บทที่ 357 สั่งสอนพวกมันสักหน่อย
เสิ่นอีเวยฟังจากน้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิง ก็รู้ว่านี่คือทางออกวิธีสุดท้าย ไม่มีทางหนีทีไล่อย่างอื่นที่ต้องคิดอีกต่อไป
เพียงแค่ตอนนี้สามารถเป็นอิสระ อย่างน้อยก็สามารถยอมรับได้
ในที่สุด สิบนาทีต่อมา เสิ่นอีเวยพาเหมียนเหมียนน้อยนั่งลงในรถของหลินอวี้
ในความเป็นจริง ตอนที่เซิ่งเจ๋อเฉิงสั่งให้หลินอวี้ไปส่งพวกเธอกลับบ้าน เสิ่นอีเวยคิดปฏิเสธในใจ เพราะเธอไม่ต้องการให้เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้ว่าพวกเธอพักอยู่ที่ไหน แต่คิดดูอีกที เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้มาตลอดว่าบ้านเก่าของเสิ่นอีเวยอยู่ที่ไหน ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรมาก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถของหลินอวี้จอดที่หน้าบ้านเก่าของเสิ่นอีเวย ที่นี่ไม่นับว่าเป็นชานเมือง แต่เป็นที่ดินขนาดใหญ่ แรกเริ่มพ่อแม่เลือกจะซื้อคฤหาสน์ตรงนี้ เพราะในขณะเดียวกันพวกเขามองเห็นสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ อีกทั้งชีวิตที่สะดวกสบาย
หลินอวี้กล่าวคำอำลาเสิ่นอีเวย:“คุณนายเซิ่ง แล้วเจอกันใหม่ครับ ประธานเซิ่งกำชับว่า หากมีธุระอะไรคุณสามารถโทรศัพท์หาผมได้ทุกเมื่อ”
เสิ่นอีเวยยิ้มบางๆและพยักหน้า:“ขอบคุณค่ะ”
“ลุงหลิน ไว้เจอกันใหม่ค่ะ!”เหมียนเหมียนน้อยพูดเสียงดังด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ
หลินอวี้อึ้งไปสักพัก เด็กคนนี้มีมารยาทจริงๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ้มเล็กน้อย :“เจอกันครับคุณหนู”
เขาไม่ลืมสังเกตว่า คนสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานิ่งไปสักพัก คล้ายกับยังไม่คุ้นเคยที่ตนเองเรียกเหมียนเหมียนน้อยว่า“คุณหนู”
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นี่คือคำสั่งของเจ้านายตนเอง จึงต้องทำตาม ไม่งั้นจะโดนหักเงินเดือน!
หลังจากมองรถของหลินอวี้ค่อยๆขับออกไป เสิ่นอีเวยจึงพาเหมียนเหมียนน้อยเข้าบ้าน ในเวลาสั้นๆไม่กี่ชั่วโมงที่พวกเขาไม่อยู่บ้าน เดิมทีป้าที่ขอลาไปแล้วก็มาที่บ้าน เพื่อทำความสะอาดบ้านทั้งหลังทั้งด้านในและด้านนอก
เสิ่นอีเวยมองดูดอกลิลลี่ที่บานสะพรั่งบนขอบหน้าต่าง ในที่สุดความรู้สึกจึงค่อยๆดีขึ้นมาบ้าง
เมื่อถึงเวลานอนหลับ เสิ่นอีเวยกอดเหมียนเหมียนน้อยไว้ในอ้อมแขน พูดปลอบโยนว่า:“เหมียนเหมียนน้อยวางใจได้ หลังจากนี้ม่ามี้จะไม่ทำให้หนูโดนคนไม่ดีจับไปอีก”
เดิมทีใจจริงต้องการพูดความรู้สึก แต่เสิ่นอีเวยคิดไม่ถึงว่า เหมียนเหมียนน้อยจะหันกลับมาใช้มือเล็กๆโอบคอเธอไว้ และพูดว่า :“ม่ามี้วางใจ รอเหมียนเหมียนน้อยโตขึ้น หนูจะปกป้องแม่เองค่ะ!”
สองแม่ลูกให้กำลังใจและปลอบโยนกันและกันจนหลับฝันไป
วันรุ่งขึ้นตอนเช้าตรู่ หยางอันหรานพุ่งเข้ามาในบ้านของเสิ่นอีเวย ตอนที่เธอกำลังล้างหน้าบ้วนปากอยู่ในห้องน้ำชั้นบน ก็ได้ยินเสียงตะโกนมาจากชั้นล่างของบ้าน
“อีเวย!อีเวย!”
เสิ่นอีเวยตกใจจนทำแปรงสีฟันในมือหล่นลงพื้น เมื่อเดินไปถึงชั้นล่าง จึงมองเห็นหยางอันหรานสีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห ท่าทางเตรียมตัวจะทะเลาะวิวาท
เสิ่นอีเวยมองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ จึงอดหัวเราะไม่ได้:“ เธอคิดจะทำอะไร? สวี่เส้าเหิงไม่ได้แอบอยู่ในบ้านฉัน ถ้าเธอต้องการทะเลาะกับเขาต้องออกไปที่อื่นนะ!”
ถึงแม้หยางอันหรานจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเหมียนเหมียนน้อย แต่ในความเป็นจริงอายุของเธอกับเสิ่นอีเวยไม่ต่างกันมาก ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ดังนั้นเรื่องการไปมาหาสู่ของตนเองกับสวี่เส้าเหิง เสิ่นอีเวยก็เล่าให้เธอฟัง
บวกกับบุคลิกของหยางอันหรานที่ใจร้อนแบบนี้ ดังนั้นจึงเข้ากันได้ดี
“เหมียนเหมียนน้อยไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”หยางอันหรานนั่งลงบนโซฟา นี่คือปัญหาของเธอในฐานะผู้จัดการส่วนตัวที่น่ากังวลที่สุดในตอนนี้
“เหมียนเหมียนน้อยปลอดภัย แถมยังทำให้ผู้ชายที่ลักพาตัวเธอเข้าโรงพยาบาลทั้งสองคน”เสิ่นอีเวยแปรงฟันไปพูดไป
และในเวลาต่อมา เสิ่นอีเวยใช้เวลาสามนาทีบรรยายความกล้าหาญทุกขึ้นตอนของเหมียนเหมียนน้อยให้หยางอันหรานฟัง หยางอันหรานนั่งฟังอย่างตะลึงอยู่ข้างๆ
หลังจากฟังจบเธอยกนิ้วโป้งให้เสิ่นอีเวย และพูดว่า:“เธอสามารถคลอดลูกสาวที่สุดยอดขนาดนี้ นั้นหมายความว่าเธอก็สุดยอดเหมือนกันนะ!”
เสิ่นอีเวยกรอกตามองบนใส่หยางอันหราน คิดไปคิดมา จึงเสริมไปอีกประโยคด้วยความละอายใจ:“แต่คนที่หาเธอพบไม่ใช่ฉัน คนที่ช่วยเธอก็ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคนอื่น”
หยางอันหรานได้ฟังคำพูดของเสิ่นอีเวย จึงคิดจะถามให้ชัดเจน แต่เสิ่นอีเวยกลับไม่ตั้งใจจะพูดอีก อีกทั้งเหมียนเหมียนน้อยยังแย่งพูดออกมา:“ม่ามี้ นั้นเป็นเพราะหนูพยายามจึงสามารถพาตนเองหนีรอดออกมาได้ ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย!”
เสิ่นอีเวยมองใบหน้าคนตัวเล็กที่กำลังฟ้องร้อง จึงอดหัวเราะไม่ได้ ดังนั้นจึงยื่นมือออกไปถูจมูกของเหมียนเหมียนน้อย เธอถอนหายใจอย่างจนปัญญาแต่กลับมีรอยยิ้มแห่งความสุข
“แต่อย่างที่ฉันพูด ไอ้สวี่เส้าเหิงมันเป็นคนเลวจริงๆ ไม่นับเรื่องที่มีอะไรกับผู้หญิงไปทั่ว ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าจะกล้าลักพาตัวเหมียนเหมียนน้อย พวกเราต้องไปแจ้งความจับมัน!แต่อย่าเปิดเผยข้อมูลใดๆก็ตามของเหมียนเหมียนน้อย มิเช่นนั้นจะกระทบต่อตัวเด็กอย่างมาก!”หยางอันหรานพูดด้วยความโมโห
เสิ่นอีเวยนิ่งไปสักพัก นึกถึงนิสัยของเซิ่งเจ๋อเฉิง ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าสวี่เส้าเหิงตกอยู่ในมือของเขาหรือยัง เดิมทีเธออยากบอกหยางอันหรานว่าไม่จำเป็น แต่คิดดูอีกที เธอไม่อยากพูดเรื่องของตนเองมากขนาดนั้น จึงไม่พูดอะไรออกมา
หยางอันหรานมองเห็นเสิ่นอีเวยมีท่าทางเคร่งขรึม จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทีว่ายอมรับข้อเสนอแนะของตนเอง จึงรีบถามว่า :“เธอแจ้งความหรือยัง?”
เสิ่นอีเวยส่ายหน้า รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของหยางอันหราน เธอปรบมือและพูดว่า:“เธอฉลาดจริงๆ! เรื่องนี้ไม่สามารถแจ้งความได้ ถึงตอนนั้นหากมีนักข่าวมาทำข่าว คนที่จะโดนวิพากษ์วิจารณ์จะมีเพียงเหมียนเหมียนน้อย แต่ว่า——”
พูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหยางอันหรานจริงจังมากขึ้น:“พวกเราไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปได้ ไม่งั้นคนอื่นจะคิดว่าสามารถรังแกพวกเราได้ง่ายๆ!สำหรับสวี่เส้าเหิงและแฟนของมัน ต้องจัดการอย่างช้าๆ ฉันต้องสืบดูว่าพวกมันมีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องจัดการพวกมัน!”
เสิ่นอีเวยรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เธอถามว่า:“เยี่ยม เจ้หยาง เจ้จะจัดการพวกมันอย่างไร ?”
หยางอันหรานจงใจแสดงรอยยิ้มที่น่ากลัว พูดว่า:“ไม่ว่ายังไงฉันก็อยู่ในวงการบันเทิงมานาน ยังคงเป็นผู้จัดการส่วนตัว แถมยังรู้จักช่องทางมากมาย การหาคนมาสั่งสอนหญิงชายโฉดสองคนนั้น ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที วางใจฉันได้!”
เสิ่นอีเวยได้ยินคำพูดที่กล้าหาญ ก็รู้สึกอบอุ่นในใจ แต่เธอเป็นคนที่ใช้เหตุผลเสมอ ดังนั้นจึงพูดเตือนด้วยความจริงจังว่า:“แค่สั่งสอนพวกเขาสักหน่อยก็พอ อย่างไรเสียพวกเขาทำให้ลูกสาวของฉันเสียขวัญ แต่สั่งสอนก็พอ อย่าทำให้เรื่องใหญ่ไปกว่านี้
ถ้าทำแบบนั้น ฉันกลัวว่าพวกมันจะหาทางเอาคืนฉัน หากพวกมันกลับมาทำร้ายเหมียนเหมียนน้อยจะทำอย่างไร?”
หยางอันหรานในใจรู้ดีว่า อันที่จริงการคิดใคร่ครวญของเสิ่นอีเวยก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่ทว่าเธอก็มีความคิดเป็นของตนเอง จึงพูดว่า:“แต่ถ้าครั้งนี้ไม่สั่งสอนพวกมันให้หนัก หลังจากนี้พวกมันอาจจะใช้เหมียนเหมียนน้อยเพื่อคุกคามเธออีก!คนชั่วอย่างพวกมัน มีเพียงสองทางเลือกระหว่างไม่ลงมือกับเล่นงานมันให้เจ็บเจียนตาย!