บทที่ 396 เธอกล้ามากที่ให้ฉันไปนอนห้องรับแขก
“อืม นอนแล้ว” เสิ่นอีเวยตอบกลับ
“เมื่อครู่ ฉันได้ยินผู้จัดการเหมียนเหมียนบอกว่าหล่อนถูกคนในกองถ่ายรังแกหรอ คนนั้นเป็นใครกัน?”
เสิ่นอีเวยถึงกับอึ้งเพราะเธอไม่คิดเลยว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา เธอเงยศีรษะขึ้นแล้วเห็นสีหน้าบึ้งตึงของเซิ่งเจ๋อฌฉิง: “คุณถามเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเอนหลังพิงกำแพงที่อยู่ด้านหลังทำท่าทีสบายๆแล้วเอ่ยขึ้น: “ใครกล้ารังแกลูกสาวของฉัน ฉันก็จะแกล้งคืน”
เสิ่นอีเวย: “…….”
ผู้ชายคนนี้อายุก็ปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว ทำไมยังทำตัวเป็นเด็กๆไปได้? เสิ่นอีเวยถึงกับหมดคำพูดเลยทีเดียว เมื่อครู่ที่เธอฟังเขาพูดประโยคนั้นขึ้นมา เธอกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“คุณเซิ่ง คุณคิดว่าตัวเองยังเป็นเด็กอยู่หรือไง? ใครแกล้งเราแล้วเราค่อยไปแกล้งคืนทีหลัง แถมพวกนั้นต่างก็เป็นเด็กเล่นกันตามประสาเด็กเท่านั้นเอง เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้วไม่จำเป็นต้องไปเคียดแค้นอะไร” เสิ่นอีเวยพยายามอธิบายเหตุและผลอย่างไม่ลดละ
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้แต่ส่ายหัวไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเสิ่นอีเวย: “ไม่ เธอผิดแล้วแหละ ถ้าเกิดพวกนั้นใช้เหตุผลอื่นมาแกล้งเหมียนเหมียนอีก ฉันหรือเธอก็ไม่แค้นอะไรอยู่แล้ว แต่เธออย่าลืมนะ เด็กพวกนั้นพูดออกมาว่าเหมียนเหมียนไม่มีพ่อ เธอคิดว่าฉันจะทนได้ไหมล่ะ?”
น้ำเสียงและสายตาแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึมขึ้นมาทันทีเมื่อเขาเอ่ยประโยคสุดท้ายนั่นออกมา เสิ่นอีเวยรู้ทันทีว่าเขาเอาจริง ทว่า…. เรื่องนี้มันผ่านมาตั้งนานนมแล้วจะไปหาเรื่องพวกนั้นอีกเดี๋ยวสื่อมวลชนก็ขุดคุ้ยข่าวลงข่าวกันสนุก จนมันอาจส่งผลกระทบไปถึงเหมียนเหมียนในวันข้างหน้าได้
เสิ่นอีเวยอยากจะเอาเรื่องพวกนี้บอกกับเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงก็เงียบอยู่นานเลยไม่กล้าพูดต่อ
ในเวลานั้นเอง เซิ่งเจ๋อเฉิงรีบหันศีรษะกลับมาหาเสิ่นอีเวยแล้วมองเธอด้วยสายตาเชือดเฉือน ส่วนเสิ่นอีเวยที่เห็นเขามีลักษณะอาการแบบนั้นถึงกับขนลุกซู่: “คุณ คุณจะทำอะไร?”
รอยยิ้มปรากฏมุมปากเซิ่งเจ๋อเฉิง เขาพลางเอ่ยถามเธอแทน: “เธอว่าเราควรจัดการหลีกเลี่ยงปัญหายังไงดี ที่จะไม่ให้เรื่องลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นมาอีก?”
เสิ่นอีเวยสบตาเขา: “ทำยังไง?”
“ก็ต้องเริ่มแก้ไขที่ตัวต้นเหตุ” เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบอธิบายอย่างเป็นใจ
“แล้วมันแก้ไขยังไงล่ะ?” ครั้งนี้เสิ่นอีเวยถามต่ออย่างไว้หน้าเขา เขาถามเธอตอบ ทั้งคู่ต่างเข้ากันได้ดี
“พวกเด็กๆในกองถ่ายนั้นเย้าแหย่ว่าเหมียนเหมียนไม่มีพ่อ ซึ่งนั่นมันเป็นการทำร้ายเหมียนเหมียน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เหมียนเหมียนไม่ใช่ว่าไม่มีพ่อ แค่ฉันให้สัมภาษณ์กับพวกสื่อมวลชนว่าเหมียนเหมียนเป็นลูกสาวฉัน ฉันเป็นพ่อของหล่อน เรื่องนี้ก็ถือว่าตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”
เสิ่นอีเวยยังไม่ทันตอบอะไรเลย เซิ่งเจ๋อเฉิงก็พรรณาไปเรื่อย: “ตามหลักแล้ว ชื่อเสียงและอำนาจของฉัน เซิ่งเจ๋อเฉิง เอาตรงๆฉันสามารถบอกกับเธอได้ว่าเมื่อพวกเขาต่างรู้ว่าเหมียนเหมียนเป็นลูกสาวของฉัน คงไม่กล้าแขวะเหมียนเหมียนอีก เรื่องรังแกกันคงไม่ต้องพูดอีกเลย”
เสิ่นอีเวยเบะปากทำท่าทางไม่สนใจเขาอยู่ในใจ นี่คุณพี่ไม่ทราบว่าไปเอานิสัยเชื่อมั่นในตัวเองแบบนี้มาจากไหนกัน? ทว่าการที่เขาพูดมานั้น ในใจเธอต่างรู้ดีว่าที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดถึงวิธีแก้ไขปัญหาใช่ว่าไม่มีเหตุผล
ขอแค่สื่อมวลชนไม่ได้ซักไซ้ถามหาชื่อเสียงเรียงนามของผู้เป็นพ่อ เรื่องนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร หากวันข้างหน้าอาชีพนี้ของเหมียนเหมียนไปได้ดีมาก การที่เหมียนเหมียนมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้อาจจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
การออกมาปกป้องเหมือนเหมียนไม่ให้เกิดเรื่องถูกทำร้ายจากการติฉินนินทานั้น การที่เปิดเผยความสัมพันธ์ของเธอและเซิ่งเจ๋อเฉิง และการกล่าวประกาศความเป็นพ่อลูกต่อหน้าสาธารณชนนั้นถือว่าเป็นวิธีปิดปากทุกคนได้สวยงามทีเดียว
แต่…ใจของเสิ่นอีเวยยังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงให้เซิ่งเจ๋อเฉิงและเหมียนเหมียนได้รู้จักกัน? เรื่องนี้เธอควรยอมที่จะทำให้มันเกิดขึ้นมาไหม? ควรทำหรือไม่ควรทำอันไหนมันดีกว่ากัน?
เสิ่นอีเวยเงียบอยู่นานไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ เซิ่งเจ๋อเฉิงดูอาการของเธอก็สามารถคาดเดาได้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ สักพัก เสิ่นอีเวยได้ยินเสียงเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดขึ้นมาแทน: “เธอไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้ ฉันให้เวลาเธอคิด”
ฉันให้เวลาเธอคิด
คำพูดประโยคนี้ถือว่าได้ยินเป็นครั้งที่สองหลังจากเธอกลับมาจากต่างประเทศ
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เสิ่นอีเวยก็ไม่รู้ว่าตัวเองสามารถจะเชื่อถือเขาได้หรือป่าว หลังจากแยกกันอยู่มาสี่ปี เขากลับเปลี่ยนเป็นคนละคน แถมพูดซ้ำอยู่หลายต่อหลายครั้งว่าจะให้โอกาสเธอได้กลับมาลองคิดตรึกตรองดูเพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญของชีวิต
หากเป็นเซิ่งเจ๋อเฉิงคนเดิม เวลาที่เขาต้องเจอหน้ากับเธอ เขาไม่รู้จักคำว่า “อดทน”มันคืออะไร
ท้ายสุดแล้วเสิ่นอีเวยก็ไม่ได้ตอบคำถามที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเสนอออกมาและก็ไม่ได้แสดงวิธีคิดของตัวเองออกไปเช่นกัน
“ดึกป่านนี้แล้ว คุณยังไม่ยอมกลับบ้านอีกหรอ?” เสิ่นอีเวยถามเขาด้วยท่าทีผ่อนคลาย สาเหตุมาจากบรรยากาศระหว่างเขาและเธอนั้นมันต่างคนต่างมีความเก้อเขินและเงียบต่อกันอย่างเห็นได้ชัด
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่นิ่งอยู่นานพอได้ยินเสิ่นอีเวยพูดออกมา เขาถึงกับไม่พอใจขึ้นมาเลยถามเธอกลับ: “เมื่อครู่ฉันก็พูดไปแล้วนี่ว่าฉันจะนอนที่นี่ ทำไมพูดแล้วคืนคำหรอ? ”
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงแสดงอารมณ์ขู่ขึ้นมานิดๆ ในใจเสิ่นอีเวยคิดแผนได้ทันที เธอโบกมือปฏิเสธไปมา: “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เรื่องนี้ฉันเข้าใจดี ฉันรับปากคุณไว้แล้วฉันต้องทำให้ได้สิ ห้องนู้นเป็นห้องนอนเอาไว้สำหรับให้แขกพัก เดี๋ยวฉันพาไปคุณพักที่นั่น!”
คุณบอกเองว่าคืนนี้คุณจะนอนที่นี่แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าจะนอนห้องเดียวกับฉัน… ในใจเสิ่นอีเวยคิดแบบนี้เหมือนว่าหาทางรอดไว้ให้ตัวเองอยู่อีกทาง
เมื่อเธอพูดจบ เซิ่งเจ๋อเฉิงกลับไม่ขยับ เธอเลยหันหน้ามองเขาแล้วถามเขาแทน: “ทำไมคุณถึงไม่เดินไปสักทีล่ะ?”
“มันไม่ง่ายเลยนะที่ฉันมาที่บ้านเธอ แล้วเธอยังจะให้ฉันไปนอนที่ห้องนอนที่จัดไว้รับแขกอีกหรอ?”
สิ่งที่เสิ่นอีเวยคิดอยากจะพูดออกไปคือ: ฉันยังไม่ไล่คุณไปนอนบนโซฟาที่ห้องรับแขกนี่ก็เกรงใจคุณมากพอแล้ว!
ทว่าประโยคนี้เธอกลับไม่ได้พูดมันออกไป
“งั้น คุณจะนอนไหนล่ะ ถ้าไม่นอนที่นั่น” เสิ่นอีเวยถามเขากลับ แต่ในใจก็เดาคำตอบของเซิ่งเจ๋อเฉิงได้
เซิ่งเจ๋อเฉิงแสดงสีหน้าปกติตามธรรมดาของเขาแล้วเอ่ยตอบคำถามอย่างช้าๆ : “เธอรู้นี่หน่าว่าฉันเป็นคนขี้เกียจ หากฉันมั่นใจสถานที่ใดที่หนึ่งแล้วก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขอะไรง่ายๆ คืนนี้ฉันก็เอนหลังพิงเตียงนี้มานานแล้ว ฉันก็ต้องนอนที่นี่สิ”
เธอรู้ดีว่า การอยู่รอของผู้ชายคนนี้มีเรื่องไม่ดีแน่ๆ เสิ่นอีเวยถึงกับโมโหอยู่ในใจ แต่ช่างมันเถอะ ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามน้ำ คุณมันหน้าด้าน ฉันก็สามารถหน้าด้านได้มากกว่าคุณ
เสิ่นอีเวยยิ้มหน้าระรื่น เธอลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดมือไปมาแล้วสื่ออย่างผ่อนคลายสบายๆ: “ได้ ได้เลย คืนนี้คุณนอนที่นี่ ฉันไปนอนห้องนอนรับแขกเอง”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่คิดเลยว่าเสิ่นอีเวยจะมาไม้นี้ สีหน้าเขาเคร่งขรึมลงทันที
“เธอหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”