเพราะเรื่องนี้แล้วกลับประเทศ แต่แน่นอนว่าเธอก็ต้องเจอกับเซิ่งเจ๋อเฉิง ฉันพูดไม่ผิดใช่ไหม ถึงตอนนั้น แต่เธอจะสามารถเหมือนกับสี่ปีก่อนได้ไหมล่ะ ที่ถอยออกมาแบบนี้ ?”
คำพูดของหลินโม่เหยียนมีความเสถียรยิ่งนัก ซึ่งไม่ได้มีที่ว่างให้เสิ่นอีเวยตอบโต้กลับเลย
แต่ละคำของอีกฝ่ายเสมือนกับการบังคับเช่นนั้น แต่เสิ่นอีเวยรู้ว่าหลินโม่เหยียนเป็นเพื่อนที่ดีของเธอ ก็เพราะเป็นห่วงเพื่อน ก็เลยไม่ได้เจาะลึกลงไปถึงขีดกำจัด
เธอได้เห็นหลินโม่เหยียน มีที่สายตาที่มีน้ำใส ๆมองมาที่เธอเช่นนั้น เสิ่นอีเวยก็พูดว่า “โม่เหยียน สิ่งที่เธอพูดฉันนั้นเข้าใจทั้งหมด ฉันขอขอบใจที่สองปีที่ผ่านมา ที่มาหาแวะเวียนมาหาฉันบ่อย ๆ เป็นห่วง เป็นเพื่อนยามทุกข์ใจ ฉันรู้สึกทั้งหมเ แต่ครั้งนี้ ฉันไม่มีวิธีอื่นเลย ฉันจะต้องกลับไปประเทศอีกครั้ง เพราะอยากจะไปทำการเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง ”
เสิ่นอีเวยกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความปกติ แต่ในความหมายก็มีความยืนหยัดชัดเจน
หลินโม่เหยียนเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “อีเวย ฉันรู้ว่าบริษัทหัวยู่นนั้นเป็นของเธอ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรไม่ใช่หรอ ? เธอดูเธอตอนนี้สิ ยังป่วยขนาดนี้ สภาพอารมณ์ก็ยังไม่ดี และยิ่ง….”
พอพูดถึงตรงนี้ หลินโม่เหยียนก็ได้อุ้มเหมียนเหมียนน้อยขึ้นมาอุ้ม ทั้งสองมือก็คว้าไปคว้ามา เหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เธอนั้นน่ารัก ไม่ร้องและไม่วุ่นวาย
“และยิ่งตอนนี้เธอมีลูกสาวที่น่ารักเช่นนี้ เธอยินยอมแล้วหรือที่จะพาลูกสาวไปเจอเซิ่งเจ๋อเฉิง แล้วก็ทำให้มันเกิดเรื่องร้าย ๆ แบบเดิม ?”
หลินโม่เหยียนอย่างไรก็ไม่ยอมให้เสิ่นอีเวยกลับประเทศ เพราะว่าตอนที่เสิ่นอีเวยมาอยู่ที่อังกฤษรักษาโรคสองปี ชีวิตผ่านอะไรมาบ้าง เธอนั้นรู้ดีเป็นที่สุด
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนก็คือ หลินโม่เหยียนรู้ว่าเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเธอในอังกฤษ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เธอนั้นเห็นกับตา แต่รู้จากคำพูดของเสิ่นอีเวย สองปีที่ผ่านมาเธอเพิ่งจะได้มีอำนาจในการดูแลบริษัทหนึ่งอยู่
ตอนนั้นเป็นสองปีที่เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ไม่ได้พบกัน เลยได้พูดเรื่องความในใจซึ่งกันและกัน แต่หลินโม่เหยียนก็เพิ่งรู้ในตอนนั้น เสิ่นอีเวยกับการใช้ชีวิตในอังกฤษสองปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
หลินโม่เหยียนก็เลยสงบเงียบลงมา และพูดว่า “แต่ว่าเธอลืมแล้วหรือ ? ตอนที่เธอมาถึงอังกฤษชีวิตเป็นอย่างไร ? เงินทองที่เธอมา หลังจากรักษาร่างกายเสร็จ เงินแม้แต่สลึงเดียวก็ไม่มี เพราะว่าผลของการเป็นโรค ทำให้การเกิดของเหมียนเหมียนน้อยก็เป็นสิ่งที่ทำความผิดครั้งใหญ่”
“เด็กน้อยหลังจากเกิดแล้วก็ใช้ชีวิตอย่างลำบาก เธออยู่ต่างบ้านต่างเมือง เริ่มก็การงานก็ยากที่จะหา ดังนั้นจึงเริ่มจากเงินเดือนน้อย ๆ ก่อน คนเดียวเหนื่อยไม่พอ ยังลำบากไปถึงลูกอีก ฉันก็ยังคิดอยู่ว่า เธอคนนี้ในใจมีความเข้มแข็งขนาดไหน ไม่คิดเลยว่าจะเลี้ยงลูกโตเป็นคนดีแบบไหน และจะสามารถเลี้ยงดูลูกได้ดี”
หลินโม่เหยียนได้เล่าและพูดถึงความลำบากตอนที่อยู่อังกฤษ และเสิ่นอีเวยที่กำลังฟังอยู่ก็มีน้ำตาออกมา แต่ความจริงเรื่องราวพวกนั้น เธอไม่ได้ลืมเสียหมด แต่เป็นเพราะไม่อยากจะไปคิดถึงมัน เพราะความจริงแล้ว ลำบากมากเหลือเกิน
ในระยะทางที่ผ่านมา บางครั้งทำให้เธอนั้นรู้สึกจะเดินต่อไปไม่ไหว แบกต่อไปไม่ได้
ผู้หญิงคนหนึ่งที่โดดเดี่ยว และยังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก ๆ อีกหนึ่งชีวิต กับเงินเดือนที่น้อยมาก ๆ ในการผ่านชีวิตไปแต่ละวัน และหนำซ้ำยังไม่ใช่บ้านเกิดตัวเอง
ชีวิตแบบนี้อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ผู้ชายก็พูดยาก ที่จะทำเหมือนเสิ่นอีเวยได้
แต่ เธอก็ไม่มีทางเลือก เพราะคนที่เลือกจะออกไปจากเซิ่งเจ๋อเฉิงก็คือเธอเอง ดังนั้นต้องดิ้นรนสู้ต่อไป ถึงแม้เธอกับเหมียนเหมียนน้อยจะพบเจอกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่หรือลำบากแค่ไหนก็ตาม เธอก็ไม่เคยเรียกร้องหาเซิ่งเจ๋อเฉิงแม้แต่สักครั้งเดียว
เบอร์โทรของเซิ่งเจ๋อเฉิง เธอนั้นจำได้อย่างแม่นยำในหัวสมองของเธอ ดังนั้นหากเธอต้องการจริง ๆ ก็สามารถโทรหาได้ในทันที
เสิน่อีเวยรู้จักเซิ่งเจ๋อเฉิงดี ถึงแม้จะเกลียดตัวเอง แต่ตอนที่เธอจะออกมาจากชีวิตปั้น เธอก็ได้รับรู้ถึงการกระทำต่อเธอที่เปลี่ยนไปของเซิ่งเจ๋อเฉิง
ดังนั้นเสิ่นอีเวยก็สามารถชัดเจนว่า เพียงเปิดปากขอร้องผู้ชายคนนี้ ถึงแม้จะไม่เห็นแก่เธอ ก็ต้องเห็นแก่ลูกสาว แน่นอนว่าจะต้องช่วยให้ผ่านไปได้