บทที่ 351 นอกจากผมยังมีใครเคยเห็น
ใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ ในสายตาของเสิ่นอีเวยเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน:“ผมเพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่ ตั้งแต่วันนี้ผมจะไม่วุ่นวายกับคุณเรื่องนี้อีก เพราะไม่มีความหมายอะไรแล้ว ถึงอย่างไรมันก็คือความจริง คุณปกปิดไปก็ไม่มีประโยชน์”
เสิ่นอีเวย:“……หน้าไม่อายจริงๆ”
เธอก้มลงบ่น แต่ยังโดนเซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยิน
ดวงตาของผู้ชายสั่นไหว เขาถามเสียงแข็ง:“เมื่อสักครู่คุณพูดว่าอะไรนะ? ลองพูดอีกที?”
เสิ่นอีเวยเลิกคิ้วขึ้น ถามอย่างไม่รู้สึกผิด:“คุณไม่ใช่คนฉลาดหรือไง ?คุณเดาสิ!”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่สนใจคำพูดกวนประสาทของเธอ กลับเข้าใกล้ยิ่งขึ้น:“เสิ่นอีเวย คุณฟังถูกต้องแล้ว ตั้งแต่วันนี้ คุณและผมจะช่วยกันดูแลเหมียนเหมียนน้อย และอีกอย่างคุณยังต้องย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ เอาลูกของผมให้คุณดูแลคนเดียว ผมไม่ไว้ใจ”
เสิ่นอีเวยฟังประโยคนั้นของเขา เธอตกใจตาโต ผู้ชายคนนี้!เขามีสิทธิอะไรมาพูดประโยคนี้ได้เต็มปากเต็มคำ? หน้าไม่อายที่สุด! เสิ่นอีเวยคิดในใจ
สมองของเธอทำงานอย่างรวดเร็ว พยายามคิดหาคำตอบสวยหรูมาปิดปากเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่เมื่อเธอเตรียมคำพูดเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนกลับได้ยินเสียงร่าเริงออกมาจากประตู
“ม่ามี้!”
เสิ่นอีเวยได้ยิน ก็รู้ว่าเป็นเหมียนเหมียนน้อย ส่วนเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้ยินเหมือนกัน แต่เหมือนว่าเธอจะกลัวเซิ่งเจ๋อเฉิงเดินไปหาเหมียนเหมียนน้อยก่อนตนเอง ดังนั้นสัญชาตญาณของเสิ่นอีเวยจึงสั่งให้ขวางทางเซิ่งเจ๋อเฉิงเอาไว้ แต่วิธีการที่เธอเลือก กลับเป็นการคว้าเนคไทที่ลำคอของเซิ่งเจ๋อเฉิงและดึงเข้ามาจับไว้แน่น
แรกเริ่มเดิมทีทั้งสองคนยืนอยู่ใกล้โซฟา แถมระยะห่างยังอยู่ใกล้กันมาก เดิมทีความสนใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงทั้งหมดไปอยู่ที่เหมียนเหมียนน้อย แต่ตอนนี้เขาถูกเสิ่นอีเวยดึงไว้เช่นนี้ ร่างกายจึงพุ่งเข้าหาผู้หญิงตรงหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว
เซิ่งเจ๋อเฉิงสูง 195 เซนติเมตร เมื่อร่างกายของตนเองโดนกดทับลงไป เสิ่นอีเวยจึงไร้เรี่ยวแรงต้านทานใดๆ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักเซิ่งเจ๋อเฉิงออก แต่มันก็สายเกินไป
เสิ่นอีเวยล้มลงบนโซฟา และเซิ่งเจ๋อเฉิง……ก็ล้มทับอยู่บนร่างกายของเธอ
อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าภูเขาไท่ชานกดอยู่บนศีรษะ?ตอนนี้เสิ่นอีเวยรู้สึกได้แล้ว น้ำหนักทั้งหมดของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่บนตัวเธอ ทำให้เธอหายใจแทบไม่ออก
“ออกไป” เสิ่นอีเวยกัดฟันพูดอย่างโกรธเคือง แต่ก็พยายามควบคุมระดับเสียงของตนเอง อย่างไรเสีย ที่ประตูยังคงมีเด็กอายุเพียงสี่ขวบยืนอยู่
แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ยอมปล่อยเธอไป รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนริมฝีปากของเขา พร้อมกับน้ำเสียงมีเสน่ห์ทำให้คนเคลิบเคลิ้ม เขาพูดว่า:“คุณคิดถึงผมขนาดนี้เลยหรอ ?อยากอยู่ใกล้ผมขนาดนี้เลยหรอ?”
เมื่อสักครู่ตอนที่เสิ่นอีเวยดึงเนคไทของตนเอง เซิ่งเจ๋อเฉิงสามารถมองออกว่า เธอต้องการขวางไม่ให้ตนเองเข้าใกล้เหมียนเหมียนน้อย ดังนั้นจึงทำแบบนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงทำให้ผู้หญิงคนนี้รู้ว่า อะไรที่เรียกว่าอุบายที่แท้จริง
เสิ่นอีเวยได้ฟังคำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิง ในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะโกรธเขาอย่างไรดี เธอไม่ต้องการต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีกต่อไป เธอจึงพยายามยกขาขึ้นเพื่อถีบเขาออกไป แต่เธอก็ต้องหงุดหงิด ทำไมไม่ว่าครั้งไหนตนเองก็เคลื่อนไหวช้ากว่าผู้ชายคนนี้ตลอด?
ในความเป็นจริงก็คือ เซิ่งเจ๋อเฉิงเพียงแค่ยืนมือออกมาอย่างสบายๆ ขาของเธอก็โดนเขาจับไว้ ถึงแม้จะใช้แรงกำลังไม่ใช่น้อย แต่เธอก็หนีไม่พ้น เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ทันระวังยกขาของเธอขึ้นมา ทว่าวันนี้เสิ่นอีเวยสวมชุดกระโปรง ดังนั้นท่าทางแบบนี้ จึงทำให้กระโปรงของเธอเลื่อนลงจากน่องถึงต้นขา
ผิวที่ขาวนวลเนียนปะทะกับความเย็นภายในห้องรับแขก ดังนั้นเสิ่นอีเวยจึงรู้สึกถึงความเย็นผ่านทางผิวหนังของตนเองทันที
เมื่อโดนความขาวนวลเนียนของต้นขาเตะตา สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องมองจนตาแทบไม่กระพริบ
แต่สุดท้ายสายตาคู่นั้นก็โดนเสิ่นอีเวยสังเกตเข้าจนได้ หัวใจของเธอ“หยุดเต้น” ไปชั่วขณะ เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ:“ ไอ้คนชั่ว มองอะไร?”
สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องมองเสิ่นอีเวยอย่างร้อนแรง ใบหน้าอันหล่อเหลาและแสนเย็นชา ตราตรึงเข้าไปในลูกตาดำของเสิ่นอีเวย จนทำให้เธอใจลอยและหลงเสน่ห์ทันที
เสิ่นอีเวยนึกถึงเหมียนเหมียนน้อยที่ยืนอยู่ตรงประตู อีกทั้งท่าทางที่เซิ่งเจ๋อเฉิงทับอยู่บนร่างกายของตนเอง เธอมองไม่เห็นว่าลูกสาวตนเองในตอนนี้มีการแสดงออกทางสีหน้าอย่างไร ดังนั้นเธอจึงยิ่งรู้สึกกังวลใจ
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ท่าทางในตอนนี้ของเธอและเซิ่งเจ๋อเฉิงค่อนข้างไม่สุภาพ โดยเฉพาะตอนที่กระโปรงของเธอโดนเปิดออก เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นอีเวยจึงรีบดึงกระโปรงตนเองลง เธอเตือนเซิ่งเจ๋อเฉิงด้วยความโมโหในขณะที่จัดกระโปรงตนเอง:“ฉันขอเตือนคุณครั้งสุดท้าย! พวกเราสองคนตอนนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยา คุณอย่ามามองฉันซี้ซั้ว!”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินประโยคนี้ เกือบหลุดขำออกมา เขาถามอย่างไม่ใสใจ:“ งั้นคุณบอกผมหน่อย นอกจากผม มีใครเคยเห็นอีก?”
เสิ่นอีเวยอึ้งไปสักพัก นี่มันคำถามบ้าอะไรเนี่ย?
แต่ในใจของเธอรู้ว่า เซิ่งเจ๋อเฉิงจริงจัง เพราะน้ำเสียงถึงแม้จะดูไม่ค่อยใสใจ แต่แววตากลับเย็นชา แม้แต่ลมหายใจก็มีความเยือกเย็นจนเธอสัมผัสได้
เสิ่นอีเวยรู้ว่า ผู้ชายคนนี้กำลังถามคำถามอย่างจริงจัง และเขาต้องการได้ยินคำตอบที่พอใจ
เธอเกลียดความรู้สึกโดนถามอย่างบังคับเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ เพราตอนนี้เธอโดนปิดล้อมอยู่ด้วยร่างกายของเซิ่งเจ๋อเฉิงพร้อมกับโซฟาที่อ่อนนุ่มจากด้านล่าง เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย แม้จะหนีก็ไม่มีทางหนี เพราะระยะห่างที่ใกล้เกินไปเป็นเหตุ จนแม้กระทั่งเสิ่นอีเวยสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเซิ่งเจ๋อเฉิง
ผู้ชายคนนี้ ทำไมหัวใจเต้นเร็วอย่างนี้?หัวใจของเธอต้องเต้นเร็วถึงจะปกติใช่ไหม!
สัญชาตญาณของเสิ่นอีเวยต้องการดิ้นให้หลุดออกมา แต่เพียงแค่เงยหน้า สายตากลับปะทะเข้ากับดวงตาที่สงบนิ่งและลึกซึ้ง เหมือนดั่งทะเลตอนกลางคืนที่กว้างใหญ่
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองผู้หญิงด้านล่างที่ไม่ยอมตอบคำถามสักที จึงเข้าใจผิดไปโดยปริยายว่าในใจของเธอมีบางอย่างซ่อนอยู่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ่งโกรธมากขึ้น
“ผมจะถามคุณอีกครั้ง นอกจากผม มีใครเคยเห็นอีกไหม?”เสียงของผู้ชายแหบแห้งและตึงเครียด ทิ่มแทงเข้าไปในใจของเสิ่นอีเวย
เดิมทีเธอโดนเซิ่งเจ๋อเฉิงกดทับไว้ด้วยท่าทางน่ากระอักกระอ่วนใจ แถมตอนนี้ยังต้องโดนถามด้วยคำถามแบบนี้อีก ทันใดนั้น เสิ่นอีเวยจึงรู้สึกโมโหขึ้นมาในใจ ดวงตาคู่สวยของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ พูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองว่า :“ใครเคยเห็นมันเกี่ยวอะไรกับคุณ?คิดไม่ถึงจริงๆว่าประธานเซิ่งที่ก่อนหน้านี้วันๆเอาแต่ยุ่งอยู่กับงาน ตอนนี้จะลดตัวลงมาใส่ใจแบบนี้!”
เสิ่นอีเวยพูดอย่างไม่คิด เพราะเธอโมโหมากจริงๆ
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ฟังคำตอบ สีหน้าของเขาเครียดขึ้นมาทันที ลมหายใจที่แสนน่ากลัวแผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่างกาย:“คุณฟังให้ดีนะ ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงที่ผมเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ต้องการ คนอื่นก็ไม่อาจแตะต้องได้”
น้ำเสียงของผู้ชายคนนี้ดุร้าย ก้นบึ้งหัวใจของเสิ่นอีเวยสั่นเทาเมื่อได้ยิน แต่เธอกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว เพียงแต่ในใจรู้สึกเศร้าและผิดหวัง