บทที่ 385 คืนนี้ฉันจะมีลูกกับเธอ
“พูดอีกรอบสิ?” เสียงของเขาเหมือนซ่อนมีดแหลมคมเอาไว้ด้วยยามเมื่อพูดออกมา
เสิ่นอีเวยบังคับตัวเองให้กล้าจ้องตาของเขา แล้วก็พูดประโยคนั้นอีกรอบ : “ฉันพูดว่าฉันจะอยู่กับใคร จะนอนกับใครมันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณเลยสักนิด”
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องตาเธอเงียบๆ ในชีวิตนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในการซักถามคนอื่นอย่างอดทน เมื่อก่อนนี้เขาไม่ต้องมาเสียเวลาเข้าใจเรื่องความคิดที่แท้จริงของคนอื่นด้วยซ้ำ
“ทำไม?”
เสิ่นอีเวยตั้งใจก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อจะได้เว้นระยะระหว่างเธอกับเขาให้ห่างกัน ยิ่งเข้าใกล้เขามันยิ่งทำให้รู้สึกกดดันจนไม่สามารถพูดอธิบายต่อได้
เสิ่นอีเวย เซิ่งเจ๋อเฉิงต่างจ้องตากันด้วยสายตาเคร่งขรึมและเงียบสนิท : “ไหนๆก็พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว งั้นฉันก็ขอพูดความรู้สึกจริงๆที่อยู่ในใจฉันเลยแล้วกัน คุณไม่ต้องรอฉันกลับไปที่บ้านตระกูลเซิ่งแล้วแหละ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ฉันกับเหมียนเหมียนจะไม่กลับไปอีก ที่แห่งนั้น…..มันมีเรื่องราวมากมายที่ฉันไม่อยากจะนึกถึงอีก และฉันก็ยังเชื่อมั่นว่าคุณก็คงเข้าใจเป็นอย่างดี”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเอาแต่เม้มริมฝีปากไว้แน่นแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ฉันซื้อบ้านใหม่ได้แล้วเอามาเป็นบ้านใหม่ของพวกเรา” เขาเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
เมื่อเขาพูดจบ เสิ่นอีเวยกลับหัวเราะขึ้นมาแทน เธอพูดว่า : “หรือว่าแท้จริงแล้วคุณไม่เข้าใจกันแน่? ระหว่างคุณกับฉันมันมีอะไรมากั้นกลางตั้งมากมาย เราไม่สามารถกลับไปยืนจุดเดิมได้ ความสัมพันธ์ของเราก็ไม่สามารถกลับมาเป็นดั่งเดิมได้อีกแล้ว”
เดิมที่เสิ่นอีเวยคิดว่าเมื่อเธอพูดประโยคเหล่านี้ออกไปแล้ว เซิ่งเจ๋อเฉิงต้องอาละวาดแน่ ทว่ากลับไม่เป็นไปตามนั้นซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากมาก สายตาของเขาลดต่ำลงจนทำให้เสิ่นอีเวยมองไม่เห็นสีหน้าของเขาเพราะมุมบังอยู่
เซิ่งเจ๋อเฉิงเดินไปนั่งบนโซฟาในห้องรับแขก น้ำเสียงดูตั้งใจอย่างเอาจริงเอาจัง: “งั้นเธอบอกกับฉันว่าอะไรเป็นสาเหตุที่มาขั้นกลางระหว่างเราสองคนอยู่ บอกมาให้หมดเลย”
เสิ่นอีเวยเอาแต่ตกตะลึงกลับคำพูดของขา เธอไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างเขาจะมีการถามคำถามกับเธออย่างจริงๆจังๆ แต่ดีที่ว่า ในใจของเธอมีคำตอบอยู่แล้ว
เธอสูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ : “สิ่งที่ขั้นกลางระหว่างเราสองคนคือการตายพ่อแม่ของฉัน และยังมีการสูญเสียลูกไปในคราวนั้นด้วย อีกอย่าง ——เสิ่นหุ้ย”
เซิ่งเจ๋อเฉิงยังคงใจเย็นอยู่เช่นเดิม: “สองเรื่องแรกนั้นฉันรับได้ แต่เสิ่นหุ้ยมันคืออะไร?”
เสิ่นอีเวยตกใจนิดๆ: “คุณไม่คิดว่าเรื่องของเสิ่นหุ้ยเป็นสาเหตุที่คอยมาขั้นกลางระหว่างเราหรอ? คุณต้องรู้ว่า คนที่คุณรักตั้งแต่แรกนั้นคือหล่อน ”
“ขนาดเธอยังเป็นคนพูดเองว่าแรกเริ่ม นั่นมันก็คือแรกเริ่ม”
เสิ่นอีเวยหัวเราะแห้งๆ: “แต่คุณยังดูแลเธอมาโดยตลอด? เธอนอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาล คุณก็ยังคอยดูแลเธอมาหลายปี หรือว่าคุณจะพูดว่าไม่ได้ใส่ใจหรอ? สำหรับคุณแล้วมันอาจใช่ก็ได้ แต่สำหรับฉันแล้วมันไม่ใช่”
น้ำเสียงของเสิ่นอีเวยที่แสดงออกมานั้นช่างแน่วแน่ สายตาของเธอที่ทอประกายออกมาจากใต้แสงจันทร์นั้น มันเหมือนสายตาของเหล่านางฟ้าเพราะมันเข้าไปอยู่ในใจเซิ่งเจ๋อเฉิงทันที
“นั่นมันคือความรับผิดชอบ” เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดโพล่งออกมา
เสิ่นอีเวยถึงกับตกตะลึง: “ความรับผิดชอบต่ออะไร?”
บรรยากาศเงียบสงัดหลายวินาที
ในเวลานั้นเอง เซิ่งเจ๋อเฉิงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินก้าวมุ่งหน้าไปทางเสิ่นอีเวย เขาสูงกว่าเธอหนึ่งฝ่ามือได้ ฉะนั้นเสิ่นอีเวยจึงต้องเงยหน้าจ้องมองเขา
ใบหน้าของเธอช่างเกลี้ยงเกลา สายตาแวววาว หรือในเวลานี้อารมณ์ของเธอมันพลุ่งพล่านเลยรู้สึกว่าทั้งใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา ยิ่งยามเมื่อเปิดปากกลับเห็นฟันที่ขาวสะอาดดั่งหยก เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นปากของเสิ่นอีเวย เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเองที่อยากจะดึงเธอเข้ามาในอ้อมอกแล้วจุมพิตเธอเอาไว้ได้
“ฉันเคยรักเสิ่นหุ้ย การที่ฉันเห็นเสิ่นหุ้ยนอนเป็นผัก ฉันเลยพยายามดูแลเธอ รักษาเธอ นอกจากนี้แล้ว สาเหตุหลักก็คือพ่อแม่ของพวกเธอต่างเสียชีวิตทั้งคู่”
ฉันอายุมากกว่าเธอหลายปี เพราะงั้นฉันเลยรู้ว่าเรื่องบางเรื่องบนโลกใบนี้ควรจะจัดการยังไงดี ฉันมีประสบการณ์มากกว่าเธอและเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธกับข้อนี้ได้เลย ตั้งแต่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตด้วยกัน เธอกับเสิ่นหุ้ยก็เป็นพี่น้องกัน ในโลกใบนี้มีแค่เธอสองคนที่สามารถพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ในปีนั้นที่เสิ่นหุ้ยได้รับบาดเจ็บหนักกจนอาการสาหัสนั้น ในตอนนั้นเธอก็ยังเด็กอยู่เลย จะดูแลตัวเองก็ยังทำไมได้ด้วยซ้ำแล้วจะไปดูแลหล่อนได้ยังไง?
เมื่อเซิ่งเจ๋อเฉิงอธิบายเสร็จ เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าตัวเองมักรู้สึกมีปัญหาไปเองหรือเปล่าตอนที่ฟังเขาพูด : “เธอกับเสิ่นหุ้ยเป็นพี่น้องกัน” ประโยคนี้ออกมา สายตาดำมืดถึงได้ทอประกายขึ้นมาจนทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนถูกปิดบังอะไรบางอย่างอยู่กับคำพูดนั้น
ทว่าเสิ่นอีเวยไม่มั่นใจเลยไม่ได้ถามซักไซ้อะไรต่อไป
ในความจริงแล้วหล่อนทราบดีว่าที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดออกมานั้นไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปเลย เสิ่นหุ้ยป่วยหนัก ข้างกายหล่อนก็ไม่มีใครที่เป็นญาติอีกเลย ทว่าหลังจากเกิดอุบัติเหตุแล้วชีวิตตัวเองก็ไม่ได้ดีไปสักเท่าไหร่ รายรับของตัวเองที่เข้ามานั้นถือว่าน้อยมากไม่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นทุกอย่างต้องขอบคุณเซิ่งเจ๋อเฉิงถึงจะถูกแต่เธอก็ไม่สามารถทำใจยอมรับหลุมนั้นที่อยู่ในใจของเธอได้เลย
การที่คนเราถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่ายิ่งนานวันเข้าจะให้ผ่านมานานขนาดไหนมันยากแก่การไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่นจะพาความสุขมาให้กับตนเองอีก
เสิ่นอีเวยเงียบขรึมอยู่นาน สมองของเสิ่นอีเวยตีกันพัลวันขนาดเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดเรื่องราวต่างๆมากมายขนาดนั้นแล้วแต่เธอก็ไม่รู้ควรจะพูดอะไรดีเลยไม่ยอมพูดอะไรเลยสักคำ
เธอเอาแต่คิดอยู่ในใจว่าจะพูดอะไรต่อไปดี ทว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับเปิดปากพูดแทน
การแสดงออกของเขาเหมือนว่าครุ่นคิดอยู่หลายตลบถึงได้ตัดสินใจพูดออกมา ที่สำคัญเสิ่นอีเวยจับความรู้สึกนี้ได้
“ยังมีอีกเรื่อง เรื่องของเสิ่นหุ้ย ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากบอกเธอ” เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดเอง
เสิ่นอีเวยคิดได้ว่าคราวที่แล้วเธอไปเยี่ยมเสิ่นหุ้ยที่โรงพยาบาลกลับพบว่าห้องนั้นมันว่างเปล่า เลยถามเขากลับ : “พอดีเลย ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามคุณเหมือนกัน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงยกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยออกมา: “แต่ฉันขอเวลาสักหน่อย แต่ไม่ใช่ในเวลานี้ที่จะสามารถบอกเรื่องเสิ่นหุ้ยกับเธอได้”
เสิ่นอีเวยขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพออกพอใจ: “นี่พ่อท่อนไม้ตัวแข็งทื่อจะมาไม้ไหนกันแน่?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเอาแต่กระดกคิ้วมองเธอแต่กลับไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่ถามกลับ: “เธอไม่อยากรู้หรอว่าคืนนี้ฉันมาที่นี่มีจุดประสงค์อะไร?”
อยู่ดีๆก็โดนถูกถามกลับ เสิ่นอีเวยถึงกลับตกตะลึงไปเลยทำให้คิดถึงเรื่องพฤติกรรมของผู้ชายคนนี้ขึ้นมาได้ เลยพูดเลี่ยงๆไป : “ไม่ใช่ว่ามาคอยสอดส่องจับตาฉันว่าฉันได้อยู่กับผู้ชายหรือเปล่าไม่ใช่หรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงกลับไม่ได้รู้สึกถูกยั่วยุแต่อย่างใด แต่กลับตอบอย่างราบเรียบ : “อันนั้นมันเป้าหมายรอง เป้าหมายหลักๆแล้วไม่ใช่เรื่องนี้”
“งั้นมันเรื่องอะไรกันล่ะ?” เสิ่นอีเวยทำตาใสซื่อใส่เขา
“คืนนี้ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะมีลูกกับเธอ