บทที่ 337 ความอบอุ่นมาแบบไม่ทันตั้งตัว
เสิ่นอีเวยถึงแม้ว่าอยากจะคิดหาวิธีที่ในการหลบหนีไปมากขนาดนี้ แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้เวล่ำเวลา ในชีวิตของคนเรา หรือจะพูดง่ายๆคือขาทั้งสองข้างของเธอนั้น จะยังไงแล้วแต่ต้องพยายามใช้วิธีการที่โอนอ่อนลงบ้าง
ในเวลานี้เธอไม่ควรจะที่ต่อล้อต่อเถียงเพื่อชัยชนะ แต่เพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยจากอันตรายที่กำลังเข้ามาหาตัว
เมื่อคิดถึงความสำคัญเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เสิ่นอีเวยถึงกลับคำอย่างรวดเร็ว: “ได้! คุณก็แค่อยากให้ฉันขึ้นรถคุณแค่นั้นไม่ใช่หรอ? ได้ ฉันขึ้น แค่นี้ก็จบแล้วใช่ป่ะ? อีกอย่างหนึ่ง ขาทั้งสองข้างของฉันสวยเรียวขนาดนี้เก็บเอาไว้น่าจะมีประโยชน์มากกว่า! ตัดมันทิ้งไปช่างน่าเสียดายไม่ใช่หรอ?”
เสิ่นอีเวยแค่อยากจะพูดสองประโยคที่อยู่ด้านหน้านั่นแหละ แต่อยากจะกระแทกแดกดันเซิ่งเจ๋อเฉิงสักนิดให้แสบไปถึงทรวง ดังนั้นคำพูดสองประโยคหลังนั่นก็พูดเออออไปตามน้ำเท่านั้นแหละ
ที่เธอบอกว่าขาของเธอยังมีประโยชน์มากนั้นแค่อยากจะบอกว่าจะเก็บขาตัวเองเอาไว้เดินเท่านั้นเอง แต่เธอไม่สามารถจับความรู้สึกได้ว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอเอาแต่เงียบไปสักพัก เขาแปลความหมายของสองประโยคหลังนั่นผิดเพี้ยนไปแล้ว
ตอนที่เสิ่นอีเวยกำลังพูดสองประโยคหลังนั่น สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็หมองคล้ำผิดหูผิดตา แต่เขากลับไม่รู้ตัวจนมันทำให้อารมณ์ของเขาไม่ดีเท่าไหร่นัก ยิ่งเขาคิดตามคำพูดของเสิ่นอีเวยที่สื่อออกมั่นมันกลับเกิดเรื่องราวขึ้นเป็นฉากๆในสมองของเขาแทน
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดก็ตาม ขาขาวละเอียดเรียวยาวทั้งสองข้างของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เคยกระหวัดรัดเกี่ยวเอวของเขาเอาไว้
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่คิดมาจนถึงเรื่องนี้นั้นกลับรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองนั้นหายใจติดๆขัดๆ กลับกระตุ้นความรู้สึกที่รุนแรงที่ซ่อนอยู่ในร่างกายขึ้นมาจนเขารู้สึกว่ามันยากแก่การควบคุมได้แล้ว
เซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มเกิดอาการอารมณ์เสียขึ้นมาทันที เขาใช้สายตาดุดันหันไปมองลูกน้องที่อยู่ด้านหลังแล้วออกคำสั่งทันที : “เดี๋ยวฉันขับรถเอง คนอื่นไปนั่งรถลีมูซีนกันให้หมด”
หลินอวี้ฟังจากสิ่งที่เจ้านายเขาพูดออกมาจนจบถึงกับตกใจอึ้งไปสักพัก จากนั้นเขาและเหล่าบอดี้การ์ดก็ทยอยเดินขึ้นที่จอดอยู่ด้านหลัง เจ้านายของเขาพูดเองว่าทุกคนยังไงก็รวมเขาด้วย แถมเมื่อครู่เห็นสถานการณ์ฟาดฟันกันดุเดือดปานเชือดเฉือนกันอยู่ตรงหน้าเขา เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่นั้นกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น
หลินอวี้นั่งอยู่ในรถพลางคิดตามไปด้วย การที่เขาอยู่ข้างกายเซิ่งเจ๋อเฉิงมานาน เรื่องพวกนี้ตัวเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น
ทุกคนที่อยู่กับเขาเมื่อครู่ต่างก็ขึ้นรถกันหมดแล้ว
เสิ่นอีเวยที่กำลังยังมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ อยู่ดีๆเซิ่งเจ๋อเฉิงก็อุ้มเธอท่าเจ้าหญิงขึ้นมา เขาช่างมีพละกำลังมากจริงๆ มือหนึ่งก็รั้งเอวบางของเธอไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็สอดบริเวณใต้ขาหนีบของเธอ
การที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพับแขนเสื้อของเขาขึ้นมานั้น ช่วงเวลาอุ้มเสิ่นอีเวยขึ้นมาส่วนขาของเธอก็สัมผัสความร้อนจากแขนของผู้ชายคนนี้อย่างจัง ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากสภาพอากาศที่แดดแรงจ้าจนร้อนระอุหรือเปล่าถึงทำให้ใจเขาร้อนรุ่มเลือดในกายฉีดพล่าน
เสิ่นอีเวยสัมผัสความร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวหนังของเซิ่งเจ๋อเฉิงออกมาเป็นระยะๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดกันตอนที่รับรู้อุณหภูมิแบบนี้ได้ เธอถึงกับมีความรู้สึกร้อนผ่าวจนใบหน้าร้อนจนแดงระเรื่ออย่างบังคับไม่ได้
เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจร้องเสียงหลงแต่ก็ไม่สามารถหยุดการกระทำของเขาไว้ได้
ไม่รู้ว่าใครมาเปิดประตูรถ Bugatti Veyronเอาไว้ตอนไหนกัน ระยะประตูช่างพอเหมาะพอดีซะเหลือเกิน แถมช่างบังเอิญกับช่วงที่เซิ่งเจ๋อเฉิงวางเสิ่นอีเวยลงบนเบาะด้านหลังแล้วนั้น บริเวณเบาะด้านหลังนั้นค่อนข้างกว้างมากแถมร่างกายของเสิ่นอีเวยก็ผอมเพรียว เพราะฉะนั้นการที่วางเธอลงไปบนเบาะแล้วอีกทั้งยังมีที่เหลือว่างไว้อีกเยอะ
การแต่งกายของเสิ่นอีเวยในวันนี้คือ เธอสวมกระโปรงที่ไม่ได้สั้นมากหรือยาวมากเกินไป ในเวลานี้เธอถูกเขาวางลงบนเบาะจนกลัวว่ากระโปรงที่ใส่มาในวันนี้จะทำให้เธอโป๊ เลยพยายามรีบลุกขึ้นมานั่งบนเบาะอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เธอคาดไม่ถึงก็คือ เซิ่งเจ๋อเฉิงเขายื่นมือออกไปปิดประตูรถ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ตรึงเธอ
เสิ่นอีเวยเหลือบตามองลงด้านล่างก็เห็นว่าร่างกายท่อนร่างของตัวเองนั้น ท่านอนดูไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าที่ควร เธอคิดจะขยับตัวออกมา แต่ว่ามือที่มีพละกำลังราวกับตะปูของเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้น ตรึงเธอไว้แน่นจนไม่มีแรงที่จะสามารถขยับเขยื้อนได้เลย
เพราะฉะนั้นการที่เธอพยายามจะสู้กับเขานั้นมันก็เหมือนไร้ประโยชน์อยู่ดี
เซิ่งเจ๋อเฉิงนั่งอยู่เบาะหลังข้างๆเสิ่นอีเวย เขานิ่งอยู่สักพักแต่ไม่พูดอะไรออกมา แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรศัพท์หาใครก็ไม่ทราบได้
ห้าวินาทีต่อมา โทรศัพท์ของหลินอวี้ที่นั่งอยู่ในรถลีมูซีนด้านหลังรถของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ดังขึ้น : “ฮัลโหลครับ ท่านประธานเซิ่ง”
เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้น้ำเสียงนิ่งๆพูดตอบกลับไปยังปลายสาย : “พวกคุณกลับไปก่อน”
หลินอวี้ก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว: “ครับท่าน”
หลังจากที่เซิ่งเจ๋อเฉิงสั่งการเรียบร้อย เขาก็ตัดสายทิ้งทันที มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ก็โยนโทรศัพท์ลงไปยังที่ว่างบนเบาะที่นั่ง
เสิ่นอีเวยที่ร่างกายกำลังเอนอยู่แถมถูกเขา “คุกคาม”อยู่ถึงกับตาเบิกกว้างกับเรื่องที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้า ผู้ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? เขาไม่พูดอะไรสักคำก็ลากเธอขึ้นมาบนรถแถมยังให้ลูกน้องที่อยู่ในรถด้านหลังอีกคันมุ่งหน้ากลับไปก่อนอีกหรอ?
ยังไงกันล่ะ จะจัดการฆ่าเธอที่นี่หรอ? ในใจของเสิ่นอีเวยกำลังคิดเตลิดเปิดเปิงไป
ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาเป็นลูกน้องของเซิ่งเจ๋อเฉิงเพราะพวกเขาทำอะไรมักจะรวดเร็วเสมอ หลังจากที่เซิ่งเจ๋อเฉิงตัดสายไปไม่ถึงสิบนาที เสียงเครื่องยนต์รถลีมูซีนด้านหลังก็ดังขึ้นผ่านด้านข้างของพวกเขาแล้วขับผ่านไป
วินาทีต่อมา ข้อเท้าเรียวยาวทั้งสองข้างของตัวเองกลับถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงใช้สองมือของเขาตรึง–ข้อเท้าหล่อนเอาไว้
ถึงอย่างไรพวกเขาทั้งสองก็เคยใช้ชีวิตร่วมกันมาตั้งหลายปี ฉะนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงย่อมรู้ดีว่าในเรือนร่างเธอนอกจากบริเวณหูที่อ่อนไหวง่ายแล้ว ตำแหน่งที่อ่อนไหวมากที่สุดคือข้อเท้า ที่แท้ – อีตานี่ตั้งใจทำนะสิ!
ในใจเสิ่นอีเวยสรุปความหมายได้แบบนี้ ส่วนเท้าของเธอก็พยายามใช้แรงถีบเซิ่งเจ๋อเฉิงออก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนที่มีพละกำลังมหาศาล แถมเขายังตรึงขาทั้งสองข้างของเธอไว้อีก มันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ทำแบบนั้น เสิ่นอีเวยถึงกับเสียอารมณ์เอามาก
ในตอนนี้เอง เขาเริ่มใช้แรงโดยการเอามือทั้งสองข้างของเขาดึงเอวบางร่างน้อยของเสิ่นอีเวยลากเข้ามาในอ้อมกอดของเขา
จากการมองในแบบของเธอ การกระทำของผู้ชายคนนี้ค่อนข้างแผ่วเบาเหมือนไม่ได้ใช้แรงอะไรมากนัก แต่ร่างกายของเธอก็ช่างเบาบางจนถูกเขาลากเข้ามาโดยง่าย
เสิ่นอีเวยนิ่งเงียบอยู่สักพัก เรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้ไม่อยากจะเชื่อ
ร่างกายที่สัมผัสกันไปมาอยู่ตลอด ทำให้ท่อนบนของเสิ่นอีเวยถึงกับเกร็งขึ้นมา ดูจากสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้แล้วเธอกำลังจะตกจากเบาะที่นั่งลงไปด้านล่าง แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงตาไวมือไวรีบจับเธอเอาไว้ได้ก่อน ในเวลานั้นเอง เสิ่นอีเวยเดิมเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้วถึงกับเกี่ยวกระหวัดรัดต้นคอของเซิ่งเจ๋อเฉิงเอาไว้ทันที
การสัมผัสแตะเนื้อต้องตัวกันในเวลานั้นทำให้ทั้งคู่ถึงกับอึ้งกันไปสักพัก ผ่านไปสักพักเสิ่นอีเวยถึงได้รู้ตัวว่าการกระทำของตัวเธอเมื่อครู่นั้นเป็นการกระทำที่ไม่ควรเอามาก
การกระหวัดเกี่ยวรัดต้นคอของเขาที่เสิ่นอีเวยแสดงออกมาภายใต้จิตสำนึกของเธอนั้นกลับทำให้เซิ่งเจ๋อเฉิงถึงกับยิ้มที่มุมปากอย่างถูกอกถูกใจ นี่ไม่ใช่