บทที่ 393 เธอไม่ใช่ยัยเด็กนั่นนะ
เสิ่นอีเวยทำท่าทางเหล่มองหน้าจอโทรศัพท์ของหยางอันหรานที่หน้าจอมีรูปของเซิ่งเจ๋อเฉิงเด่นหรา เขาสวมใส่สูทหรูหราที่ตัดเย็บอย่างดี แถมหวีผมได้เข้าทรง สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ส่วนความรู้สึกที่สื่อความหมายออกทางดวงตาช่างเย็นชาเหลือเกิน
รูปใบนี้เสิ่นอีเวยเคยเห็นมาก่อน เพราะว่าเป็นรูปที่บริษัทเซิ่งซื่อเอาไว้แสดงตัว แถมรูปนี้สื่อต่างรวมถึงนิตยสารที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก็เคยใช้ภาพนี้กับสื่อต่างๆมาก่อนแล้ว
หยางอันหรานเห็นเสิ่นอีเวยเอาแต่หลีกเลี่ยงที่จะตอบ ในใจเธอถึงได้คำตอบทันที เธอพักหน้าจอโทรศัพท์แล้วเอ่ยขึ้น : “ที่แท้ช่วงนี้ที่นักข่าวเขาลงข่าวกันก็ไม่ใช่โหนกระแสใช่ไหม”
เสิ่นอีเวยถึงกับอึ้งไปสักพักแล้วถามกลับ : “ข่าวอะไร?”
“เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับท่านประธานของบริษัทเซิ่งซื่อไง มีบางแหล่งข่าวบอกว่าพวกเธอต่างหย่าร้างกันแล้วก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนี้ยังไม่ได้กลับมาคืนดีกัน บ้างก็มีแหล่งข่าวบอกว่าพวกเธอต่างกลับมาจดทะเบียนกันใหม่แล้วแต่ไม่อยากป่าวประกาศให้ทุกคนรู้เพราะว่าต้องการให้เป็นเรื่องส่วนตัว”
เสิ่นอีเวยอยากจะอธิบายให้หล่อนฟังแต่หล่อนกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน : “หรือว่า——”
ตอนนี้เอง หล่อนหันไปมองเหมียนเหมียนอย่างละเอียด: “ฉันก็ว่าแล้วทำไมหน้าตาเหมียนเหมียนดูคุ้นหูคุ้นตาพิกล ที่แท้ก็เป็นลูกสาวของท่านประธานของบริษัทเซิ่งซื่อนี่เอง”
หยางอันหรานพูดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เสิ่นอีเวยเลยไม่มีอะไรจะพูดต่อได้แต่ตอยตกลงไปตามน้ำ : “ใช่ เซิ่งเจ๋อเฉิงคือพ่อของเหมียนเหมียน”
“งั้นเมื่อไหร่ที่เธอจะให้พวกเขาเจอหน้าเจอตากันสักทีล่ะ?” หยางอันหรานถามอย่างร้อนรน
เสิ่นอีเวยถึงกับมองค้อนหล่อน แต่ตอบกลับอย่างไม่ได้โกรธอะไรเลย : “วันนี้เธอพูดมากแล้ว อาหารอร่อยๆคงสามารถหยุดปากเธอไว้ได้แน่ๆ”
หยางอันหรานทำท่าทีพูดอย่างเป็นทางการ : “อีเวย เธอรู้หรือป่าว คราวที่แล้วที่เกิดเรื่องทะเลาะกันกับพวกเด็กๆที่กองถ่าย เพราะพวกนั้นหัวเราะเยาะเหมียนเหมียน บอกกับเหมียนเหมียนว่าเธอไม่มีพ่อ เรื่องนี้ในใจเธอต่างรู้ดีอยู่แล้ว ในชีวิตเหมียนเหมียนยังขาดบางอย่างไปนั่นคือพ่อของเขานี่แหละ”
“อันหราน!” เสิ่นอีเวยอยู่ดีๆก็เสียงดังลั่นบ้าน อันหรานถึงกับตกใจ เพราะเสิ่นอีเวยรู้สึกว่าหยางอันหรานไม่ควรพูดเรื่องที่ไม่ควรจะเอ่ยออกมาแบบนี้ต่อหน้าเหมียนเหมียน
หยางอันหรานถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองไม่สมควรที่จะเอ่ยขึ้นมาเลยหันกลับไปหาเหมียนเหมียนพร้อมทั้งกล่าวขอโทษเธอด้วย : “ขอโทษนะ น้าตื่นเต้นไปหน่อย”
ในเวลานี้ ในใจของเสิ่นอีเวยเริ่มเจ็บจี๊ดๆเพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี
ในเวลานั้นเอง เซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ในห้องนอนบริเวณชั้นสองของบ้านกลับได้ยินเสียงสองคนคุยกันในห้องรับแขกอย่างชัดถ้อยชัดคำ มีคนกล้าแกล้งหัวเราะเยาะลูกสาวของเขางั้นหรอ?!
แค่เด็กๆแล้วยังไงล่ะ? เขาไม่ปล่อยเด็กพวกนั้นไปแน่ๆ….
ในเวลานั้นเอง เหมียนเหมียนเริ่มพูดขึ้นบ้าง : “หม่ามี๊กับน้าอานกำลังพูดอะไรกันอยู่หรือคะ?”
การที่ได้ยินเหมียนเหมียนเอ่ยถามขึ้นมาแบบนี้ ทำให้ทั้งคู่ค่อยเบาใจลงหน่อย ยังดีที่เหมียนเหมียนไม่เข้าใจที่พวกเขาสองคนคุยกันอยู่ ไม่งั้นคงอธิบายให้เข้าใจได้ยากกว่าเดิม…
ประโยคคำถามของเหมียนเหมียนทำให้ทั้งสองคนเลิกถกเถียงกัน พยายามหาเรื่องอื่นมีเบียงเบนประเด็นเมื่อครู่เพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินระหว่างกันไป เสิ่นอีเวยและหยางอันหรานต่างปล่อยใจให้ลอยไปเพื่อจะได้ไม่พูดถึงเรื่องนี้
หยางอันหรานนั่งอยู่สักพักแล้วก็ขอตัวกลับบ้าน
ห้องรับแขกขนาดใหญ่เหลือแค่เสิ่นอีเวยกับเหมียนเหมียนอยู่สองคน เสิ่นอีเวยต้องการที่จะรู้ความคิดของเหมียนเหมียนว่าตอนนี้ในใจเธอคิดอะไรอยู่พลางเดินเข้าไปหาพร้อมอุ้มเธอขึ้นมานั่งตัก จากนั้นก็ลูบไล้ใบหน้ารูปไข่ของเธอแล้วถามไปยิ้มไป: “เหมียนเหมียนกินข้าวเย็นหรือยังคะ?”
“น้าอานพาหนูไปกินซุปเนื้อวัวที่อร๊อยอร่อยมาแล้วค่ะ!” ดวงตาที่ส่องประกายแวววาวของสาวตัวน้อยนั้น มันนำความหวังอย่างเต็มเปี่ยมมาให้คนที่พบเห็น
เสิ่นอีเวยที่ทั้งยิ้มไปพูดไป: “กินอิ่มแล้วงั้นเราควรไปอาบน้ำให้หอมแล้วเข้านอนกันได้แล้ว ดีไหมคะ?”
“ได้ค่ะ แต่หม่ามี๊ต้องเป็นคนอาบน้ำให้หนูนะ!” สาวน้อยอารมณ์ดีมีการร้องข้อความต้องการ
เสิ่นอีเวยยิ้มๆแล้วพยักหน้าตอบรับ: “ไม่มีปัญหาเลยค่ะ!”
เสิ่นอีเวยอุ้มเหมียนเหมียนขึ้นชั้นบนมุ่งหน้าไปห้องนอนของแม่สาวน้อย ช่วงนี้เหมียนเหมียนมักนอนกับเธอ แต่ว่าเหมียนเหมียนไม่ยอมพูดยอมจาเสิ่นอีเวยรู้ทันทีว่าเหมียนเหมียนไม่ได้สงสัยอะไร
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้าห้องน้ำ เสิ่นอีเวยเอ่ยขึ้นมา: “เหมียนเหมียนถอดเสื้อผ้าก่อน เดี่ยวหม่ามี๊มาได้ไหมคะ?”
เหมียนเหมียนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง
เสิ่นอีเวยต้องทำเรื่องบางเรื่องในเวลานี้นั่นคือ——การเอาใจเซิ่งเจ๋อเฉิง
การที่ต้องอาบน้ำให้เหมียนเหมียนนั้นต้องใช้เวลานานมาก เรื่องนี้เธอรู้ดีเลยรีบมาจัดการผู้ชายที่อยู่ในห้องนอนของตัวเองซะก่อน ไม่ใช่ว่าเธอกำลังอาบน้ำให้เหมียนเหมียนแล้วเขาก็พุ่งมาหาเรื่องเธอ หากเรื่องมาถึงขนาดนั้นเรื่องมันคงยากที่จะอธิบาย
เสิ่นอีเวยเปิดประตูห้องนอนของตัวเองอย่างระมัดระวัง พอเปิดประตูเข้ามากลับพบว่าเตียงนอนของเธอมีเท้าของเขายาวมากจนโผล่พ้นผ้าห่ม ยิ่งตอนที่เขาเห็นเธอเดินเข้ามาในห้องนอน สีหน้าเขายิ่งขรึมลงไปอีก
“เธอเพิ่งรู้ว่าต้องกลับมาหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเหมือนการซักถามนักโทษแบบนั้น แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
เสิ่นอีเวยตอกกลับทันที : “นี่มันห้องนอนของฉันนะแล้วทำไมฉันจะกลับมาห้องฉันไม่ได้ล่ะ? ในทางกลับกัน ฉันไม่คิดเลยว่าคุณโง่ได้ขนาดนี้ที่ถูกฉันขังอยู่ในห้องอย่างเชื่อฟัง แถมไปยอมเปิดประตูแล้วค่อยๆย่องกลับบ้านไปเลยห๊ะ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงฟังที่หล่อนพูดออกมา ยิ่งโมโหมากกว่าเดิมเลยพูดต่อ: “ฉันขอแนะนำเธอว่าอย่าพูดง่ายๆให้ตัวเองดูหรูหรา เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าห้องนอนของเธอหากล็อคจากด้านนอกแล้วคนที่อยู่ข้างในไม่สามารถเปิดออกไปได้ แถมตอนนี้ก็ยังตั้งใจมาก่อกวนพูดให้ฉันโมโหเธอเพิ่มอีกหรอ?”
การที่ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงเตือนเธอถึงได้สติขึ้นมา
เธอลืมเรื่องนี้ไปเลยว่าห้องนอนของตัวเองหากล็อคจากด้านนอกแล้ว คนที่อยู่ข้างในไม่สามารถออกไปไหนได้เลย แถมน้ำเสียงขอเซิ่งเจ๋อเฉิงก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคงลองเปิดประตูแล้ว ไม่งั้นคงไม่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้ได้หรอก
เสิ่นอีเวยได้แต่เบะปากแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วเดินไปนั่งข้างเตียงนอนเพื่อที่จะขอคุยกับเซิ่งเจ๋อเฉิง: “ตอนนี้ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณอยู่เรื่องหนึ่ง คงทำให้คุณรู้สึกน้อยใจที่คุณต้องอยู่ในห้องนอนของฉันไปอีกครึ่งชั่วโมง”
สิ้นเสียงของเสิ่นอีเวย เธอรีบคว้าหมอนมาบังศีรษะตัวเองเอาไว้ก่อน เพื่อป้องกันตัวจากผู้ชายคนที่จะทำร้ายเธอ
ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดไว้ เซิ่งเจ๋อเฉิงโกรธจริงๆ : “ฉันขอเหตุผล”
“ฉันต้องอาบน้ำให้เหมียนเหมียน” อยากได้เหตุผลเธอก็ให้ยังไงมันก็เป็นเรื่องจริง
เขาขมวดคิ้วขึ้น: “ยัยเด็กนั่นทำไมเรื่องเยอะซะจริงๆห๊ะ?”
“คุณไม่มีสิทธิจะเรียกเหมียนเหมียนแบบนี้นะ เธอเป็นลูกสาวของคุณไม่ใช่ยัยเด็กนั่น!” เสิ่นอีเวยโกรธขึ้นมาจริงๆฟังได้จากน้ำเสียงที่มีความโกรธปนมาด้วย
ทว่าประโยคนี้มันกลับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเซิ่งเจ๋อเฉิง ขนตาเขาขยับขึ้นไปมาแถมมีรอยยิ้มของความเจ้าเล่ห์มาด้วย : “เสิ่นอีเวยในที่สุดเธอก็ยอมรับสักทีว่าเหมียนเหมียนเป็นลูกสาวของฉัน”
อยู่ดีๆเขาก็พูดพล่ามออกมา เสิ่นอีเวยถึงได้ตกใจอ้าปากค้าง แต่กลับทำท่าทางไม่สนใจเขาแทน
“แล้วทำไมฉันต้องทำตามที่เธอบอกว่าไม่ให้ฉันออกด้วยล่ะ? เอาคำพูดที่เธอชอบพูดมาใช้ที่บอกว่า ขาฉันมันยาวเหยียด ฉันจะไปไหนก็ได้” เซิ่งเจ๋อเฉิงเอ่ยขึ้นมา