บทที่ 354 พวกเขาโชคดีมากแล้ว
ภายในดวงตาคู่งามของเสิ่นอีเวยยังคงมีน้ำตาขังอยู่ ดังนั้นเธอจึงมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ชัดเจน รวมทั้งใบหน้าของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน เธอสามารถมองเห็นได้เพียงรูปร่างที่เลือนราง
แต่เธอสามารถแน่ใจได้ว่า ใบหน้าที่ตนเองไม่อยากเห็นตลอดชีวิต ในตอนนี้ เธอมีคำถามในใจมากมายที่อยากถามผู้ชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า
ทำไม ทำไมต้องการบังคับเธอ……
เสิ่นอีเวยต้องการถามเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่ในลำคอกลับไม่มีเสียงออกมา
เซิ่งเจ๋อเฉิงหัวเราะอย่างพอใจ ค่อยๆลูบแก้มของเธอด้วยฝ่ามืออุ่น ๆ :“อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเชื่อฟัง”
เสิ่นอีเวยขดตัวร้องไห้เงียบๆอยู่ในอ้อมแขนของเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่เธอกลับรู้สึกว่า ถึงแม้ตนเองจะร้องได้อย่างเจ็บปวดขนาดนี้ แต่ผู้ชายตรงหน้ายังคงไม่รู้สาเหตุ และเธอมีลางสังหรณ์ที่ค่อนข้างชัดเจน
ในอีกไม่กี่วัน ผู้ชายคนนี้จะไม่ปล่อยเธอไปอีก เพราะประโยคที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเพิ่งจะพูดว่า เธอกับเหมียนเหมียนน้อยต้องย้ายกลับมาอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง เธอ……ไม่น่ากลับมาตั้งแต่แรกจริงๆ!
ในตอนนี้ สายตาที่เซิ่งเจ๋อเฉิงมองเธอเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมทันที หัวใจของเสิ่นอีเวยแทบหยุดเต้น สัญชาตญาณบอกให้ร่างกายท่อนบนหลบไปด้านข้าง แต่กลับโดนมือใหญ่ของเซิ่งเจ๋อเฉิงดึงกลับมา
เสิ่นอีเวยสังเกตได้ชัดเจนว่าอารมณ์ของเซิ่งเจ๋อเฉิงเปลี่ยนไป เธอถามอย่างกล้าๆกลัวๆว่า :“คุณคิดจะทำอะไร……?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองเข้าไปในดวงตาของเธอ เขายิ้มเยาะ:“แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ คุณฉลาดกว่าที่ผมคิดไว้เยอะมาก ตอนสี่ปีที่แยกกันคาดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้คนที่รู้ความจริงปิดปากไม่ยอมพูดกับผม ผมแปลกใจมากๆ แท้จริงแล้วคุณให้อะไรกับพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถรักษาความลับของคุณภายใต้การบีบบังคับและหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ของผม?”
น้ำเสียงที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดมีความโมโหเดือดดาลและความสงสัย สมองของเสิ่นอีเวยปรากฏแสงสะสว่างวาบขึ้นมาทันที แน่นอนเธอรู้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดว่า“พวกเขา”แท้จริงมีใครบ้าง เธอกลับมาในประเทศนานพอสมควร แต่ดันลืมถามถึงสถานการณ์ของคนเหล่านั้น
ฉินจื่อเฟิง คุณหมอลู่ และยังมีฉินโม่
ในช่วงแรกที่เธอจากไป คุณหมอลู่เก็บไว้เป็นความลับไม่บอกฉินโม่จริงๆ แต่แท้จริงในใจของเธอเองก็รู้ว่า พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ถ้าคุณหมอลู่เล่าเรื่องของตนเองให้ฉินโม่ฟังจริงๆ เธอก็จะไม่โทษเขา
อย่างไรเสีย หากช่วยก็ถือเป็นไมตรีจิต ไม่ช่วยก็ถือเป็นความซื่อสัตย์ เหตุผลนี้เสิ่นอีเวยยังคงเข้าใจดี
คนเหล่านั้นรู้ว่าเธอจะไปที่ไหน ส่วนเซิ่งเจ๋อเฉิงรู้ได้อย่างไร?
ภายในดวงตาคู่ใสของเสิ่นอีเวยแฝงไว้ด้วยความสงสัย:“ทำไมคุณถึงรู้ว่าพวกเขารู้เรื่องของฉัน?”
รอยยิ้มมุมปากของเซิ่งเจ๋อเฉิงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย เขาพูดว่า:“ตอนนี้คุณฉลาดขึ้นกว่าเดิม ทั้งหมดมาถึงจุดๆนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังคงระแวดระวังทั้งๆที่ผมไม่ได้พูดชื่อคนพวกนั้นออกมาจากปาก ดังนั้นผมก็จะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม่ช้าก็เร็วคุณจะได้รู้เอง”
เสิ่นอีเวยใจสั่น มองไปที่เซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างระมัดระวัง:“คุณทำอะไรพวกเขา?”
สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงตรงไปตรงมา เขาพูดโดยไม่ปิดบัง:“ ฉินจื่อเฟิงโดนผมไล่ออกไปนานแล้ว ส่วนคุณหมอลู่——”
เสิ่นอีเวยรู้สึกโกรธมากขึ้นจนแทบพ่นไฟออกมา:“เรื่องของฉินจื่อเฟิงเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกัน คุณหมอลู่เป็นคุณหมอของคนหลายๆคน เป็นคนที่ช่วยชีวิตผู้คน คุณทำให้คนอื่นลำบากทำไม?!”
เสิ่นอีเวยพูดเหตุผลข้อนี้ เป็นเหตุผลที่ออกมาจากใจของตนเองจริงๆ แต่เธอกลับไม่ได้สังเกตว่าใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงยิ่งเปลี่ยนเป็นน่ากลัวมากขึ้น
เสียงของผู้ชายต่ำลงและชั่วร้าย:“คุณพยายามปกป้องผู้ชายคนอื่นต่อหน้าผม คุณอยากตายหรอ?”
เผชิญหน้ากับการคุกคามของเซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวยกลับไม่กลัวสักนิด เธอพูดต่อด้วยความโมโห:“ใช่แล้ว ฉันอยากตาย! ถึงอย่างไรช่วงที่มีภาวะโรคซึมเศร้าฉันก็อยากตายเป็นพันครั้งมานานแล้ว ถ้าตอนนี้คุณสามารถฆ่าฉันได้ก็เชิญ ไม่งั้นชีวิตของฉันหลังจากนี้คงจะต้องทุกข์ทรมานอยู่กับคุณ!”
เซิ่งเจ๋อเฉิงนิ่งอึ้งไปโดยสิ้นเชิง เขาหลบสายตา สีหน้าของเขาแสดงออกว่าแทบไม่อยากเชื่อ:“ คุณเคยเป็นโรคซึมเศร้าหรอ?”
เสิ่นอีเวยจ้องมองใบหน้าของเขา และหัวเราะอย่างเย็นชา :“ทำไม คุณตกใจมากหรอ ?แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่คุณให้กับฉันหรอ?โชคดีที่ตอนนี้ฉันหายนานแล้ว รู้สึกได้ถึงความสดใสในอนาคต ดังนั้นขอร้องคุณอย่ารบกวนและอย่าก่อกวนฉันอีกเลย ฉันตัวคนเดียวก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ !”
หลังจากพูดทุกอย่างที่คิดออกมาได้ เสิ่นอีเวยก็รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย เพราะเธอกลัวว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะคิดหาโอกาสกับประโยคนั้นของเธอ เธอพูดว่า“ ตนเองคนเดียวสามารถมีชีวิตที่ดีได้” ดังนั้นเธอจึงกลัวเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดว่า“ งั้นคุณสามารถไปได้ แต่เหมียนเหมียนน้อยต้องอยู่กับเขา” คำพูดประมาณนี้
ขณะที่เธอกำลังคิดหาคำพูดอื่นมาเสริม ทันใดนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับเปิดปากพูดออกมา:“แต่ผมสามารถให้ชีวิตที่ดีกว่านี้กับคุณและเหมียนเหมียนน้อย คุณต้องเข้าใจตรงนี้”
เสิ่นอีเวยหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย ท่ามกลางเสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยความจนปัญญา:“จนถึงตอนนี้ คุณยังคงใช้น้ำเสียงมั่นใจในตนเองพูดกับฉัน เซิ่งเจ๋อเฉิง แท้จริงแล้วคุณไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของฉันเลยสักครั้ง ไม่เข้าใจตั้งแต่มุมมองการรับรู้และการตัดสินใจของฉัน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองตาของเธอ เหมือนต้องการอธิบายอะไรสักอย่าง แต่ในที่สุดกลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผ่านไปเนิ่นนาน ผู้ชายที่มีลมหายใจเหมือนปีศาจร้ายพูดออกมาเบาๆว่า:“แต่อย่างน้อยเรื่องของคุณหมอลู่ ผมกับคุณก็เห็นตรงกัน”
เสิ่นอีเวยงงงวยไปสักพัก ถามว่า:“คุณหมายความว่าอะไร?”
ใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ:“เหมือนกับที่คุณพูดมาทั้งหมด คุณหมอลู่คือหมอ ดังนั้นผมจึงไม่ได้กลั่นแกล้งเขา และไม่ได้ใช้อำนาจลงโทษเขา ผมเพียงแค่ตักเตือนเขาแค่นั้น”
เสิ่นอีเวยรู้สึกโล่งใจ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
“งั้นฉินจื่อเฟิงล่ะ?”เธอถามต่อ
เซิ่งเจ๋อเฉิงทำหน้าจริงจัง สายตาเต็มไปด้วยความเลือดเย็น:“ฉินจื่อเฟิงคือพนักงานของบริษัทเซิ่งซื่อของผม เธอโชคไม่ดี เพราะผมมีสิทธิไล่เธอออก”
เสิ่นอีเวยสูดลมหายใจเข้าลึก:“ดังนั้นคุณจึงไล่เธอออกจริงหรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องมองเธออย่างเปิดใจ เขาไม่พูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“เซิ่งเจ๋อเฉิง คุณมันเลวทรามจริงๆ ”หลังจากเงียบมานาน เสิ่นอีเวยจึงเปิดปากพูดประโยคนี้ออกมา
เสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เขาเพียงตอบอย่างจริงจัง:“ พวกเขาตั้งใจปิดบังเรื่องการเดินทางของคุณ วิธีการจัดการของผมไม่ใช่ว่าคุณจะไม่เข้าใจ การโดนตักเตือนและโดนไล่ออก สำหรับพวกเขาเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว”
เสิ่นอีเวยเงียบไปสักพัก จริงสิ เธอลืมปัญหาไปเรื่องหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเธอ แต่ไหนแต่ไรเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดมาตลอด ใครก็ตามทำให้เขาอารมณ์เสีย อำนาจของเขาสามารถทำให้พวกเขาโดนลงโทษได้