บทที่ 349 ความวุ่นวายของคฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดหล่อนอย่างชัดเจนแล้ว สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ดำคล้ำลงไป แล้วถามว่า: “เธอพูดว่าอะไรนะ พูดอีกทีสิ”
เสิ่นอีเวยเองก็อยากจะย้ำคำด่าที่ตัวเองเพิ่งด่าเขาไปเมื่อครู่ ตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงเล็กๆดังมาจากประตู : “หม่ามี๊ของหนูพูดว่า คุณมันสารเลว”
เสิ่นอีเวย “…….”
เซิ่งเจ๋อเฉิง “…….”
หลินอวี้ “…….”
ผู้ใหญ่สามคนต่างตะลึงงันกันไปหมด เซิ่งเจ๋อเฉิงพอได้ยินแล้วก็ค่อยๆหันกลับไปมองเห็นสองคนที่ยืนอยู่ที่ประตู หลินอวี้กับเด็กน้อยคนหนึ่ง
เด็กน้อยเป็นเด็กผู้หญิง รูปร่างเล็กจริงๆ ศีรษะน่าจะสูงประมาณกลางน่องของหลินอวี้
เสิ่นอีเวยที่นอนตะแคงข้างอยู่บนโซฟากับเซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ข้างๆ เธอนอนมองเห็นหลินอวี้กับเหมียน
เหมียนพอดี หล่อนดีใจมาก ในดวงตาเหมือนมีแสงสว่างวาบฉายออกมา: “เหมียนเหมียน”
เหมือนกับมีเวทมนตร์อะไรบางอย่างวินาทีที่หล่อนเห็นเหมียนเหมียน เสิ่นอีเวยก็รู้สึกว่าพละกำลังของหล่อนกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
เหมียนเหมียนที่ยืนอยู่ตรงประตูได้ยินเสียงแม่กำลังเรียกตนเอง ปากเล็กๆแย้มออก เผยให้เห็นรอยยิ้มอันสดใส ขาเล็กสั้นก้าวไปข้างหน้าก็พุ่งตัวไปทิศทางที่เสิ่นอีเวยอยู่ เสิ่นอีเวยที่อยู่บนโซฟาเองก็กุลีกุจอรีบลุกขึ้นมาเพื่อรอรับลูกสาวของตน
แต่เสิ่นอีเวยกับเหมียนเหมียนลืมไปว่า ระหว่างพวกเธอสองคนนั้นมีเซิ่งเจ๋อเฉิงคั่นกลางอยู่
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ตอนที่เหมียนเหมียนวิ่งมาที่ข้างโซฟา เด็กน้อยก็ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่เงียบๆอยู่ตรงนั้นคว้าตัวไป
“ปล่อยหนูเดี๋ยวนี้” เหมียนเหมียนพยายามเรียกร้อง มือเล็กๆพยายามยื่นไปหาเสิ่นอีเวย “หนูจะหาหม่ามี๊ ไอ้คนชั่วปล่อยหนูเดี๋ยวนี้นะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่เข้าใจอารมณ์ของเด็กน้อย และเขาก็ไม่คิดที่จะเข้าใจด้วย ในเมื่อนี่คือลูกสาวของเขา แต่เพราะเขาไม่เคยได้ใกล้ชิดกับลูกมาก่อน ดังนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงจึงทำอะไรไม่ถูก
ดวงตาดำขลับจ้องมองไปยังเด็กผู้หญิงที่เขารวบไว้ในมือ ใบหน้าของเด็กน้อยอ้วนกลม ตอนนี้ถูกเขาขัดขวางไว้ก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เซิ่งเจ๋อเฉิงถาอย่างนิ่งๆว่า : “ประโยคเมื่อกี้นี้ ใครสอนให้เธอพูด”
เหมียนเหมียนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบตามความจริงว่า:”ไม่มีใครสอนหนู หนูว่าหูคุณอาเนี่ยท่าทางจะไม่ค่อยดี ได้ยินที่หม่ามี๊พูดไม่ชัด ดังนั้นหนูก็เลยใจดีพูดซ้ำให้ฟังอีกรอบ ทำไมเหรอ มีปัญหาอะไรหรอคะ”
หลังจากพูดจบ เหมียนเหมียนยังหันไปทำตาปริบๆใส่เซิ่งเจ๋อเฉิง ปากจู๋ ทำท่าทางใส่ซื่อไร้เดียงสา
เซิ่งเจ๋อเฉิงเจอประโยคนี้ถึงกับจุก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีไปพักใหญ่ เหมียนเหมียนมองดูคนตรงหน้าดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ตอบคำถามของตัวเอง แล้วยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนละสายตาไปมองเสิ่นอีเวยที่นอนอยู่บนโซฟา เอ่ยปากถามว่า: “หม่ามี๊คะ หรือว่าหนูทำอะไรผิดไปคะ”
เสิ่นอีเวยลุกขึ้นมานั่ง ในใจเงียบสงบกลับรู้สึกอยากหัวเราะออกมา เพราะเซิ่งเจ๋อเฉิงถูกต้อนจนจนมุม หล่อนดูพวกเขาอย่างสนุกมาก
ตอนนี้เสิ่นอีเวยรู้สึกทั้งตัวอบอุ่นอาการดีขึ้นแล้ว แน่นอนว่ามีอารมณ์อยากเล่นกับเหมียนเหมียนแล้ว ดังนั้นจึงกระแอมออกมาให้โล่งคอก่อนพูดว่า: “หนูไม่ได้มีปัญหาอะไร เหมียนเหมียนทำได้ดีมากเลยลูก”
ได้ฟังประโยคนี้ ใบหน้าของเด็กน้อยมีรอยยิ้มดีใจ ยังหันไปทำหน้าทะเล้นใส่เซิ่งเจ๋อเฉิงอีกด้วย
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเริงร่าของเสิ่นอีเวย ก็ได้รับคำเตือนจากสายตาเย็นเยือกประดุจน้ำแข็งของเซิ่งเจ๋อเฉิง
แต่โชคดีที่ตอนนี้หล่อนไม่กลัวเขาแล้ว ดังนั้นจึงกลอกตาใส่เขา
แน่นอนว่าเสิ่นอีเวยต้องการรับเหมียนเหมียนมาจากมือเซิ่งเจ๋อเฉิงแต่หล่อนคิดไม่ถึงว่าเขาจะพา
เหมียนเหมียนหนีไปจากหล่อน
“คุณจะทำอะไร” เสิ่นอีเวยตะโกนมาจากด้านหลัง
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่สนใจ เดินไปที่ประตูแล้วส่งเหมียนเหมียนให้หลินอวี้ แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นว่า: ” พาเธอออกไปเล่นสักพักก่อน”
หลินอวี้ตอบรับคำสั่งจากเขา : “ครับ” พูดจบก็รับเด็กน้อยมาจากมือของเซิ่งเจ๋อเฉิงทันที
การที่เขาทำแบบนี้ เสิ่นอีเวยกับเหมียนเหมียนก็ต่างขัดขืนขึ้นมา : “ปล่อยหนูลงนะ หนูจะไปหาหม่ามี๊ หม่ามี๊!”
เสียงของเหมียนเหมียนทั้งสูงทั้งแหลม เหมือนกำลังบาดอยู่ข้างหูหลินอวี้ เขารู้สึกว่าหูของเขาใกล้หนวกแล้ว ขาเล็กสั้นนั้นก็ดิ้นไม่หยุด เพราะเมื่อกี้ไปเดินในโกดังเก่ามาทำให้พื้นรองเท้านั้นเต็มไปด้วยฝุ่น
เท้าเล็กๆถีบไปบนเสื้อคลุมสูทสีดำของหลินอวี้ ฝุ่นผงนั้นก็เลอะเต็มไปหมด แต่นี่เป็นคำสั่งของเจ้านายเขาให้พาคุณหนูออกไป
เขาจะทำอะไรได้ เขาเองก็ไร้ซึ่งความหวัง
เสียงโวยวายของเหมียนเหมียนค่อยๆดังห่างออกไป ประตูก็ถูกหลินฉวี้ปิดลง ห้องรับแขกกลับเข้าสู่ความเงียบงัน
เสิ่นอีเวยลุกขึ้นมา ชุดกระโปรงที่สวมอยู่นั้นยังไม่แห้ง ยังคงมีน้ำหยดลงมา แต่หล่อนไม่สนใจแล้ว ดวงตาจับจ้องอยู่ที่เซิ่งเจ๋อเฉิง: “คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง คุณพาเหมียนเหมียนออกไปทำไม”
เสิ่นอีเวยหายใจรัวเร็ว ดวงตาเบิกโพลง หล่อนกำลังโกรธมาก
เซิ่งเจ๋อเฉิงสบตาหล่อน สีหน้ายังคงเรียบเฉย เขาขยับเข้าใกล้มาอีกก้าวแล้วถามว่า: “เสิ่นอีเวย แฟนเก่าคุณนอกใจไปหาผู้หญิงอื่น แล้วยังจับลูกสาวคุณไปเป็นตัวประกัน คิดจะรีดเงินจากคุณ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณดูจะไม่โกรธอะไรเลยนะ ทำไมตอนนี้คุณกลายเป็นคนไม่มีหัวจิตหัวใจแบบนี้ห๊ะ”
เสิ่นอีเวยได้ฟังคำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิง ในใจหนาวเหน็บ หล่อนหัวเราะเยาะออกมา แล้วพูดว่า: “เซิ่งเจ๋อเฉิง ถ้าฉันบอกคุณว่า ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ ฉันไม่ได้โกรธเกลียดอะไรสวี่เส้าเหิงเลย ทั้งยังเคยคิดที่จะรับคำขอแต่งงานของเขาด้วย คุณจะว่ายังไง”
คำพูดของหล่อนทำให้เซิ่งเจ๋อเฉิงอึ้งไปเล็กน้อย แต่กลับเงียบไม่โต้ตอบอะไร
ปฏิกิริยาที่ไร้เสียงนี้ จริงๆก็ไม่ผิดจากที่หล่อนคาดไว้ แต่หล่อนก็ไม่คิดที่จะเอาคำตอบ เพราะเรื่องเหล่านั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
หล่อนหัวเราะออกมาแล้วพูดต่อไปว่า: “ครั้งแรกที่ฉันกับสวี่เส้าเหิงพบกัน ก็บังเอิญได้พบกับคุในครั้งนั้นพอดี พวกเราสองคนก็สนิทสนมกันมากในระดับหนึ่ง ประมาณสองเดือนพวกเราก็ตัดสินใจคบหากัน คบกันมาประมาณครึ่งปีหลังจากนั้นเขาก็ขอฉันแต่งงาน พูดตรงๆฉันก็ประทับใจมาก เกือบจะตอบตกลงไปแล้ว คุณรู้มั้ยเพราะอะไร”
ดวงตาดำขลับของเซิ่งเจ๋อเฉิง สายตาที่เยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง สบตากับเสิ่นอีเวยอยู่แบบนี้
เสิ่นอีเวยก็พูดต่อไปอีกว่า : “คุณเองก็น่าจะรู้ว่าเหมียนเหมียนเป็นนักแสดงเด็กที่ทุกบ้าน ทุกคนรู้จัก ครั้งหนึ่งตอนที่เธอกำลังถ่ายโฆษณาอยู่ เกิดมีปากเสียงทะเลาะกับเด็กคนอื่น อีกฝ่ายผลักเธอ เธอจึงตอบโต้กลับ แต่ต่อมาครอบครัวของนักแสดงเด็กคนนั้นค่อนข้างมีอิทธิพลจึงให้คนกลุ่มหนึ่งมากลั่นแกล้งเหมียน
เหมียนให้ตกใจกลัว ดีที่ไม่บาดเจ็บอะไรแต่กลับตกใจมาก นั่นก็คือเหตุผลที่ทะเลาะกับพวกเขา”