บทที่ 353 ไม่เคยมีใครนอกจากคุณ
ในตอนนี้ อารมณ์ขุ่นเคืองใจเซิ่งเจ๋อเฉิงแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ เขายื่นมือออกไปหยิกเอวบางๆของเสิ่นอีเวย และจับอย่างไร้ความนุ่มนวล เหมือนกับกิ่งของต้นหลิวอันแสนบอบบาง ที่สามารถขยับไปมาได้ในมือของเขา
ทันใดนั้นผิวหนังบริเวณเอวที่โดนสัมผัสก็รู้สึกร้อนผ่าว เสิ่นอีเวยรู้สึกตื่นตระหนกในใจ เพราะความสง่างามของผู้ชายคนนี้เกินว่าที่จะทำให้คนเพิกเฉย จนกระทั่งเธอสามารถรู้สึกได้ว่าตนเองถูกสายตาที่แสนเย็นชาจ้องมองอยู่ เพราะความหวาดกลัวจึงขนลุกไปทั่วร่างกาย
“พูดมา นอกจากผมยังมีใครเคยแตะต้องไหม?ผมจะไปลากคอมันมาลงโทษ”เซิ่งเจ๋อเฉิงถามอย่างอดทน ด้วยเสียงนุ่มนวลที่สุด
แต่น้ำเสียงแบบนี้ เมื่อเสิ่นอีเวยได้ยินผ่านหูของตนเอง กลับเหมือนเป็นเสียงกระซิบจากปีศาจ ทำให้คนได้ฟังตัวสั่น
เมื่อมองเห็นแววตาของเขา เธอสูดลมหายใจได้ไม่เต็มปอด เธออ้าปากพูดด้วยความหวาดกลัว:“แต่ทั้งหมดเป็นความสมัครใจของฉันเอง หากคุณต้องการลงโทษจริงๆ ก็ควรลงโทษฉัน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงหัวเราะอย่างไม่สนใจ ตอบเธออย่างมั่นใจในตนเองว่า :“ไม่ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมพูดว่าจะลงโทษพวกเขานั้นหมายความว่า จะทำให้ผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้ยกเว้นผม ไม่กล้ามาตอแยคุณอีก ผมอยากให้พวกเขารู้เอาไว้ ถ้ากล้ามาตอแยผู้หญิงของเซิ่งเจ๋อเฉิง จะต้องพบกับผลลัพธ์ที่น่าสลดใจ”
เสิ่นอีเวย:“……”
ได้ ยังไงตนเองก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว แถมผู้ชายคนนี้ยังได้เปรียบกว่าตนเองมากๆ
เธอไม่ใช่คนไม่รู้เท่าทันสถานการณ์ เธอรู้ดีว่าฝั่งตรงข้ามมีอำนาจมากกว่าตนเอง หรือจะพูดว่า……เมื่อไม่มีอะไรต้องอาย ก็ควรแสดงความอ่อนแอที่พอเหมาะพอควรสักหน่อย อาจจะสามารถช่วยให้ตนเองรอดพ้นจากสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
และเมื่อมองดูสถานการณ์แบบนี้ เกรงว่าคนรอบกายคงไม่มีใครช่วยเธอได้ ดังนั้นเธอต้องพึ่งพาตนเอง
เสิ่นอีเวยคิดตัดสินใจ เธอเม้มปากเล็กที่คล้ายกับลูกเชอร์รี่ เปลี่ยนเป็นแววตาน่าสงสาร เสแสร้งเป็นพูดด้วยความโมโห :“เซิ่งเจ๋อเฉิง มาถึงตรงนี้แล้ว คุณยังจะรังแกฉันเหมือนแต่ก่อนไหม?”
เดิมทีเสิ่นอีเวยคิดว่า ตนเองแสดงความอ่อนแอสักเล็กน้อย อย่างน้อยอาจจะทำให้เซิ่งเจ๋อเฉิงปล่อยเธอออกไปจากการกักขังเธอไว้จนหายใจไม่ออก แต่เธอคิดผิด
ครั้งนี้ เธอเพียงคาดเดาง่ายๆในตอนเริ่มต้น แต่กลับไม่ได้นึกถึงตอนจบ ถึงแม้วิธีที่เธอแสดงความอ่อนแอที่เลือกมานั้นถูกต้อง แต่……กลับผิดเวลา
เพราะเมื่อเซิ่งเจ๋อเฉิงสัมผัสกับแววตาน่าสงสารของเธอ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
เอวบอบบางของเสิ่นอีเวยถูกมือใหญ่ของเซิ่งเจ๋อเฉิงจับไว้แน่น วินาทีต่อมา จูบที่ร้อนแรงไหลเข้ามาอย่างท่วมท้น ทำให้เสิ่นอีเวยไม่ทันได้ปฏิเสธ เพราะโดนริมฝีปากของเซิ่งเจ๋อเฉิงปิดปากเธอไว้ สติปัญญาที่เหลืออยู่ในสมองของเธอค่อยๆจางหายไป ประสาทสัมผัสทั้งหมดของร่างกายเธอโดนกระตุ้น แม้กระทั่งสามารถรู้สึกได้ชัดเจนว่ามือและเท้าของตนเองเริ่มอ่อนแรง
ต้นขาค่อยๆไถลเข้าไปด้านข้างโซฟา แต่ในวินาทีต่อมากลับถูกมือใหญ่ของเซิ่งเจ๋อเฉิงดึงขึ้นมา แถมยังโดนเขาฉวยโอกาสจับมาวางไว้บนเอวของตนเอง เขาใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำอันชั่วร้ายพูดว่า:“วางไว้บนเอวของผม ห้ามเอาลงเด็ดขาด”
ตอนนี้สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ เสิ่นอีเวยอยากร้องไห้จริงๆ
เธอพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนัก โดยไม่ทันระวังข้อศอกชนเข้ากับศีรษะของเซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างจัง เสิ่นอีเวยรู้สึกตกใจ คิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องจัดการเธอแน่นอน แต่ทว่า เขากลับไม่ทำ
เซิ่งเจ๋อเฉิงเพียงแค่ยื่นมือของตนเองออกไป บีบข้อมือสองข้างของเธออย่างสบายอารมณ์ และพูดข้างหูเธอว่า:“ทำตัวเชื่อฟังผมหน่อย อย่าขยับตัวสะเปะสะปะ ”
เสิ่นอีเวยยอมรับว่าตอนนี้ตนเองตกอยู่ในกำมือของเขาโดยสิ้นเชิง เธอไม่ต้องการที่จะยอมรับว่าร่างกายของเธอต้องการจริงๆ แต่สติปัญญากลับบอกเธอว่า เธอทำไม่ได้……
เธอไม่สามารถปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในมือเขาอีกครั้ง ตอนนี้เธอมีงานใหม่ชีวิตใหม่ และมีจุดมุ่งหมายใหม่ นั้นคือความสามารถในการพาบริษัทหัวยู่นกลับคืนมา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอยังมีลูกสาวที่น่ารักที่แสนรู้ใจหนึ่งคน
ชีวิตของเธอตอนนี้ไม่ได้แย่ ดังนั้นเธอก็ไม่อยากหันกลับไปมองอดีตอีกครั้ง ชีวิตก่อนหน้าคือสีเทา เธอต้องการลบความทรงจำทิ้งไปตั้งนานแล้ว แต่สัมผัสที่ใกล้ชิดของเซิ่งเจ๋อเฉิง กลับสามารถดึงเธอกลับไปสู่ความเจ็บปวดทรมานและหมดสิ้นหนทางในอดีต
แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงในตอนนี้ เหมือนกับสัตว์ร้ายที่ถูกผลักดันโดยความปรารถนาของตนเอง สำหรับการต่อต้านและการต่อสู้ดิ้นรนของเธอ เขาไม่สนใจเลยสักนิด ผู้หญิงคนนี้มีความกล้าหาญมาก ในครั้งนี้ เขาจะต้องลงโทษเธอ
ในขณะที่ตนเองต่อสู้ดิ้นรนและบิดตัวไปมาอยู่ในอ้อมกอดของเซิ่งเจ๋อเฉิง ถึงแม้จะมีเสื้อผ้ากั้นไว้ แต่เสิ่นอีเวยก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนกับมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม ถึงแม้จะรู้ว่านั้นคืออะไร แต่เธอกลับไม่อยากให้ความสนใจกับตรงนั้น
เพียงแต่ว่า ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เธอรู้สึกถึงสิ่งนั้นจริงๆจังๆ เสิ่นอีเวยกลับไม่กล้าขยับตัวสะเปะสะปะ เพราะอ้างอิงจากประสบการณ์ในอดีตกับผู้ชายคนนี้ ณ ช่วงเวลาแบบนี้ ยิ่งขยับตัวสะเปะสะปะ เหตุการณ์จะยิ่งเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจัดการได้ง่ายๆ
เสิ่นอีเวยพยายามบังคับลมหายใจและอารมณ์ของตนเองอย่างถึงที่สุด:“เซิ่งเจ๋อเฉิง คุณช่วย……ใจเย็นสักหน่อย พวกเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
แต่ผู้ชายที่อยู่ด้านบนกลับไม่สนใจเธอสักนิดเดียว มือที่แหวกว่ายบนผิวของเธอยังคงขยับอย่างไม่เกรงใจ
เสิ่นอีเวยกลั้นลมหายใจ:“หรือไม่ ฉันแนะนำให้คุณไปอาบน้ำเย็นก่อนดีไหม?”
ในที่สุด เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ส่งเสียงออกมา ด้วยการคำราม:“หุบปาก!”
เสิ่นอีเวยตกใจ ในที่สุดจึงเงียบไม่กล้าส่งเสียงใดๆออกมา แต่เธอไม่อาจปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ต่อไป
ซิปด้านหลังกระโปรงไม่รู้ว่าถูกเปิดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ แผ่นหลังของเสิ่นอีเวยปะทะเข้ากับอากาศ แววตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงจากด้านบนดูอันตรายและร้อนแรง
ท่าทางของเซิ่งเจ๋อเฉิงยิ่งนานยิ่งไม่เหลือความเกรงใจ เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าตนเองแทบจะห้ามใจไม่ได้แล้ว
ทันใดนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงคำรามที่ข้างหู:“พูด!มีใครเคยสัมผัสอีกไหม!”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ชั่วพริบตาเดียว จมูกเสิ่นอีเวยเริ่มติดขัด น้ำตาเกือบจะไหลออกมาทันที ในที่สุด เธอตัวสั่นพูดออกมาสามคำ:“ไม่มีใคร……”
ผู้ชายที่โมโหเหมือนสัตว์ดุร้ายกลับรู้สึกว่ายังไม่พอ เขาบีบบังคับให้ตอบอีก:“พูดให้ชัดกว่านี้!”
น้ำตาของเสิ่นอีเวยไหลออกมา มือใหญ่ของเซิ่งเจ๋อเฉิงหยุดอยู่ที่แก้มของเธอ น้ำตาที่ร้อนผ่าวหยดลงกลางฝ่ามือของเขา หัวใจของเขาเจ็บปวดเหมือนกับโดนน้ำร้อนลวก
เสียงแหบแห้งที่แตกกระจาย แต่ต้องพูดออกมาอย่างไม่มีทางเลือก:“ นอกจากคุณ ไม่เคยมีใคร……”
เสิ่นอีเวยน้ำตาอาบแก้ม ในใจเธอรู้ว่า อะไรที่มีอยู่ กำลังจะพังลงในไม่ช้า มันคือความมั่นใจและการป้องกันตนเองของเธอที่เธอยืนหยัดมาเนิ่นนาน
ชั่วพริบตาเดียวที่ตนเองเพิ่งจะพูดประโยคนั้นออกมา ทั้งหมดพังทลายลง และทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งหมดต้องขอบคุณผู้ชายตรงหน้าที่กำลังกัดกระดูกไหปลาร้าของเธอเมามัน
ในที่สุด เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ปล่อยเธอไป รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจอันหาที่เปรียบไม่ได้ปรากฏบนริมฝีปากของผู้ชายที่มีความสงบขึ้นมาหน่อย ราวกับว่ากลอุบายที่ชั่วร้ายประสบความสำเร็จ